ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 142 เขตแดนจักรพรรดิ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 142 เขตแดนจักรพรรดิ

การที่เฉินเฉียงปฏิเสธออกมาตรงๆในทันทีนี้อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คน

เจิ้งยี่เองแม้ต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาถูกซุนไคจ้องมองจึงได้หุบปากลง

“เฉินเฉียง ในเมื่อเจ้านั้นไม่ต้องการ พวกเราเองก็จะรอดูฝีมือเจ้าในงานประลองสี่สำนักก็แล้วกัน”

“แต่เรื่องกลับไปสำนักเต่าดำในตอนนี้นั้น ผอ.เฉียนของเจ้าได้บอกข้าไว้ เขาหวังจะให้เจ้านั้นอยู่ที่สำนักมังกรอาชูร่าแห่งนี้จนกว่าจะถึงงานประลอง แล้วเมื่อถึงเวลานั้น เจ้าค่อยไปที่กันหนันกับพวกเรา”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ตัวเจ้านั้นได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับสำนักมังกรอาชูร่าของข้า หลังจากพูดคุยกับผู้บริหารของสำนักแล้ว พวกข้าตั้งใจว่าจะให้เจ้านั้นใช้ห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดของสำนักเราเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม เจ้าคิดว่ายังไง”

“ห้ะ โอ้ นี่มันดียิ่งนัก ถ้าเป็นเช่นนั้นขอต้องขอบคุณท่านผอ.ซุนแล้ว”

การได้เข้าใช้ห้องบ่มเพาะเป็นเวลาหนึ่งเดือนนี้เทียบเท่ากับการใช้แผ่นพลังงานสามแผ่น นี่จะช่วยให้เขานั้นสามารถเปิดจุดชีพจรลับได้เป็นอย่างดี

เมื่อซุนไคได้มองเห็นเจิ้งยี่ที่ยืนจ้องนิ่งๆอยู่ที่ประตูทางเข้า ซุนไคก็ได้พูดออกมา “เจิ้งยี่ ผลงานของเจ้าเองก็ใช่ว่าจะน้อยไปกว่ากันเท่าไหร่เจ้าเองก็เข้าไปใช้ห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดของสำนักได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนด้วยเช่นกัน อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้ พวกเราค่อยไปยังกันหนันด้วยกัน”

เจิ้งยี่มีท่าทีผ่อนคลายลงทันทีเมื่อได้ยิน “ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก”

เป็นตอนนี้ที่เจิ้งยี่ได้มองเฉินเฉียงด้วยสายตายั่วยุก่อนจะเดินออกจากห้องทำงานของผอ.ไป

ไม่นาน ทั้งเฉินเฉียงและเจิ้งยี่ก็ได้เข้าไปในห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดของสำนักมังกรอาชูร่าแทบจะพร้อมกัน

“ผอ.ซุน ท่านคิดว่าเฉินเฉียงนั้นจะชนะเจิ้งยี่ในงานประลองสี่สำนักได้รึเปล่า”

“ก็พูดยากอยู่นา” ซุนไคเขม่นตาลงข้างหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “หากวัดกันที่ระดับการบ่มเพาะ เจิ้งยี่นั้นมองยังไงก็แข็งแกร่งกว่าเฉินเฉียงอย่างมาก”

“แต่เฉินเฉียงนั้นเป็นคนที่สั่นคลอนท่าทีอันเยือกเย็นของไอ้เฒ่าเฉียนได้เลยนา นี่แสดงว่าตัวเด็กนี่เป็นอะไรที่ไม่อาจประมาทได้เลยสักนิด”

“หากว่าเฉินเฉียงนั้นบรรลุระดับขั้นนายพลวิญญาณขั้นกลางได้ในหนึ่งเดือนนี้ นี่จะถือว่าเจิ้งยี่นั้นมีศัตรูตัวฉกาจอย่างแน่นอน”

“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วทำไมท่านถึงยังยอมให้เฉินเฉียงใช้ห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดของเราอีกล่ะ นั่นมันเทียบเท่ากับการขุนศัตรูของสำนักเราเลยนะนั่น”

“รองผอ. เจ้าพูดผิดแล้ว”

ซุนไคได้พูดออกมาด้วยท่าทีที่จริงจัง “ข้าเองย่อมหวังให้เจิ้งยี่นั้นได้ที่หนึ่ง แต่เฉินเฉียงเองนั้นได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับสำนักของพวกเราอย่างมาก ทำความดีย่อมได้ความชอบ นี่คือเรื่องที่ชอบธรรมแล้ว”

“อีกอย่าง เฉินเฉียงในตอนนี้นั้นคือขุนพลของเผ่าพันธุ์มนุษย์เราแล้ว การส่งเสริมให้เขาแข็งแกร่งขึ้น นี่ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์ของเราอย่างมหาศาล”

“พวกเราไม่สมควรจะทำลายผู้ซึ่งจะเป็นอนาคตของเผ่าพันธุ์เราเพียงเพราะชื่อเสียงส่วนตัวหรอกนะ”

ถึงแม้ซุนไคและผอ.เฉียนแห่งสำนักเต่าดำนั้นจะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งและเป็นคู่กัดกันอยู่เป็นนิจ เนื่องด้วยต่างคนต่างก็เป็นผอ.ของสำนักศึกษากันคนละแห่ง กับเรื่องนี้ นอกจากเรื่องระดับการบ่มเพาะของตนเองแล้ว พวกเขานั้นต่างต้องการสร้างอัจฉริยะที่เป็นอนาคตของมนุษยชาติกันอย่างเต็มที่

ที่ห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดของสำนักมังกรอาชูร่า เฉินเฉียงอยู่ในนั้นไม่ออกมาแต่อย่างใด ผ่านไปยี่สิบวันแล้ว เขาได้เติมเต็มพลังงานสายเลือดจนเต็มจุดชีพจรลับของเขาจนทำให้เขานั้นเปิดจุดชีพจรลับได้อีกสองจุด และในตอนนี้เขานั้นเปิดได้ถึงจุดที่เก้าแล้ว

เฉินเฉียงไม่ได้เปิดจุดต่อแต่อย่างใด เขาได้หยุดการทะลวงจุดและเริ่มเติมพลังสายเลือดในจุดชีพจรของตนเพื่อให้บังเกิดความเสถียรมากยิ่งขึ้นและเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเขานั้นทะลวงจุดได้เร็วจนเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะเกิดปัญหาในการบ่มเพาะในอนาคต

นอกจากนี้ เฉินเฉียงยังเพิ่มค่าสถานะพื้นฐานของเขาให้อยู่ในสถานะที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ระดับ: นักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น

การหลอมรวมทักษะ: 1

ค่าพลังงาน:43,500

ค่าการใช้ประโยชน์:1

ค่าความอดทน:329

ค่าความแข็งแกร่ง:302

ค่าความเร็ว:276

ค่าพลังจิต:171

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: หลอมเลือดทำลายล้างระดับต้น

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: ภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทร ระดับเริ่มเรียนรู้

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคฝึกฝนร่างกายพื้นฐาน ระดับต้น

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุแบบดั้งเดิม ระดับต้น

เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: เทคนิคการยิงธนูของโฮ่วอี้(ผู้ดับตะวัน) ระดับต้น

ทักษะ: เปลี่ยนรูปลักษณ์

ทักษะ: ปีกสีเงิน ระดับ 7

ทักษะ: ซ่อนตัวจากแสง ระดับ 3

……

ทักษะ: ขุดรูระดับสูง

……

สายเลือด: โกลาหลแรกกำเนิด

ในตอนนี้หากดูจากค่าสถานะทั้งหมดแล้ว ค่าพลังจิตของเขานั้นอยู่ต่ำที่สุด

เคล็ดวิชาภาพวาดแห่งห้วงมหาสมุทรของเขานั้นยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เทคนิคการยิงธนูของโฮ่วอี้ของเขาเองตอนนี้ก็ยังคงอยู่ที่ระดับเรียนรู้เพียงเท่านั้น ดูเหมือนว่าเขาเองคงต้องหาโอกาสเพิ่มค่าพลังจิตของเขาให้มากขึ้นกว่านี้อีก

หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุด เฉินเฉียงก็ไม่มีทางเลือกทำได้เพียงเดินออกมาจากห้องบ่มเพาะที่ดีที่สุดของสำนักมังกรอาชูร่าเพียงเท่านั้น

ในขณะเดียวกัน เจิ้งยี่ในตอนนี้ได้ทะลวงจุดชีพจรลับได้สำเร็จและตอนนี้ถึงจุดที่สิบห้าแล้ว

เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงนั้นยังไม่อาจจะบรรลุระดับขั้นเป็นระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางได้ นี่ทำให้เจิ้งยี่รู้สึกองอาจขึ้นได้อีกครั้ง และเดินออกไปจากห้องบ่มเพาะด้วยท่าทางวางก้ามในทันที

ในตอนนี้ ศิษย์ในสำนักมังกรอาชูร่ากว่าหกร้อยคนจากหลากหลายแผนกได้มารวมตัวกันที่ลานกว้างของสำนัก ในหมู่ศิษย์เหล่านี้ มีศิษย์ที่มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางอยู่ทั้งหมดเจ็ดสิบคน

นี่คือสิ่งที่ช่วยยืนยันให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสำนักมังกรอาชูร่าแห่งนี้คือสำนักอันดับหนึ่งในสี่สำนักการศึกษาแห่งภาคกลาง

ซุนไคและผู้บริหารสำนักคนอื่นๆที่ตั้งแถวอยู่นั้นได้มองเจิ้งยี่ที่เดินตรงมาหาและก้มหัวพร้อมทำการคารวะให้พวกเขา นี่ทำให้พวกเขานั้นยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

นักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางผู้ซึ่งเปิดจุดชีพจรลับได้ถึงสิบห้าจุดผู้นี้ ย่อมเป็นอันดับหนึ่งเหนือศิษย์ทั้งสี่สำนักได้อย่างแน่นอน

แต่เมื่อซุนไคได้หันไปมองเฉินเฉียง เฉินเฉียงเองก็ทำได้เพียงเผยเกราะพลังงานที่มองไม่เห็นของเขาให้ซุนไคได้ดูเพียงเท่านั้น

นี่เป็นครั้งแรกที่เขานั้นที่แสดงพลังต่อหน้าคนของสำนักมังกรอาชูร่าโดยไม่ได้กินยาสีสัน แน่นอนว่ามีเพียงผู้มีระดับการบ่มเพาะขั้นราชาทั้งสี่ของสำนักมังกรอาชูร่าเท่านั้นที่มองเห็น

ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นต้องลงประลองในงานประลองสี่สำนักนี้อยู่แล้ว เรื่องที่เขานั้นมีพลังงานสายเลือดที่ไม่มีสีนี้ยังไงซะอีกไม่นานก็ต้องมีคนรู้ เขาจึงไม่ต้องซ่อนเร้นมันอีกต่อไป

“เจิ้งยี่ เจ้ากลับไปรวมกับกลุ่มของเจ้าได้แล้ว เฉินเฉียง เจ้าเองก็ควรไปอยู่กับเจิ้งยี่ด้วย”

“ลูกศิษย์ทั้งหลาย ถึงแม้ว่างานประลองสี่สำนักนี้สมควรจะจัดขึ้นในอีกสี่ปีหลังจากนี้จากปกติที่ควรจะจัดในทุกห้าปี”

“แต่เหตุผลที่ว่าทำไมงานประลองในครั้งนี้ถูกร่นเข้ามานั้นเป็นเพราะผู้จัดงานประลองแห่งเขตกันหนันนั้นไม่พร้อมที่จะจัดงานในเวลาดังกล่าว”

“แต่ในอีกทางหนึ่ง คนที่มีความสามารถที่สูงล้ำมากพอที่เจ้าเข้าไปยังเขตแดนจักรพรรดิได้นั้นจะถูกเลือกโดยผู้บัญชาการสูงสุดของสามเหล่าทัพ”

“นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการประลองสี่สำนักในครั้งนี้ถึงได้จัดขึ้นเป็นพิเศษ และมันมีผลต่ออนาคตของพวกเจ้าทุกคน พวกข้าทุกคนนั้นหวังว่าพวกเจ้าจะพยายามกันอย่างสุดความสามารถและคว้าอันดับหนึ่งมากให้สำนักของเราได้อีกครั้ง”

“เอาล่ะทุกคน เดี๋ยวเราจะรอกันจนกว่าคนของสำนักเสือขาวมาถึง แล้วพวกเราจะตรงไปยังกันหนันด้วยกัน”

หลังจากซุนไคพูดจบ ศิษย์สำนักมังกรอาชูร่าก็มีท่าทีที่ผ่อนคลายลงและเริ่มพูดคุยกัน จะมีก็เพียงเฉินเฉียงเท่านั้นที่ยังคงสงสัยอยู่

“ศิษย์พี่เจิ้งยี่ ท่านพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับเขตแดนจักรพรรดิที่ผอ.ซุนกล่าวออกมาเมื่อครู่รึเปล่า”

เจิ้งยี่นั้นเป็นถึงหัวหน้าของแผนกทองคำแห่งสำนักมังกรอาชูร่า เมื่อได้ยินคำถามของเฉินเฉียงแล้วเขาก็อดที่จะยิ้มและพูดออกมาไม่ได้ “ศิษย์น้องเฉิน เจ้าไม่เคยได้ยินคำนี้ตอนอยู่ที่สำนักเต่าดำหรอกเรอะ”

เฉินเฉียงได้ส่ายหน้าอย่างยอมรับ และมองเจิ้งยี่ด้วยความสงสัย

“เจ้านั้นมาจากสถานที่เล็กๆจริงๆสินะจึงเคยได้ยินคำคำนี้”

“ให้ข้าบอกเจ้าแล้วกัน เขตแดนจักรพรรดินั้นเป็นมิติเล็กๆที่ลึกลับ ตามเรื่องเล่ากล่าวไว้ว่าที่นั่นคือสนามรบของเหล่าผู้มีระดับการบ่มเพาะระดับราชาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์”

การจะเปิดเขตแดนจักรพรรดินี้ได้นั้นจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือของระดับราชาในการเปิดช่องมิติ ข้างในนั้นย่อมมีสมบัติที่มากมายและประเมินค่าไม่ได้ที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยเหล่าราชาของแต่ละเผ่าพันธุ์ที่ทิ้งไว้ในระหว่างสงคราม

อย่างไรก็ตาม เขตแดนนี้นั้นจะอนุญาตให้สิ่งมีชีวิตที่มีระดับต่ำกว่าราชาเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือภายในนั้นไม่อาจจะทำการบรรลุขั้นหรือแหกกฎใดๆที่กำหนดไว้

แน่นอนว่าหากเจ้านั้นแข็งแกร่งอยู่ในระดับราชาแล้ว เจ้านั้นสามารถทำลายกฎเกณฑ์การบ่มเพาะนี้หรือกฎอะไรก็ตามที่อยู่ที่นั่นได้อย่างไม่ต้องสงสัย

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท