“ลูกพี่ ชีตาห์ของเธอดูท่าจะแย่แล้วนะ” เสี่ยวซื่อติดตามพลังผีซวีของอีกฝ่ายจนหาตำแหน่งที่พวกเขาซ่อนตัวเจออย่างรวดเร็วหลังจากศึกใหญ่ของหลี่หลานเฟิงกับผีซวีสองคน เพียงแต่การต่อกรหลายครั้งติดต่อกัน หลี่หลานเฟิงที่ต่อสู้เพียงลำพังค่อยๆ ตกสู่สภาพเสียเปรียบ สถานการณ์ดูย่ำแย่อยู่บ้าง
“เขายังฝืนได้อีกนานเท่าไหร่?” หลิงหลานขมวดคิ้ว ไม่นึกเลยว่าพลังผีซวีของอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งขนาดนี้ เธอยังคิดว่าหลี่หลานเฟิงที่จดจ่ออยู่กับการป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะพ่ายแพ้เร็วแบบนี้
เสี่ยวซื่อกลอกตาใส่หลิงหลานอย่างรุนแรง การต่อสู้ของผีซวีจะเรียบง่ายอย่างที่ลูกพี่ของตนคิดไว้ที่ไหนกัน? ถึงแม้พลังผีซวีของหลี่หลานเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีประสบการณ์ต่อสู้ที่แท้จริง ฝีมือต่อกรเลยอ่อนหัดมาก นี่ก็คือเหตุผลที่เขาตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเร็วขนาดนี้ ไม่อย่างนั้น อาศัยความสามารถของหลี่หลานเฟิงที่เหนือกว่าพวกเขาเล็กน้อยมาป้องกันอย่างสุดกำลัง เขาสามารถประคับประคองสถานการณ์ต่อไปโดยที่ไม่พ่ายแพ้ได้โดยสิ้นเชิง
“เหตุผลหลักคือประสบการณ์ของเขาไม่เพียงพอ ไม่เคยต่อสู้กับผีซวีมาก่อน บวกกับสองคนนั้นร่วมมือเข้าขากันดีมาก เลยทำให้ชีตาห์ของเธอถูกควบคุมไว้ทุกด้าน แต่ว่าชีตาห์ของเธอก็ฉลาดมาก แก้ไขข้อผิดพลาด พัฒนาวิธีการป้องกันของตัวเองขณะต่อสู้ ถึงแม้สถานการณ์จะดูแย่อยู่บ้าง แต่ถ้าคิดจะเอาชนะเขาจริงๆ ละก็ สองคนนั้นยังต้องเสียแรงอีกหน่อย” เสี่ยวซื่อบอกสภาพการณ์ที่แท้จริงให้หลิงหลานฟัง
หลิงหลานได้ยินคำกล่าวก็ขมวดคิ้ว เธอไม่แน่ใจนิดหน่อยว่าจะให้เสี่ยวซื่อช่วยชีตาห์จัดการผีซวีสองคนนั้น หรือว่าอดทนรออยู่ตรงนี้ ให้ชีตาห์ได้รับประสบการณ์ต่อสู้กับผีซวีเท่าที่จะทำได้
“เสี่ยวซื่อ สถานการณ์ของฐานที่มั่นเป็นยังไงบ้าง? ฝ่ายตรงข้ามส่งหน่วยรบภาคพื้นดินจำนวนมากมาหรือเปล่า?” หลิงหลานเอ่ยถามเสี่ยวซื่อ ถ้าเกิดหน่วยรบภาคพื้นดินจำนวนมากเคลื่อนไหวขึ้นมา เธอก็จะให้เสี่ยวซื่อช่วยลงมือ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีจำนวนคนน้อยมากเกินไป ไม่สามารถต้านทานกองยานรบซวิ่นหลงได้ทั้งกอง เวลาคับขัน พวกเขาไม่อาจเสียเวลาได้เลยสักนิด
“อ้อ กำลังจะบอกข่าวนี้ให้ลูกพี่ฟังอยู่เลย” เสี่ยวซื่อตอบกลับทันใด “ฐานที่มั่นซวิ่นหลงไม่ได้ถูกเตือนภัย ที่นี่นอกจากคนของกองบัญชาการฐานที่มั่นได้รับการติดต่อแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นอีก นอกจากนี้คนที่พวกเขาติดต่อไม่ใช่ผู้บัญชาการสูงสุดของฐานที่มั่นซวิ่นหลงในฉากหน้าด้วย”
“ดูท่าฐานที่มั่นซวิ่นหลงจะเกิดปัญหาจริงๆ ไม่รู้ว่าคนพวกนี้มาจากกลุ่มอำนาจไหนกันนะ…” หลิงหลานลอบใคร่ครวญกับตัวเอง เมื่อพวกเขาเข้ามาก็รีบกำจัดพวกเขาทันที มีความเป็นไปได้สูงว่าผีซวีที่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่จะไม่ใช่คนของกองทัพสหพันธรัฐ บางทีอาจจะเป็นคนที่ประเทศศัตรูส่งมา หรือบางทีอาจจะมาจากพวกองค์กรน่ากลัวที่ต่อต้านสหพันธรัฐ
พวกเขาต้องกลัวการเปิดเผยตัวเองแน่นอน ดังนั้นถึงได้ไม่กล้าเคลื่อนไหวใหญ่มากเกินไป นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมฐานที่มั่นซวิ่นหลงถึงไม่ได้ถูกเตือนภัย พวกเขาก็หวาดกลัวที่จะโดนออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักสังเกตเห็นปัญหาเหมือนกัน (พวกเขาน่าจะไม่รู้ว่าออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักล่วงรู้แล้วว่าที่นี่มีปัญหา)
ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายในการเดินทางของพวกหลิงหลานในครั้งนี้ก็คือต้องรู้ให้แน่ชัดว่าฐานที่มั่นซวิ่นหลงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? หากต้องการรู้เรื่องนี้ให้กระจ่าง จำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าแฮคเกอร์กับผีซวีลึกลับกลุ่มนี้มาจากกลุ่มอำนาจไหนกันแน่ คิดๆ ดูแล้ว ความต้องการที่แท้จริงของภารกิจที่ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักมอบหมายลงมาก็คืออยากรู้เรื่องนี้สินะ…
“อีกอย่าง ผู้ตรวจสอบของกองทัพที่ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักแอบส่งมาถูกหลอกให้ไปติดกับดักทางฝั่งนั้นและต่อสู้กันแล้ว ดังนั้นที่นี่จะไม่มีผีซวีเพิ่มขึ้นใหม่ชั่วคราว” เสี่ยวซื่อเอ่ยปากขัดการครุ่นคิดของหลิงหลานฉับพลัน “แต่ว่ามีข่าวร้ายอยู่อย่างหนึ่ง ถึงแม้ภายนอกจะไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ทว่าสองในสามกองกำลังหน่วยหุ่นรบใหญ่ที่ป้องกันฐานที่มั่นนี้กำลังรีบมาที่นี่ คาดว่าจะมาถึงในอีกหนึ่งนาที”
‘ปัง’ หลิงหลานที่ได้ยินข่าวนี้รู้สึกโกรธเกรี้ยวจริงๆ เธอดีดนิ้วใส่หน้าผากของเสี่ยวซื่ออย่างอำมหิตทันที “เจ้าบ้าเสี่ยวซื่อ ทำไมไม่บอกฉันให้เร็วกว่านี้หน่อย?”
เสี่ยวซื่อกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวด เอ่ยด้วยความน้อยใจว่า “ตอนนี้ก็บอกแล้วไง ยังทันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
ถึงแม้สิ่งที่เสี่ยวซื่อพูดมายังนับว่ามีเหตุผล แต่หลิงหลานไม่สนใจเสี่ยวซื่อที่แสร้งน้อยอกน้อยใจในห้วงจิตใจเลยสักนิดเดียว พอปฏิบัติตัวดีๆ กับเสี่ยวซื่อเล็กน้อย เขาก็จะคันไม้คันมือก่อเรื่องแย่ๆ ขึ้นมา เธอจะต้องนวดเขาแรงๆ สักรอบถึงค่อยไว้วางใจได้บ้าง หลิงหลานสงสัยมากว่าลึกๆ แล้วเสี่ยวซื่อจะมีแนวโน้มไปทางมาโซคิสม์
หลิงหลานโยนเสี่ยวซื่อไปที่ด้านหลังสมองโดยไม่ลังเล จากนั้นก็สั่งทุกคนในทีมว่า “สมาชิกทุกคนเข้าไปในหุ่นรบ เตรียมพร้อมต่อสู้!”
คำสั่งของหลิงหลานมาอย่างกะทันหันมาก แต่พวกฉีหลงคุ้นชินกับคำสั่งที่มาอย่างฉุกละหุกแบบนี้ของหลิงหลานแล้ว พวกเขาปล่อยหุ่นรบออกมาในชั่วพริบตา ถึงอย่างไรหลี่ซื่ออวี่กับฉางซินหยวนเพิ่งเข้าร่วมทีมได้ไม่นาน ดังนั้นพวกเขาเลยอึ้งไปชั่วขณะ ช้ากว่าพวกฉีหลงไปหนึ่งจังหวะ อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงตอบสนองรวดเร็วมาก ปล่อยหุ่นรบตามหลังพวกฉีหลงห้าคน
ส่วนหลี่หลานเฟิงที่ต่อกรกับผีซวีสองคนอย่างแข็งขันเป็นคนสุดท้ายที่ปล่อยหุ่นรบออกมา เขาที่ทุ่มเทสุดกำลังในการป้องกันต้องรับรองให้แน่ใจก่อนว่าจะไม่เกิดปัญหาใดๆ ถึงค่อยยอมปล่อยหุ่นรบของเขาออกมา
เมื่อพวกเขาเพิ่งจะนั่งลงบนหุ่นรบก็ได้ยินเสียงพื้นเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พวกเขาถึงค่อยตระหนักได้ว่าทำไมลูกพี่ตนถึงต้องให้พวกเขาเข้าไปในหุ่นรบ แรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงนี้สามารถยืนยันได้ว่า มีหุ่นรบจำนวนไม่น้อยไม่ไกลจากที่นี่กำลังเข้าใกล้พวกเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นการสั่นสะเทือนยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้แล้ว มือขวาของแต่ละคนต่างชักอาวุธเย็นออกมา ส่วนมือซ้ายก็ชูปืนลำแสงขึ้น รอเพียงหลิงหลานสั่งการลงมาก็จะยิงโจมตี
ผ่านไปราวๆ สามสิบวินาที หุ่นรบประมาณยี่สิบกว่าตัวก็โผล่ขึ้นมาจากทางด้านหน้าเป็นขบวนแนวโค้ง หลิงหลานมองระยะห่างระหว่างกันและกันด้วยความเยือกเย็น คำนวณช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการโจมตีอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเข้าสู่ระยะการยิงของกันและกันซึ่งอยู่ห่างอีกประมาณสิบเมตร หลิงหลานพลันตะโกนดังลั่นว่า “ยิง!”
หลังจากคำสั่งนี้ ทุกคนต่างยกปืนลำแสงเล็งใส่เป้าหมายที่ตัวเองยืนยันก่อนจะเหนี่ยวไกลงไป ลำแสงแปดสายยิงออกมาจากในลำกล้องปืน โจมตีใส่หุ่นรบของศัตรูที่อยู่ห่างไกลแทบจะพร้อมกัน
“เปิดใช้งานโล่แสง!” เมื่อเห็นหุ่นรบของฝ่ายตรงข้ามยิงลำแสงมา หุ่นรบของฐานที่มั่นที่บุกเข้ามาต่างทยอยกันเปิดโล่แสงสกัดไว้ จำนวนของหุ่นรบพวกเขามากกว่าอีกฝ่ายสองสามเท่า ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงว่าลำแสงจะไม่ยิงโดนทุกคน ต่อให้ถูกยิงก็เป็นไปได้ว่าจะโดนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถ้าเกิดว่าถูกลำแสงยิงโดนสองครั้งพร้อมกัน นั่นก็นับว่าวันนี้โชคร้ายมากๆ แล้ว
นอกจากนี้โล่แสงสามารถต้านทางการโจมตีพลังงานลำแสงได้สามครั้งโดยที่ไม่ได้รับความเสียหาย ดังนั้นหุ่นรบเหล่านี้จึงไม่ได้เลือกหลบหลีก หากแต่พุ่งเข้ามาตรงๆ อย่างองอาจ เตรียมตัวใช้คนหมู่มากรังแกคนน้อย กำจัดกระทั่งคนและหุ่นรบที่บุกรุกก่อจลาจลในศูนย์กลางฐานที่มั่นเหล่านี้ให้สิ้นซาก
เสียง ‘ตูม’ ดังสนั่น หุ่นรบตัวหนึ่งในหมู่หุ่นรบของฐานที่มั่นพลันระเบิดออกมา แรงระเบิดมหาศาลถึงขนาดที่สร้างความเสียหายให้กับหุ่นรบของเพื่อนร่วมรบที่อยู่ข้างกายด้วย จากนั้นก็มีหุ่นรบอีกตัวที่อยู่ไม่ไกลระเบิดขึ้นแบบเดียวกันตามมาติดๆ เพียงแต่ว่ามันไม่ได้น่าตกใจจนอกสั่นขวัญหายเหมือนกับหุ่นรบที่ระเบิดก่อนหน้านี้
“เกิดอะไรขึ้น?” ในสมองผู้ควบคุมหุ่นรบของฐานที่มั่นคนอื่นๆ ต่างผุดคำถามนี้ขึ้นมา ทว่าเวลาไม่ยอมให้พวกเขาขบคิดเลย การพลีชีพในสนามรบเป็นเรื่องปกติอย่างยิ่งยวด พวกเขาได้แต่พุ่งไปด้านหน้าต่อโดยที่พกความสงสัยไปด้วย
หลิงหลานมองไปที่ฉางซินหยวนด้วยความตะลึงงันเล็กน้อย หุ่นรบที่ฉางซินหยวนบังคับในเวลานี้ไม่ใช่หุ่นรบมาตรฐานระดับสูงของกองทัพสหพันธรัฐ หุ่นรบที่เขาเลือกบังคับคือหุ่นรบระดับกลางของตัวเอง หุ่นรบตัวนี้เคยผ่านการดัดแปลงโดยฉางซินหยวนมาก่อน ถึงแม้ว่าภายนอกดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ว่าระบบอาวุธด้านในมีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ หลิงหลานก็เคยเห็นกับตาในตอนที่ทำลายยานลำเลียง
หลิงหลานรู้ว่าพรสวรรค์ในการดัดแปลงหุ่นรบของฉางซินหยวนยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นเขาถึงได้ดึงดูดความสนใจของราชันสายฟ้า ถึงขนาดที่ใช้วิธีการคุกคามบีบบังคับฉางซินหยวนให้เข้าสู่ใต้บังคับบัญชาของเขาโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้น เธอคิดว่าตัวเองเข้าใจฉางซินหยวนดีแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า เธอยังคงดูถูกพรสวรรค์ในการดัดแปลงของอีกฝ่ายอยู่
หลิงหลานไม่คาดคิดเลยว่า ฉางซินหยวนไม่เพียงเชี่ยวชาญการดัดแปลงหุ่นรบ เขายังเป็นอัจฉริยะระดับปีศาจในด้านการดัดแปลงอาวุธเช่นเดียวกัน ปืนใหญ่รบกวนที่ตรงศีรษะของหุ่นรบที่เขาดัดแปลงในตอนนั้น เขาได้ดัดแปลงปืนใหญ่รบกวนที่ไม่ค่อยมีค่า ไม่มีพลังทำลายล้างมากเท่าไหร่นักให้กลายเป็นปืนใหญ่เลเซอร์ที่มีอานุภาพมหาศาล ถึงแม้ว่ามันโดนฉางซินหยวนคิดว่าเป็นการดัดแปลงที่ไม่สมบูรณ์เพราะปัญหาเรื่องระยะการยิงที่สั้นมากเกินไป แต่ในใจหลิงหลานกลับคิดว่านี่เป็นไพ่ตายอันน่ากลัวที่สามารถรุกฆาตได้แน่นอน
ลองคิดดูสิ ตอนที่หุ่นรบต่อสู้ในระยะประชิด ไม่มีใครสามารถคาดคิดว่าจะต้องป้องกันปืนใหญ่รบกวนตรงศีรษะ เพราะว่าต่อให้ถูกปืนใหญ่รบกวนยิงโดนในระยะประชิด มันก็แค่ทิ้งรอยกระสุนตื้นๆ แทบจะมองข้ามได้บนเปลือกนอกของหุ่นรบเท่านั้น สร้างความเสียหายให้หุ่นรบไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทำร้ายผู้ควบคุมหุ่นรบที่อยู่ภายในหุ่นรบเลย
ดังนั้นจึงไม่มีใครเตรียมการป้องกันเรื่องนี้ ลองคิดดูสิ ถ้าหากตอนนั้นจู่ๆ ปืนใหญ่เลเซอร์ก็ยิงออกมาจากตรงหัวละก็…อานุภาพของปืนใหญ่เลเซอร์รุนแรงมากกว่าปืนใหญ่รบกวนหลายสิบเท่าจนเกือบหนึ่งร้อยเท่า ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่า ต่อให้หุ่นรบที่รับปืนใหญ่ลูกนี้ไปตรงๆ จะไม่ได้พังยับเยิน แต่ว่าอานุภาพแรงระเบิดที่ปืนใหญ่นำมาเพียงอย่างเดียว ผู้ควบคุมหุ่นรบก็ทนไม่ไหวแล้ว ต่อให้ไม่ตายก็เกือบตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นปัญหาเรื่องระยะการยิงสั้นที่ฉางซินหยวนเสียใจไม่ใช่ปัญหาเลยในสายตาของหลิงหลาน
เพียงแต่ตอนนั้นสถานการณ์คับขัน หลิงหลานไม่มีโอกาสพูดคุยกับฉางซินหยวนเลย หลิงหลานคิดว่านั่นเป็นการออกแบบที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฉางซินหยวนแล้ว ไม่นึกเลยว่าฉางซินหยวนจะมอบความประหลาดใจครั้งใหญ่ให้เธออีกแล้ว คนที่สร้างผลงานระเบิดหุ่นรบของศัตรูตัวแรกก็คือฉางซินหยวนที่ดูมีความสามารถในการต่อสู้อ่อนด้อยมากที่สุด
ปืนลำแสงเหมือนกัน แต่สิ่งที่ยิงออกมาจากในปืนลำแสงของฉางซินหยวนไม่ใช่ลำแสงสีขาวตามมาตรฐาน หากแต่เป็นลำแสงที่แฝงสีม่วงอันน่าประหลาดอยู่เล็กน้อย ลำแสงสายนี้กำจัดพลังงานบนโล่แสงในชั่วพริบตา ทำให้หุ่นรบระเบิดทันที กระทั่งตอนที่ระเบิด หลิงหลานยังคล้ายกับมองเห็นรัศมีแสงสีม่วงเล็กๆ ปะปนอยู่ท่ามกลางเปลวไฟของการระเบิด…
ส่วนหุ่นรบที่ระเบิดอีกตัวก็คือผลงานที่พวกหลิงหลานกับฉีหลงหกคนร่วมมืออย่างรู้ใจกัน พวกฉีหลงห้าคนไม่ได้เลือกโจมตีมั่วซั่ว หากแต่ร่วมโจมตีกับลูกพี่ตนใส่เป้าหมายที่หลิงหลานเลือกไว้ ในเวลาเดียวกันพลังงานโล่แสงของหุ่นรบที่ถูกลำแสงหกสายยิงใส่ตัวนั้นไม่สามารถต้านทานได้ ผลสรุปย่อมเป็นการระเบิดพังพินาศของหุ่นรบ
สนามรบมีการเปลี่ยนแปลงนับหมื่นในชั่วพริบตา ไม่อนุญาตให้นักสู้เสียสมาธิได้ นอกจากหลิงหลานที่สังเกตเห็นอานุภาพปืนลำแสงของฉางซินหยวนแล้ว คนอื่นๆ ต่างไม่ได้สังเกตเห็นเลย พวกฉีหลงแค่แอบยินดีเท่านั้นว่า โชคดีที่สามารถกำจัดหุ่นรบสองตัวได้ในตอนที่โจมตีครั้งแรก นี่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างยิ่งยวด
แค่เผชิญหน้ากันก็สูญเสียหุ่นรบไปสองตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าทีมของพวกเขาหรือว่าบรรดาลูกทีมต่างก็โจมตีกลับด้วยความโกรธเกรี้ยว ปืนลำแสงของทั้งสองฝ่ายระดมยิงเป็นชุด เมื่อเทียบกับความมุทะลุดุดันของฝ่ายตรงข้ามแล้ว พวกฉีหลงกลับใช้การย่างก้าวที่ปราดเปรียวสุดขีดหลบหลีกลำแสงที่ยิงใส่พวกเขา
————————