ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 111 สหาย

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 111 สหาย

ภายใต้การนำของจางหยวน กองกำลังเทียนเว่ยได้ออกจากตึกจอมพลแดนใต้ไปด้วยใจที่ฮึกเหิม

ไม่มีใครเลยในพวกเขานั้นจะคิดเลยว่าหลังจากแกร่วเตร็ดเตร่ประดุจดังคนว่างงานมานานนับแรมปีในตึกจอมพลเหมันต์จันทรา ในตอนนี้พวกเขากลับได้รับภารกิจการสงครามที่ใฝ่ฝันหาในขณะมาทำภารกิจที่ตึกจอมพลอื่น และนี่ทำให้พวกเขานั้นตื่นเต้นแบบสุดๆ

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง รอข้าด้วย”

เพียงออกจากประตู เว่ยฉิงเชินได้ไล่ตามพวกเขาออกมา

“ฉิงเชิน กลับมานี่เดี๋ยวนี้”

ตามมาด้วยเสียงไล่หลังของเว่ยหยวนตี้ผู้ซึ่งวิ่งตามมาตะครุบลูกของตนได้ทัน

“เป็นเด็กดีนะลูกเอ๋ย เจ้าอย่าได้ก่อเรื่องอีกเลย เจ้าก็รู้ว่าพี่ใหญ่เฉินเฉียงของเจ้าและคนอื่นๆต้องเดินทางเข้าร่วมสนามรบ หลังจากได้รับชัยชนะแล้วเขาก็จะกลับมาเอง”

เว่ยหยวนตี้ได้รั้งลูกสาวของตนอย่างสุดความสามารถพลางหว่านล้อมเธอย่างเต็มที่

“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ไม่ใช่ว่าท่านเองจะเข้าร่วมงานประลองสี่สำนักที่จะจัดในอีกหนึ่งปีครึ่งใช่รึเปล่า ขอให้จำไว้ว่าข้านั้นจะรอคอยท่านอยู่ ”

เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็พยักหน้ารับและพูดออกมา “อย่าได้เป็นกังวลไปเลยน้องฉิงเชิน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าเองย่อมไปปรากฏตัว แล้วเราจะได้พบกันอีก”

หลังจากมองส่งกองกำลังเทียนเว่ยจนรับสายตาไปแล้ว เว่ยฉิงเชินได้หันหน้าไปหาผู้เป็นพ่อของตนพร้อมน้ำเสียงที่เย็นชา “พ่อ ทำไมท่านต้องส่งพวกเขาไปตาย”

เว่ยหยวนตี้เมื่อได้ยินก็ตกตะลึงจนต้องนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เขาได้ตอบออกมา “ยัยเด็กนี่ นี่ลูกพูดเรื่องไร้สาระอะไรกันอีก”

“ลูกพูดไร้สาระเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า พ่อ ตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้า ก็ได้ยินท่านเล่าเรื่องคุณงามความดีของลุงเทียนเว่ยมากมายหลายหนจนข้านั้นจดจำได้เป็นอย่างดี”

“แต่ในวันนี้ เพียงพี่ใหญ่เฉินเฉียงได้ปรากฏตัว ท่าทีของท่านกลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ อย่าคิดว่าไม่รู้ว่าเรื่องนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่”

“และข้าบอกได้เลยว่า ขนาดข้ายังสงสัยในเรื่องนี้ ข้าก็เชื่อว่าพี่ใหญ่เฉินเฉียงและคนอื่นๆเองไม่ได้โง่ พวกเขาย่อมระแคะระคายในเรื่องนี้”

“และไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ในวันนี้ ท่านได้ส่งพวกเขาไปยังสถานที่อันตรายอย่างทะเลแดนใต้ หากว่าพี่ใหญ่เฉินเฉียงเป็นอะไรไปล่ะก็ ข้าจะไม่ให้อภัยท่านเลย”

เมื่อพูดจบ เว่ยฉินเชิงได้สะบัดมือออกจากการจับของผู้เป็นพ่อและกลับเข้าไปในตึกจอมพลอย่างขุ่นเคือง

เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้เห็นท่าทางของลูกสาวของตนที่จากไปอย่างขุ่นเคือง นี่ทำให้เขาราวกับเป็นผู้พ่ายแพ้และบ่นพึมพำออกมาเบาๆ “นี่…คงไม่ใช่ว่าข้าตัดสินใจผิดไปหรอกนะ”

ลีปิงได้ก้มหัวลงและพูดออกมาอย่างเคารพ “นายท่าน ข้าเชื่อว่าสักวัน คุณหนูจะต้องเข้าใจในการตัดสินใจที่ยากลำบากของท่านในครั้งนี้”

หลังจากที่กองกำลังเทียนเว่ยได้ออกจากเขตเมืองของตึกจอมพลมาแล้ว หลู่จี้ได้วิ่งไปหาทีมลาดตระเวนก่อนที่จะสอบถามอะไรบางอย่างแล้วรีบเดินกลับมา

“เฮ้ เจ้าหนอนหนังสือ นี่เจ้าไปไหนมาเนี่ย” เหรินหมิงได้ดึงแขนของหลู่จี้ไว้และถามออกมา

หลู่จี้ได้ส่ายหน้าของตนก่อนที่จะหันไปหาจางหยวน “กัปตัน ดูเหมือนว่าภารกิจของเราในครั้งนี้จะนำพาความวิบัติมาแล้วจริงๆ”

จางหยวนผู้ซึ่งกำลังใจประดุจดั่งไฟที่ลุกโชติช่วงได้หันไปถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ก็ไม่ใช่ว่ากองกำลังของเรานั้นแต่ก่อนก็รับทำแต่ภารกิจแบบนี้อยู่แล้ว ตราบใดที่พวกเราได้เข้าร่วมสนามรบ แค่นี้ก็ดีพอแล้วไม่ใช่รึไง ข้าพูดถูกรึเปล่า”

“ถูกแล้ว และหากเราไม่ได้เข้าร่วมการสู้รบในครั้งนี้ เห็นทีพวกเราเองคงไม่มีโอกาสจะได้เขาสนามรบไปอีกตลอดกาล นี่ เจ้าหนอนหนังสือ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิตที่เจ้าได้ไปสู้กับพวกมนุษย์กลายพันธุ์สักหน่อย แล้วเจ้าจะกลัวไปทำซากอะไรกัน”

“ข้าเห็นด้วยกับหลางซานเอ๋อ เจ้าหนอนโง่ ถ้าเจ้ากลัวตายเจ้าก็บอกกัปตันไปเลย หากไปทั้งใจที่ขลาดกลัวแบบนี้ข้าว่าให้กัปตันส่งเจ้ากลับบ้านเกิด แต่งเมีย มีลูกอ้วนๆจ้ำม้ำสักคน”

หลู่จี้ยังเมินเฉยต่อคำยุแหย่ของผู้คนราวกับไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ และเขาก็ได้พูดออกมา “กัปตัน ข้าไปถามพวกลาดตระเวนเมื่อครู่เกี่ยวกับเรื่องเขตของผู้บัญชาการสูงสุดมาแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าพวกนั้นบอกว่ายังไง”

“พวกมันบอกว่าอะไร” จางหยวนได้ถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

“พวกนั้นบอกว่าสงครามทะเลแดนใต้จบลงแล้ว เขตกันหนันและตึกจอมพลแห่งเมืองหลวงร่วมกันต้านไอ้พวกสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลไม่ไหว และคนกลุ่มสุดท้ายได้กลับมาแล้ว”

“ เดี๋ยวนะ แล้วผู้การแห่งกันหนันจะส่งพวกเราไปทำบ้าอะไรกัน อย่าบอกนะว่าเขาจะส่งพวกเราไปตาย” หลิวไฮ่เป็นคนแรกที่ตะโกนออกมาอย่างดังลั่น

“เงียบ”

จางหยวนพูดออกมาด้วยใบหน้าที่มืดครึ้ม

หลู่จี้คนนี้คือหัวสมองของกองกำลังเทียนเว่ย ทุกคนล้วนแล้วแต่เชื่อมั่นในสิ่งที่เขาคิดวิเคราะห์ออกมาได้

อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้ จางหยวนได้เพิกเฉยต่อคำพูดของหัวสมองของกลุ่ม หลังจากหยุดคิดไปเพียงเล็กน้อย เขาก็ได้ทำสัญญาณมือและพูดออกมา “เดินหน้าต่อไปตามแผนเดิม”

ด้วยคำสั่งของกัปตัน ต่อให้พวกเขานั้นจะต้องไปตาย ก็ไม่มีใครคิดจะขัดคำสั่ง พวกเขาได้แต่เพียงทำตามอย่างเงียบงัน

“ถ้าหากให้พูดกันตามหลักแล้ว ไม่ใช่ว่าการที่น้องชายเฉินเฉียงที่ผู้การแห่งกันหนันถือตัวว่าเป็นลุงของเขาอยู่นี่นา แล้วเขาจะส่งหลานชายตัวเองให้ไปตายได้ยังไงกัน”

หลังจากเดินไปสักพัก ใครคนหนึ่งก็ได้กระซิบพูดออกมา

“ฮึ่ม ข้าว่า เรื่องนี้ต้องเป็นเพราะน้องชายเฉินเฉียงมากกว่า ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่ต้องถูกส่งไปหาที่ตายแบบนี้”

“หวังต้าหลู่ นี่เจ้าคิดอะไรอยู่ พวกเรากองกำลังเทียนเว่ยเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนะเว้ย และนี่เอ็งจะมาเปิดประเด็นให้แตกกัน…เพื่ออะไร”

หวังต้าหลู่ผู้ซึ่งมีฉายาว่าเทพเจ้าแห่งเงินตรารีบพูดปกป้องตัวเองในทันที “กัปตัน ข้าไม่ได้หมายถึงแบบนั้น แน่นอนว่าข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ยังไงซะ เขาเองก็เป็นทายาทของผู้การเทียนเว่ยเลยนะ ข้าจะไปหาเหาใส่หัวไปทำไม”

“ที่ข้าพูดนั้นหมายถึงไอ้ตอนที่อยู่ตึกจอมพลนั่นต่างหาก ท่าทีของผู้การแห่งกันหนันในตอนนั้นใครดูก็รู้ว่าเขากลัวที่น้องเฉินเฉียงจะไม่รับภารกิจขนาดไหน และข้าเองก็เชื่อว่าทั้งน้องเฉินเฉียงและเจ้าหนอนหนังสือเองก็ต้องสังเกตเห็นในเรื่องนี้”

หลังจากหวังต้าหลู่พูดจบ ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก

เอาจริงๆแล้วพวกเขานั้นไม่รู้จะพูดออกมายังไงดีมากกว่า ด้วยระดับมันสมองของพวกเขาเองนั้น ยิ่งพูด ก็จะยิ่งก่อปัญหาแบบเมื่อครู่นี้

แน่นอนว่ากับเรื่องนี้ แม้แต่เฉินเฉียงก็ยังสงสัย

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เขาเองไม่ว่ามองยังไงก็ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ

“น้องเฉินเฉียง ข้าเพียงพูดไปตามสิ่งที่เห็น ขอให้เจ้าอย่าได้ถือสา ข้าขอโทษจริงๆ”

ถึงแม้เฉินเฉียงจะสงสัยอยู่ว่าเขาจะขอโทษทำไม แต่เขาเองก็ไม่อาจจะพูดอะไรออกมาได้เหมือนกัน

นั่นก็เพราะสิ่งที่หวังต้าหลู่คิด แม้แต่เขาก็ยังคิดแบบเดียวกัน

จางหยวนได้พูดออกมาด้วยเสียงอันก้องกังวาน “พวกเจ้าเองก็บ่นอยู่ได้ทุกเมื่อเชื่อวันมาปีนึงที่ไม่ได้ภารกิจแบบนี้ แล้วมาตอนนี้เมื่อพวกเจ้าได้รับภารกิจที่ถวิลหากันแล้วจะบ่นไปทำซากอะไรกัน”

“ข้าจะขอพูดให้ชัดๆเลยนะว่า ถึงแม้กองกำลังของเราจะเล็ก แต่ข้า ในฐานะของหัวหน้ารักษาการ ข้าจะบอกเฉกเช่นเดียวกับที่ผ่านมาว่ากองกำลังของเรานั้นไม่ได้เน้นที่จำนวน”

“หากพวกเจ้ากลัวตายก็ไสหัวกันไปได้เลย ไป๊”

เพียงสิ้นคำของจางหยวน ทุกคนในกองกำลังก็ได้ยืดอกและพูดออกมาอย่างฮึกเหิม “กองกำลังเทียนเว่ย อยู่เพื่อสงคราม ตายในสงคราม ไม่เสียใจที่ตกตาย”

อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของพวกเขาในตอนนี้ ไม่ได้ฮึกเหิมเทียบเท่ากับตอนที่อยู่ต่อหน้าเว่ยหยวนตี้แต่อย่างใด พวกเขาทำราวกับท่องบทสวดมนต์

หลังจากนั้นเหรินหมิงได้วิ่งไปหาจางหยวนก่อนจะไปคล้องแขนของเขาไว้และพูดออกมา “ข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อท่าน ตายเพื่อท่าน ต่อให้ตกตาย ข้าก็จะไม่เสียใจ”

“รีบๆไปตายเลยไป๊”

จางหยวนพูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเตะเข้าไปหนึ่งที

เฉินเฉียงมองคนทั้งแปดในตอนนี้ราวกับพวกเขานั้นคือพี่น้องแท้ๆของตนไปแล้ว และนี่ทำให้เขานั้นเชื่อว่าเขาตัดสินใจไม่ผิดที่ได้เข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ย

“ดีจริงๆ ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม แต่การที่ได้มาอยู่กับพวกท่านแบบนี้ นี่ถือว่าเป็นเกียรติของข้าจริงๆที่ได้พบพวกท่าน”

“ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็ยินยอมพร้อมใจที่จะตายได้”

คำพูดของเฉินเฉียงเองได้ทำให้ทุกคนนั้นรู้สึกได้ประหนึ่งการเป็นครอบครัวเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ได้มีเสียงเบาๆดังออกมาจากด้านหลัง “เฮ้ น้องเฉินเฉียง นี่….อย่าบอกนะว่าเจ้านั้นลืมไปแล้วว่ายังมีข้ากับหลัวหลันอยู่น่ะ”

ที่ข้างหลังเขานั้น ม่อโชวได้พูดออกมาด้วยท่าทีอึกอัก พร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกมาอย่างคับข้องใจ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท