“การควบคุมของนายอ่อนด้อยที่สุดในทีม เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย นายต้องอยู่ที่นี่ ดูแลข้อมูลชุดนี้ไว้ให้ดี ถ้าเกิดเป็นแบบนี้แล้ว นายยังไม่ระวังทำตัวเองตายขึ้นมาอีก นายแม่งก็เลิกคิดเข้าร่วมทีมหลิงเทียนของพวกเราได้เลย” ฉีหลงเอ่ยข่มขู่อย่างโหดเหี้ยม
คำพูดนี้ทำให้ฉางซินหยวนหน้าแดงไม่หยุด เกิดความคิดอยากประท้วง แต่ก็พบว่าฉีหลงพูดมาไม่ผิด ดังนั้นเขาจึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ฉีหลงกล่าวคำพูดนี้จบก็ไม่สนใจว่าในใจฉางซินหยวนมีความเห็นค้านหรือเปล่า เขาโบกมือกว้างๆ ทีหนึ่ง เรียกพวกเพื่อนๆ ออกจากห้องหุ่นรบรีบไปยังท่าส่งตัว ฉีหลงรู้สึกร้อนรนและกังวลใจ ไม่รู้ว่าลูกพี่ของตนที่อยู่ด้านนอกจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ความจริงเขาอยากไปดูสถานการณ์ที่ส่วนหางตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขาถูกหลี่หลานเฟิงชิงไปก่อนก้าวหนึ่ง…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฉีหลงเริ่มรังเกียจหลี่หลานเฟิง หมอนี่แม่งแสดงออกมากเกินไปแล้ว คว้าทุกโอกาสเพิ่มความมีตัวตนต่อหน้าลูกพี่อย่างมาก ถึงแม้ฉีหลงจะดูหมิ่นหลี่หลานเฟิงอยู่บ้าง แต่ส่วนลึกในใจกลับชื่นชมอีกฝ่ายสุดขีด เพราะว่ามีเพียงคนที่ใส่ใจลูกพี่หลานอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะมีท่าทีแสดงออกแบบนี้
เมื่อฉีหลงเคลื่อนไหว ลั่วล่าง หานจี้จวินและคนอื่นๆ ก็ไปตามเขา ถ้าหากไม่ใช่เพราะลูกพี่หลานเคยสั่งเอาไว้ว่าพวกเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของฉีหลงตลอดการเดินทางนี้ละก็ พวกเขาคงจะข่มกลั้นความทนไม่ไหวพุ่งไปที่ส่วนหางนานแล้ว จะรอจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร
คนสุดท้ายที่ออกไปคือหลี่ซื่ออวี๋ ก่อนที่เขาจะไปก็มองฉางซินหยวนที่อึ้งเซ่อซ่าเป็นก้อนหินอยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจแผ่วเบา เขาหันเส้นทางเดินมาที่ข้างกายฉางซินหยวน ตบไหล่ของเขาเบาๆ กล่าวว่า “นายอย่าคิดมากเลย คำสั่งของฉีหลงก็เป็นการคำนึงถึงนาย นายเชื่อฟังคำสั่งของเขาอย่างสบายใจเถอะ ความจริงแล้ว ฉันคิดว่าที่เขาพูดมาก็ไม่ผิด การควบคุมของนายแย่ไปหน่อยจริงๆ ถ้าเกิดไปถึงส่วนหางแล้วมีอันตรายอะไรละก็ นายปกป้องตัวเองยังยากเลย ไม่สู้อยู่ที่นี่อย่างเชื่อฟังดีกว่า ปกป้องข้อมูลที่สำคัญมากชุดนี้ไว้ให้ดี”
ฉางซินหยวนมองค้อนหลี่ซื่ออวี๋อย่างเสียใจ นี่ยังเป็นเพื่อนร่วมทีมในหน่วยรบเดียวกันอีกเหรอ? จำเป็นต้องเปิดโปงรอยแผลในจิตใจเขาด้วยหรือไง? พวกเขายังสามารถคบหากันอย่างมีความสุขต่อไปได้อีกไหม? ฉางซินหยวนพลันพบว่า หลี่ซื่ออวี๋ที่ดูเหมือนเป็นคนดีจิตใจอ่อนโยนมีศักยภาพในการเป็นคนหน้าซื่อใจคดอย่างแท้จริง
หลี่ซื่ออวี๋ไม่ล่วงรู้ถึงความขุ่นเคืองในใจฉางซินหยวน เนื่องจากเขากล่าวคำพูดประโยคนี้จบแล้วก็รีบตามพวกฉีหลงไปอย่างรวดเร็ว ว่ากันตามตรง ถึงแม้เขาไม่ชอบหลิงหลานอยู่บ้าง แต่ตลอดการเดินทางที่ผ่านมานี้ การกระทำทั้งหมดของหลิงหลานยังคงได้รับการยอมรับจากเขา เขาเองก็ไม่อยากให้หัวหน้าทีมที่ห่วงใยลูกทีมทุกด้านคนนี้เกิดเรื่องขึ้นมาเหมือนกัน ดังนั้นเขาเองก็เตรียมตัวไปที่ส่วนหางเพื่อดูสถานการณ์
ทั่วทั้งห้องหุ่นรบเหลือเพียงฉางซินหยวนคนเดียวเท่านั้น เขามองข้อมูลในมือแล้วถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างจนใจ ใส่ข้อมูลเข้าไปในกระเป๋าตัวเองอย่างระมัดระวัง ก็เหมือนกับที่หลี่ซื่ออวี๋กล่าวไว้ ข้อมูลชุดนี้ล้ำค่ามาก เกี่ยวพันถึงทีมพวกเขาว่าจะก่อตั้งหน่วยรบได้สำเร็จหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่อาจสูญเสียมันไปได้
ในใจฉางซินหยวนรู้ว่า คำพูดที่ฉีหลงกล่าวมานี้ไม่ได้มีเจตนาดูถูกเขาจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มอบไอเทมภารกิจที่สำคัญขนาดนี้ให้เขาดูแล ความจริงแล้ว การตัดสินใจจัดการของฉีหลงก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่งยวด ทีมของพวกเขาจำเป็นต้องมีใครสักคนรอดชีวิตกลับไปส่งภารกิจ และคนผู้นี้จะต้องอยู่ในห้องหุ่นรบ ไม่อาจไปเสี่ยงได้เพื่อรับประกันความปลอดภัย
ถึงแม้ฉางซินหยวนจะเข้าร่วมทีมได้ไม่นาน แต่เขาก็มองออกถึงความรู้สึกลึกซึ้งระหว่างพวกฉีหลงกับลูกพี่หลาน มันไม่ใช่มิตรภาพของหัวหน้าทีมกับลูกทีมทั่วไป หากแต่คล้ายคลึงกับความรักระหว่างพี่น้องที่ผูกพันกันทางสายเลือด ฉางซินหยวนเชื่อว่า ถ้าหากลูกพี่หลานพบเจอเคราะห์ร้าย ท้ายที่สุดได้ติดอยู่ในฐานที่มั่นซวิ่นหลง เกรงว่าพวกฉีหลงอาจจะเลือกออกจากยานรบ และอยู่ในฐานที่มั่นซวิ่นหลงโดยที่ไม่คำนึงถึงความตาย ร่วมเดินทางเคียงข้างลูกพี่ตัวเอง…
ฉางซินหยวนคิดถึงตรงนี้ก็อดอิจฉาความรู้สึกสนิทสนมดั่งพี่น้องที่ล้ำลึกของลูกพี่หลานกับพวกฉีหลงไม่ได้ ถ้าหากทำได้ เขาเองก็อยากเข้าร่วมเป็นหนึ่งในนั้น ร่วมเดินทางเคียงข้างกับลูกพี่หลานและพวกฉีหลง ทว่าสุดท้ายเขาที่มีความสามารถในการควบคุมหุ่นรบอ่อนด้อยมากที่สุดก็กลายเป็นเป้าหมายที่ฉีหลงเลือกให้เป็นคนรั้งอยู่ที่นี่เพื่อส่งมอบภารกิจ แต่เขากลับเอ่ยคำพูดประท้วงใดๆ ออกมาไม่ได้เลย
เนื่องจากฉางซินหยวนรู้ดีว่า ฐานที่มั่นซวิ่นหลงอันตรายอย่างมาก พวกเขาที่เปิดเผยตัวแล้วติดอยู่ในฐานที่มั่นซวิ่นหลงจำเป็นต้องต่อสู้นองเลือด เข่นฆ่าสังหารตลอดทางถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต ดังนั้น คนที่ตามไปต้องมีพลังรบที่แข็งแกร่งเหนือชั้น ไม่อย่างนั้นไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ถึงขนาดที่ยังเป็นภาระให้ลูกพี่หลานอีกด้วย ฉางซินหยวนรู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นถึงได้พูดไม่ออก สุดท้ายก็จำใจยอมรับการจัดการของฉีหลงกลายเป็นคนที่อยู่รักษาการณ์คุ้มครองข้อมูล
อันที่จริง ฉางซินหยวนไม่เต็มใจเลย เพราะเขาไม่อยากเป็นลูกทีมที่ถูกทิ้งไว้คนนั้น นี่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์มาก
“ควบคุมอ่อนด้อยมากที่สุดเหรอ? ถ้าอยากยืนอยู่ข้างกายลูกพี่หลาน ไม่ถูกสลัดทิ้ง อาศัยแค่พรสวรรค์ในการดัดแปลงพัฒนาเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอเอามากๆ ฉันจะต้องแข็งแกร่งขึ้น ต้องเป็นเหมือนกับหลินจงชิงและหลี่ซื่ออวี๋ ต่อให้เป็นสมาชิกแนวหลัง ก็ต้องกลายเป็นคนที่มีกำลังรบยอดเยี่ยมมากที่สุด…” ฉางซินหยวนกำหมัดแน่นอย่างเงียบเชียบ แววตามีความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่พาดผ่าน ในใจเขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไปที่คิดเพียงว่าการดัดแปลงพัฒนาก็คือทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว
……
เมื่อวิ่งตะบึงอย่างบ้าคลั่งมาตลอดทาง หลี่หลานเฟิงจึงเป็นคนแรกที่มาถึงท่าส่งตัวของส่วนหาง เมื่อมาถึงทางออก สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในสายตาทันทีก็คือ หลิงหลานกำลังบังคับหุ่นรบไล่ตามยานรบอย่างสุดชีวิต เวลานี้เขาห่างออกไปประมาณ 10 เมตรแล้ว ดูเหมือนคล้ายกับสามารถขึ้นยานได้สำเร็จทันที แต่หลี่หลานเฟิงกลับพบว่า พลังงานของหุ่นรบของหลิงหลานดูเหมือนจะไม่มั่นคงอยู่บ้าง ราวกับกำลังจะหมดก็ไม่ปาน ความเร็วก็ไม่อาจรักษาให้คงที่ไว้ได้ บางครั้งเร็ว บางครั้งช้า ส่งผลให้หลิงหลานไม่อาจเข้ามาใกล้ยานรบได้อีกก้าว
หลี่หลานเฟิงพลันเกิดความกังวลใจขึ้นมาท่ามกลางความตื่นเต้นยินดี เขากลัวว่าท้ายที่สุดกระต่ายไม่อาจไล่ตามทัน เขาเหลือบมองสภาพแวดล้อมรอบๆ ปากช่องทาง เมื่อพบว่าด้านนอกสุดมีราวจับอยู่อันหนึ่ง คาดว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยเหลือให้หุ่นรบที่บินด้วยความเร็วสูงใช้ร่อนลงในยานรบอย่างรวดเร็ว เขาบังคับหุ่นรบให้มาที่ทางเข้าก่อนจะรู้สึกได้ถึงแรงดูดมหาศาลสายหนึ่งซึ่งดูดหุ่นรบออกไปจากยานรบ เขาถูกเหวี่ยงออกไปในพริบตาก่อนจะคว้าราวจับตรงส่วนหางไว้อย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันก็เปิดใช้แรงยึดข้างใต้เท้าทั้งสองข้างของหุ่นรบ ให้หุ่นรบอยู่อย่างมั่นคง
หลี่หลานเฟิงทำทั้งหมดนี้แล้วก็เชื่อมต่อช่องสื่อสาร ตะโกนดังลั่นว่า “กระต่าย พยายามเข้านะ!” เขาชะโงกตัวออกมาด้วยความใจกล้า ยื่นมือขวาออกมาอย่างสุดความสามารถ พยายามคว้าหุ่นรบของกระต่ายที่อยู่ใกล้มากตรงหน้านี้
กระต่ายน่าจะได้ยินเสียงของเขา หลี่หลานเฟิงเห็นกระต่ายพยายามยื่นมือขวาของเขาออกมาอย่างสุดกำลัง หมายจะคว้ามือของเขาไว้…
มือขนาดใหญ่ของแขนเหล็กทั้งสองข้างเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่กำลังจะคว้าได้นั้น เครื่องยนต์ที่ส่งเสียงดังสนั่นของหุ่นรบกระต่ายพลันดับไปในพริบตา ถึงแม้ช่วงเวลาสุดท้ายกระต่ายจะกระโจนขึ้นมาข้างหน้าอย่างสุดความสามารถ นิ้วมือของพวกเขาเกี่ยวเข้าหากันเพราะเหตุนี้ได้แล้ว แต่น้ำหนักมหาศาลของหุ่นรบ รวมถึงแรงสะท้อนจากการบินด้วยความเร็วสูง เรี่ยวแรงของนิ้วมือไม่อาจแบกรับไหวได้จริงๆ พริบตาที่นิ้วมือของพวกเขาเกี่ยวกระหวัดกัน มันก็ถูกสลัดออกไปอีกครั้ง
หลี่หลานเฟิงเห็นหุ่นรบของกระต่ายหยุดอยู่ตรงนั้นก่อนจะร่วงลงไป เขาบังคับหุ่นรบให้พุ่งไปทันทีโดยไม่ครุ่นคิดเลยสักนิดเดียว กระโดดออกมาจากปากทางขึ้นยานรบ กอดแขนขวาของหุ่นรบกระต่ายที่กำลังจะตกลงไปไว้แน่น…
“กระต่าย ฉันจะไม่ปล่อยมืออีกแล้ว” หลี่หลานเฟิงจำได้เพียงว่าเขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ เขารู้ความหมายที่แท้จริงของคำพูดประโยคนี้ของเขาว่าคืออะไร เมื่อเจ็ดปีก่อนเขาเคยทอดทิ้งกระต่ายเองครั้งหนึ่ง แต่ว่านับจากนี้เป็นต้นไป เขาจะไม่ปล่อยมืออีกแล้ว!
หลี่หลานเฟิงคิดว่าเขากับกระต่ายจะร่วงลงไปยังฐานที่มั่นซวิ่นหลงด้วยกันนั้น ในตอนที่ร่วมเป็นร่วมตายนั้น เขากลับรู้สึกว่าหุ่นรบของตัวเองถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งฉุดรั้งไว้ เขากับกระต่ายห้อยอยู่ด้านล่างยานรบ และกำลังไต่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ที่แท้พวกฉีหลงมาถึงในช่วงเวลาวิกฤติ คว้าต้นขาทั้งสองข้างของหุ่นรบเขาไว้อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาดที่อุดหูไม่ทัน
ส่วนหุ่นรบของฉีหลงก็ถูกลั่วล่างกับหานจี้จวินจับไว้แน่น ด้านหลังพวกเขาก็คือเซี่ยอี๋กับหลินจงชิง พวกลั่วล่าง หานจี้จวินสี่คนกุมราวจับบนผนังท่าส่งตัวไว้คนละข้างอย่างมั่นคง ฝืนหักล้างแรงตกลงไปของหุ่นรบเขากับกระต่าย
ในตอนที่หานจี้จวินเอ่ยเตือนอย่างรวดเร็วว่าให้ทุกคนใช้แรงร่วมกันลากเขากับกระต่ายกลับมาที่ยานรบ หลี่ซื่ออวี๋ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ในที่สุดฉีหลงก็ดึงหลี่หลานเฟิงกับมาได้ภายใต้ความช่วยเหลือของหลี่ซื่ออวี๋ ท้ายที่สุดก็ลากหลิงหลานกลับเข้ามาในยานรบได้สำเร็จ
เมื่อหลิงหลานที่รอดพ้นจากหายนะเข้ามาในยานรบ เธอก็ทิ้งคำพูดประโยคหนึ่งไว้โดยที่ไม่พูดมากทันทีว่า “รีบกลับไปที่ห้อง!” เธอพาพวกลูกทีมรีบกลับไปยังห้องหุ่นรบของส่วนหาง เนื่องจากเสี่ยวซื่อบอกหลิงหลานว่า ยานรบจะพุ่งฝ่าชั้นบรรยากาศแล้ว หากหุ่นรบที่ไม่มีความมั่นคงและขาดพลังงานอยู่ตรงท่าส่งตัวต่อไป ย่อมเป็นการฆ่าตัวตายแน่นอน
ทุกคนพุ่งเข้าไปในท่าส่งตัวอย่างรีบเร่ง เสี่ยวซื่อรีบปิดประตูผนึกให้สนิทบานแล้วบานเล่า เมื่อฉางซินหยวนที่รออยู่บนบูสเตอร์ซีทเพื่อรับประกันความปลอดภัยเห็นหลิงหลานพุ่งเข้าในห้องหุ่นรบเป็นคนแรก เขาก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้นทันทีว่า “ลูกพี่หลาน นายกลับมาแล้ว”
หลิงหลานยังไม่ทันตอบ ยานรบก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง นอกจากฉางซินหยวนที่รออยู่ในบูสเตอร์ซีทอย่างเชื่อฟังเลยไม่มีปัญหาแล้ว คนอื่นๆ ต่างหกคะเมนตีลังกาเพราะการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงนี้
“หมอบลง!” ทุกคนได้ยินคำสั่งของหลิงหลานดังขึ้นในช่องสื่อสาร ทุกคนตัดสินใจหมอบลงกับพื้นทันที ห้องหุ่นรบเกิดเสียงกระทบกันอย่างหนักหน่วง ถ้าหากไม่ใช่เพราะทั่วทั้งยานบินสั่นสะเทือนไม่หยุดละก็ เสียงของพวกเขาที่นีย่อมต้องดึงดูดความสนใจของทหารสหพันธรัฐในห้องควบคุมหลัก
เวลานี้ทหารสหพันธรัฐทุกคนในห้องควบคุมหลักต่างก้มตัวจับแผงควบคุมเบื้องหน้าตัวเองไว้ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด การสั่นสะเทือนจากการฝ่าชั้นบรรยากาศรุนแรงอย่างยิ่ง คนที่มีคุณสมบัติร่างกายอ่อนด้อยเล็กน้อยไม่อาจปรับตัวได้ แน่นอนว่าสาเหตุที่พวกเขาทรมานขนาดนี้เป็นเพราะว่าพลังงานของยานรบไม่เพียงพอ พวกเขาจำเป็นต้องประหยัดแหล่งพลังงานทั้งหมด ไม่ได้เปิดใช้อุปกรณ์ป้องกันการสั่นสะเทือน เพื่อรับประกันว่ายานรบสามารถบินออกจากชั้นบรรยากาศของฐานที่มั่นซวิ่นหลงได้สำเร็จ นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องอดทนอย่างยากลำบากแบบนี้
การสั่นสะเทือนรุนแรงเกือบห้านาที แทบจะทำให้ทหารสหพันธรัฐในห้องควบคุมหลักกระอักเลือดอย่างบาดเจ็บสาหัส ในที่สุดเมื่อยานรบหลุดพ้นจากแรงดึงดูดของฐานที่มั่น ทะยานเข้าสู่อวกาศ การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงถึงค่อยหายไป เปลี่ยนเป็นความมั่นคงอย่างหาใดเปรียบ ทหารสหพันธรัฐที่รู้สึกได้ว่าสถานการณ์คงที่แล้วถึงค่อยลุกขึ้นมา ทว่าเวลานี้สีหน้าของพวกเขาดูย่ำแย่มาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บหนักอะไรจากการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แต่มันยังคงทำให้ร่างกายของพวกเขาทนรับไม่ไหวอยู่ดี เกรงว่าหลังจากที่กลับไปแล้ว พวกเขาต้องการเวลาช่วงหนึ่งถึงจะฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้
——————————–