ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 93 ตายหนึ่ง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 93 ตายหนึ่ง

ท่ามกลางหมอกที่กระจายไปทั่วนั้น เฉินเฉียงรีบหันไปทิศทางหนึ่งและดึงเจ้าอ้วนให้มาหา เขาใช้ก้าวย่างสวรรค์ย่างก้าวแรกโจนทะยานไปทางอื่นสามร้อยเมตร และนี่ทำให้หลบการโจมตีถึงตายทั้งสองได้

“พี่เฉียง ให้ข้าส่งสัญญาณให้นายพลหลิงรับทราบดีหรือไม่”

เจ้าอ้วนที่หน้าซีดเผือดเพราะพึ่งจะรอดตายมาอย่างหวุดหวิด เขาถามในขณะที่ใช้มือจับที่ขลุ่ยผิวและเตรียมที่จะวางที่ปาก

“ไม่ต้อง”

เฉินเฉียงได้จับไปที่ขลุ่ยผิวของเจ้าอ้วนเพื่อห้ามปรามและดันเขาไว้ให้คอยอยู่ข้างหลัง ในขณะเดียวกันก็ได้มีชายสองคนปรากฏตัวขึ้นอยู่ตรงหน้า

ดูจากการโจมตีเมื่อครู่และระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าแล้ว ต่อให้เจ้าอ้วนเรียกหลิงเว่ยและคนอื่นๆมาก็ไม่แคล้วต้องตกตาย

“พวกเจ้ามาจากสำนักเต่าดำงั้นรึ”

เหมือนชายที่ปิดหน้าไว้ทำให้เฉินเฉียงนึกถึงอาจารย์ของสำนักที่ปิดหน้าที่เจอเมื่อไม่กี่วันก่อน

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองตรงหน้าของเขาเองอย่างมากก็อยู่ในระดับนายพลวิญญาณระดับกลาง แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่อาจารย์ โดยเห็นได้ชัดจากความประสงค์ร้ายหมายเอาชีวิตของเขา แถมยังไม่เพียงจะคิดฆ่าเพียงเขา แต่หมายเอาชีวิตเจ้าอ้วนที่อยู่ด้วยกันเสียอีก

นี่สมควรจะเป็นศิษย์สำนักเต่าดำ และเพียงคนเดียวที่กล้าจะทำได้ขนาดนี้ก็คือ จ้าวฮั่น

“พวกเจ้าเป็นจ้าวฮั่นส่งมาสินะ”

ชายสองคนมองหน้ากันและเผยรอยยิ้มออกมา “ถึงแม้จ้าวฮั่นจะมีผู้อาวุโสสองหนุนหลัง แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขานั้นย่อมไม่พอที่จะออกคำสั่งพวกเราพี่น้องได้”

-พี่น้องเหรอ-

เฉินเฉียงได้นึกไปถึงที่ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาหลู่ฟางเคยพูดเอาไว้เกี่ยวกับลีหลินมาก่อนหน้านี้ สองพี่น้องที่มีระดับการบ่มเพาะเดียวกัน และอยู่ในระดับเดียวกันกับสองคนตรงหน้าเขา ทั้งคู่พึ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางเมื่อไม่นานมานี้

“ลีหลินกับลีจี๋สินะ”

เฉินเฉียงชี้ไปที่คนทั้งสองก่อนที่จะตะโกนออกมา “พวกเราต่างก็เป็นศิษย์สำนักเต่าดำ ทำไมพวกเจ้าต้องฆ่าข้า แถมยังเล็งไปที่คนที่ไม่มีระดับการบ่มเพาะเสียอีก”

ทั้งสองไม่คิดว่าจะโดนจดจำได้ในทันทีแบบนี้ นี่ทำให้ทั้งสองต่างก็ดึงผ้าที่ปิดหน้าออก

“ฮี่ฮี่ฮี่ เฉินเฉียง เจ้าโทษตัวเองก็แล้วกันที่มีระดับการบ่มเพาะที่ไม่สูงแต่ดันมีสมบัติอยู่กับมือ”

“แต่เดิมพวกข้าพี่น้องแค่ต้องการแก่นโลหิตในมือแกเท่านั้น แต่ในเมื่อแกจดจำพวกข้าได้ ก็อย่าได้หาว่าพวกข้าโหดร้ายจะดีกว่า”

“ส่วนไอ้อ้วนนั่น ใครใช้ให้มันอยู่กับเจ้ากันล่ะ”

“หากเรื่องของพวกข้ารั่วไหลไปเพราะมัน พวกข้าคงไม่มีที่อยู่ในสำนักเป็นแน่”

เฉินเฉียงได้ถ่มน้ำลายออกมาก่อนที่จะพูดออกมาอย่างดูถูก “แกสองคนนี่พูดมากไร้สาระจริงๆ”

“ต่อให้ข้าจำพวกแกไม่ได้ แกก็คงไม่คิดจะปล่อยเจ้าอ้วนไปอยู่แล้ว”

“ไม่อย่างนั้นพวกแกคงไม่คิดจะสังหารตั้งแต่พวกข้ายังไม่รู้ตัวหรอก”

“ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางแล้วยังไง”

“อยากจะฆ่าข้าเรอะ เก่งจริงก็เข้ามา”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้พาเจ้าอ้วนพุ่งทะยานไปไกลอีกสามร้อยเมตร

แต่โดยไม่คาดคิด พี่น้องลีไม่คิดจะตาม ทั้งสองกลับวิ่งไปทางอาณานิคมเขาหมาง

“เฉินเฉียง ถึงพวกจ้าพี่น้องจะไม่รวดเร็วเท่าแก แต่หากแกคิดจะหนี พวกเราจะฆ่าทุกคนที่อยู่ในอาณานิคมแห่งนี้”

-ระยำ-

เฉินเฉียงได้หยุดเท้าลงในทันทีก่อนที่จะหันไปมองยังสองพี่น้องลีด้วยจิตใจที่โกรธเกรี้ยว

“พอแล้ว ข้าจะมอบแก่นโลหิตให้พวกเจ้า แต่ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะถอนตัวไปจากที่นี่หลังจากได้รับมันไปแล้ว อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวหรือรบกวนผู้คนในอาณานิคมแห่งนี้อีกต่อไป”

เมื่อพี่น้องลีได้เห็นท่าทางและได้ยินคำพูดของเฉินเฉียงแล้วทำให้สายตาของทั้งสองเปล่งประกายในทันใด

“ฮี่ฮี่ฮี่ เราสองคนนั้นแม้ต้องการเพียงแก่นโลหิตก็จริง แต่จ้าวฮั่นนั้นได้ตั้งค่าหัวแกไว้หนึ่งหมื่นแต้มคะแนนหากนำหัวแกกลับไป มีหรือที่พวกเราจะปฏิเสธ”

“ในที่สุดก็เป็นไอ้ระยำนี่สินะ”

เฉินเฉียงได้กัดฟันแน่นและกร่นเสียงออกมาอย่างโกรธแค้น เป็นจ้าวฮั่นที่ทำเหมือนตอนที่เขาออกไปล่าวานรเขี้ยววายุ

ตอนนี้ต่อให้สองคนนี้จะได้แก่นโลหิตไป ทั้งสองคนนี้ก็คงจะไม่ปล่อยเขา

และเพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องนี้รั่วไหล เจ้าอ้วนก็คงต้องถูกกำจัด

ดีไม่ดีทั้งอาณานิคมเขาหมางก็อาจจะต้องตกตายจนหมดด้วยเหตุนี้

เพียงแก่นโลหิตเพียงขวดเดียวแต่ก็เพียงพอให้คนชั่วร้ายเคลื่อนไหวได้อย่างบ้าคลั่ง พวกมันกล้าทำได้แม้แต่เรื่องโหดร้ายอย่างที่ถูหมั่นเถียนเคยก่อเอาไว้กับเผ่าพันธุ์

กับคนเช่นนี้หากเรียนจบออกไปจากสำนักเต่าดำล่ะก็คงไม่แคล้วจะหาประโยชน์จากเผ่าพันธุ์เดียวกันเป็นแน่

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงได้ดึงดาบดั้นเมฆออกมาอีกครั้ง

ต่อให้ศัตรูของเขาทั้งสองคนนี้จะอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง แต่ตราบใดที่เขาวางแผนดีๆได้ล่ะก็ เขาจะสังหารพวกมันได้ทั้งสองคน

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงก็ได้ผลักเจ้าอ้วนให้ถอยไปไกล ก่อนที่จะตั้งท่าดาบและพุ่งเข้าใส่สองพี่น้อง

“หากคิดจะฆ่าข้า ก็จงใช้ฝีมือทั้งหมดที่มีซะ”

เหมือนเห็นว่าเฉินเฉียงพุ่งตรงมาที่พวกตนราวกับยอมเสี่ยงชีวิตเพื่ออยู่รอด สองพี่น้องก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาในทันที

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เด็กเวรที่เพิ่งขึ้นเป็นระดับนายพลวิญญาณเนี่ยนะจะมาสู้กับขั้นกลางถึงสองคน แกจะเล่นตลกอะไรกัน แกคิดว่าแกเป็นสาวน้อยอัจฉริยะแห่งสำนักวิหคอัสนีเว่ยฉิงเชินรึยังไง”

“พี่ใหญ่ ในเมื่อมันอยากจะเล่นก็เล่นกับมันหน่อยแล้วกัน ให้มันสนุกจนตัวสั่นจนตกตายไปเลย”

ทั้งสองได้พูดแหย่และหัวเราะออกมา ก่อนที่จะใช้พลังสายเลือดเคลือบร่างเป็นเกราะพลังงานหุ้มร่างกายไว้

ในตอนนี้ เฉินเฉียงอยู่ห่างจากทั้งสองเพียงหกเมตรเท่านั้น

ระยะกำลังเหมาะ

เฉินเฉียงผู้ซึ่งคำนวณระยะทางเป็นอย่างดีแล้วก็อาศัยจังหวะนี้ในการเร่งความเร็วและเบี่ยงทิศทางไปข้างๆ และทำการตั้งดาบให้มีมุมตั้งฉากกับพื้นก่อนที่จะใช้ทักษะขุดรูระดับสูงสุดในทันที

เพียงชั่วครึ่งลมหายใจ เกราะพลังงานที่เคลือบร่างกายของลีหลินอยู่นั้นได้แตกออก เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างของเขาได้ถูกดาบดั้นเมฆตัดไปจนขาดครึ่ง

หากไม่ใช่เพราะลีหลินประมาทจนไม่เห็นเฉินเฉียงอยู่ในสายตาล่ะก็เขาก็คงไม่ตกตายง่ายๆถึงเพียงนี้

เมื่อเห็นพี่ชายที่พึ่งจะพูดคุยกันได้ตกตายกลายเป็นศพอยู่ตรงหน้า นี่ทำให้ลีจี๋หน้าถอดสีและตื่นกลัว

ในขณะเดียวกันเขาก็โกรธจัดเมื่อพบว่าการโจมตีของเฉินเฉียงนั้นแปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ

นั่นก็เพราะบนร่างกายของเฉินเฉียงในตอนนี้เขาไม่เห็นร่องรอยของพลังสายเลือดแต่อย่างใด แต่เขาก็ประเมินในทันทีว่าท่าฟันดาบเมื่อครู่นี้จะต้องมาจากพลังสายเลือดอย่างแน่นอน

-พลังสายเลือดที่ไร้สีสัน สายเลือดห่าเหวอะไรกันวะ-

-ไม่ใช่ว่ามันมีสายเลือดผสมหกสายเลือดรึไง แล้วทำไมมันถึงไม่มีสีล่ะ-

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ลีจี๋มีความคิดที่จะถอยหนีไปจากที่นี่ในทันที

แต่ก่อนที่ลีจี๋จะได้ทำอะไร เฉินเฉียงก็ได้ปรับเปลี่ยนทิศทางพุ่งมาที่เขาอีกครั้ง

ถึงแม้ว่าลีจี๋ไม่รู้ว่าเฉินเฉียงนั้นใช้เคล็ดวิชาอะไร แต่ด้วยการที่สามารถทำลายเกราะพลังงานของระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางได้ จะเป็นเพียงท่าโจมตีธรรมดาได้ยังไง

ในตอนนี้ลีจี๋ทำได้เพียงหลบการโจมตีเท่านั้นโดยไม่อาจจะตั้งรับได้

เฉินเฉียงผู้ซึ่งพุ่งไปไกลได้ลอบถอนหายใจและส่ายหัวตัวเองไปมาอย่างไม่พอใจ

ถึงแม้ว่าด้วยทักษะการขุดของเขานั้นจะใช้ได้เต็มประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อศัตรูไม่ได้ระวังตัวเท่านั้น จึงจะทำให้พวกมันตกตายลงได้

แต่กลับศัตรูที่ระวังตัวแบบนี้ เขาเองก็ยากที่จะโจมตีโดนได้อีก

ลีจี๋ผู้ซึ่งหลบการโจมตีไปได้ก็ได้มองเฉินเฉียงด้วยสีหน้าที่โหดเหี้ยม “เฉินเฉียง แก ฆ่าพี่ชายของข้า หากข้าไม่แก้แค้น ข้าลีจี๋ไม่ขอเป็นคน”

“ไม่ใช่ว่าแกห่วงใยคนในอาณานิคมนี้มากนักไม่ใช่รึไง”

“นี่คงเป็นเมืองเกิดของแกสินะ”

“ข้าจะดูสิว่าแกจะช่วยผู้คนที่นี่สักกี่คน”

หลังจากพูดจบ ลีจี๋ได้รีบโจนทะยานตรงไปยังอาณานิคมที่อยู่ไม่ไกล

Related

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท