ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 258 รังเกียจ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 258 รังเกียจ

“สองพันสองร้อยเมตรรึ” ราชสวรรค์ขมวดคิ้วในทันที “ยังน้อยไปหน่อยนะ”

ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งเฉินเฉียงนั้นจะสูงล้ำที่สุดในเหล่านายพลวิญญาณขั้นสูงด้วยกันจนเขานึกว่าพอจะโอ้อวดได้แล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดว่าเมื่ออยู่ในมุมมองของราชาสวรรค์แล้วมันยังถือว่าน้อยไปหน่อยได้อีก

นี่คงไม่ใช่ว่าเขาโดนหลอกด่าอยู่หรอกนะ

เขานั้นเป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นสูง จะไปสู้กับราชาสวรรค์ได้ยังไง

ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังรู้สึกเซ็งๆอยู่นี้เอง ราชาสวรรค์ก็ได้ถามอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมา “เฉินเฉียง ไอ้ที่ข้าสอนเจ้าก่อนหน้านี้เกี่ยวกับตอนที่ก้าวข้ามระดับการบ่มเพาะไปขั้นกลางนั่นน่ะ เจ้าได้ทำให้มันเกิดขอบเขตแห่งการต่อสู้ได้รึเปล่า”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เฉินเฉียงก็ได้ยืดอกตรงแล้วพูดออกมา “ข้าต้องขอบคุณท่านราชาสวรรค์ที่ช่วยชี้แนะในเรื่องนี้ครับ ผู้น้อยได้ทำให้มันเกิดขึ้นจนในตอนนี้ทำให้มันอยู่ในระดับกลางเรียบร้อยแล้ว”

“โอ้” ราชาสวรรค์เบิกตากว้างในทันทีเมื่อได้ยิน “งั้นก็รีบๆแสดงออกมาให้ข้าเห็นซะ”

“…..เอ่อ….ท่านราชาสวรรค์ ที่ว่าแสดงออกมานี่….คือ….ข้าต้องทำยังไงมันถึงจะออกมากัน” เฉินเฉียงได้เกาหัวแกรกๆในทันทีเมื่อได้ยิน “ท่านราชาสวรรค์ ผู้น้อยเองนึกว่าขอบเขตแห่งการต่อสู้นี้จะปรากฏเฉพาะตอนที่ต่อสู้อย่างดุเดือดเพียงเท่านั้น หากว่าท่านไม่โจมตีข้ามาในตอนนี้ ข้าเองก็ไม่รู้อีกแล้วว่าต้องทำยังไงมันถึงจะออกมา”

“เจ้า……โง่เง่าได้ถึงขนาดนี้เลยรึเนี่ย” ราชาสวรรค์หลุดปากด่าออกมาอย่างไม่ลังเล

“ข้าล่ะน้า ไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าไปถึงขอบเขตแห่งการต่อสู้ขั้นกลางได้โดยที่เจ้านั้นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยสักนิด”

“เอาล่ะ ฟังข้าให้ดีๆนะ ฟังนะ”

“หากเจ้าต้องการปลดปล่อยขอบเขตแห่งการต่อสู้ มันก็ทำได้ไม่ยากนัก เพียงเจ้าปิดจุดชีพจรทั้งหมดของเจ้า แล้วกระแทกพวกมันด้วยพลังสายเลือดเพียงเท่านั้น”

“………ง่ายแค่นั้นเลยรึ”

“เออ ง่ายแค่นั้นแหละ”

เฉินเฉียงได้ทำตามคำแนะนำของราชาสวรรค์อย่างไม่มีผิดเพี้ยน หรือก็คือเขาได้ปิดจุดชีพจรในร่างของเขาทั้งหมด ก่อนที่เขาจะใช้ทักษะหลอมเลือดทำลายล้างรวมพลังสายเลือดให้พุ่งเข้าหาจุดชีพจรทั้งหมดในทันที

“อ๊ากกกก”

เฉินเฉียงอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องจนคำรามลั่นออกมาเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดของจุดลมปราณทั้งหมดพร้อมๆกัน

ในตอนที่เสียงคำรามของเขาได้ขึ้นถึงขีดสุด ออร่าของเขาก็ได้พลุ่งพล่าน บางส่วนยังคงอยู่กับร่างกาย อีกบางส่วนได้พุ่งกระจายไปในทุกทิศทุกทาง ส่งผลให้เสื้อคลุมของราชาสวรรค์ปลิวสะบัดไปมา แม้แต่หมอกไอดำบนใบหน้าก็ยังต้องหมุนวนเพื่อพยายามรักษาตำแหน่งหน้าที่ของมันอย่างไม่หยุดหย่อน

ส่วนหยานเสวี่ยนั้น ถึงเธอจะฝืนยื้อเท้าเอาไว้ได้แต่มันก็ทำให้เธอต้องถอยร่นไปสองก้าว ก่อนจะมองไปยังเฉินเฉียงที่ในตอนนี้ราวกับเทพสงครามที่มาสถิตอยู่ในโลกอย่างตกตะลึง

“ใช่แล้ว เจ้านั้นสามารถทำให้ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ไปสู่ขั้นกลางได้แล้วจริงๆ” ราชาสวรรค์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

เมื่อเฉินเฉียงได้ยินดังนั้นแล้วเขาก็รู้สึกยินดีขึ้นมาในทันที

ในตอนนี้ ด้วยขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขั้นกลางนี้ทำให้เขานั้นมีพลังสูงกว่าตอนที่เขาสู้กับหลิวเฟิงเสียอีก

“เฉินเฉียง เจ้าต้องใส่ใจฝึกวิธีการใช้ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเจ้าในการต่อสู้ให้บ่อยๆล่ะ อย่างน้อยๆเมื่อถึงคราวคับขัน มันจะเป็นอีกหนึ่งไพ่ตายที่เจ้าสามารถใช้ในการต่อสู้กับศัตรูในอนาคตได้”

“ขอคุณท่านราชาสวรรค์ที่ชี้แนะ” เฉินเฉียงที่ยังอยู่ในระหว่างการใช้ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นี้อยู่นั้น เมื่อเขาได้โค้งตัวที่จะแสดงออกมาซึ่งความขอบคุณ เขาก็ได้ขมวดคิ้วและใช้มือกดหน้าอกของตน ก่อนที่มุมปากของเขาจะมีเลือดไหลออกมา

“เกิดอะไรขึ้น เฉินเฉียง เจ้าเป็นอะไร”

ราชาสวรรค์ตกใจจนรีบเข้ามาถามในทันที

“มะ ไม่มีอะไร” เฉินเฉียงพูดก่อนที่จะยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ราชาสวรรค์เข้ามาใกล้

“ไม่เป็นไรได้ยังไงกัน มาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้” ราชาสวรรค์ไม่พูดอะไรอีกก่อนที่เขาจะใช้มือจับไปบนแขนของเฉินเฉียง

“ฮื้ม”

ราชาสวรรค์เมื่อได้เห็นสภาพร่างกายของเฉินเฉียงแล้วนั้น เขาก็ได้มองเฉินเฉียง ก่อนที่จะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “เฉินเฉียง ทำไมสิ่งชั่วร้ายแบบนี้ถึงได้เข้าไปอยู่ในร่างของเจ้าได้ เจ้าได้รับมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

แน่นอนว่าเฉินเฉียงนั้นย่อมรู้ดีราชาสวรรค์นั้นหมายถึงสิ่งใด แต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายออกมายังไงเหมือนกัน

แม้ว่าขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่ราชาสวรรค์ได้สอนเขานั้นจะสำเร็จชนิดที่ว่าเหนือความคาดหมาย แต่มันกลับไปกระตุ้นให้เจ้าลูกบอลเลือดปีศาจที่เขาใช้เวลากว่าสองเดือนในการกักมันเอาไว้ได้นั้นแพร่กระจายออกมา และในตอนนี้มันก็ได้เข้าไปขัดขวางเส้นเลือดหัวใจของเขาอีกครั้งหนึ่ง

“พูดมา ข้าถามเจ้าว่าเจ้าได้รับสิ่งน่ารังเกียจนี่เข้าไปในร่างกายตั้งแต่เมื่อไหร่”

แน่นอนว่าเฉินเฉียงไม่อาจจะบอกได้ว่าเขานั้นได้รับมาหลังจากไปจับเข้ากับกระดูกสีดำ แต่เขาเองก็ไม่อาจจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไปได้เหมือนกัน เขาจึงได้ส่ายหัวแล้วพูดออกมา “ข้าไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ข้าเองก็พึ่งจะรับรู้การคงอยู่ของมันก็ตอนก่อนที่จะตัดสินใจออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิเท่านั้น อึ้ก”

“จิ้จิ้จิ้ เจ็บจนทนไม่ไหวขนาดนี้แล้วยังมีหน้ามา….”

หลังจากพูดจบ ราชาสวรรค์ก็ได้ปล่อยกระแสจิตของตนเข้าไปสำรวจลูกบอลเลือดปีศาจทั่วทั้งร่างของเฉินเฉียง

หลังจากนั้น เฉินเฉียงก็รู้สึกได้ว่าลูกบอลปีศาจทั้งหมดนั้น ได้ถูกพลังจิตของราชาสวรรค์บีบอัด จนทำให้มันเล็กลงมากกว่าเดิมจนกลายเป็นลูกบอลเล็กๆไป

“อุ๊บบบ….”

เป็นตอนนี้ที่ราชาสวรรค์พ่นเลือดคำหนึ่งออกมา และนี่ทำให้พลังจิตของเขาอ่อนแอลงไปอย่างมาก

“ท่านราชาสวรรค์ ท่านเป็นยังไงบ้าง”

เมื่อเห็นฉากนี้ หยานเสวี่ยที่อยู่ไม่ห่างได้รีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเลือดที่มุมปากของราชาสวรรค์

“ข้าสบายดี”

ราชาสวรรค์ได้ผลักมือที่กำลังถือผ้าเช็ดหน้าของหยานเสวี่ยออกไป ก่อนที่จะพูดกับเฉินเฉียงอย่างเคร่งขรึม “เฉินเฉียง เมื่อครู่ ข้านั้นได้ใช้พลังจิตของข้าตรวจสอบสิ่งแปลกปลอมในเลือดของเจ้าแล้ว”

“และนั่นทำให้ข้าพบว่า เจ้าลูกบอลดำนั่นราวกับมีชีวิตของตัวมันเองและมันกำลังพยายามกลืนกินสายเลือดของเจ้าอยู่”

“อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสายเลือดของเจ้าเองนั้นก็พิเศษใช่ย่อย ถึงแม้ลูกบอลดำนี้จะพยายามกลืนกินสายเลือดของเจ้าขนาดไหนก็ตาม แต่นั่นก็ไม่อาจทำอะไรสายเลือดของเจ้าได้เลย”

“ปัญหาหลักของเรื่องนี้ก็คงมีเพียงสิ่งเดียวก็คือไอ้ลูกบอลพวกนี้มันไปอุดตันในเส้นเลือดของเจ้าได้ทุกเมื่อ หากเป็นเวลาปกติก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่หากเจ้าต้องต่อสู้ มันจะมีผลในการขัดขวาง จนทำให้เจ้านั้นอาจจะเสียชีวิตได้”

“ข้าเลยลองใช้พลังจิตของข้านั้นบีบอัดไอ้ลูกบอลพวกนี้ให้มันเล็กดู และด้วยวิธีการนี้มันช่วยไม่ให้เจ้านั้นต้องตกอยู่ในอันตราย แม้จะเป็นในการต่อสู้ก็ตาม

แต่ด้วยการที่มันมีมากเกินไป ต่อให้เป็นข้า มันก็ยากเกินที่จะกำจัดให้พวกมันหมดสิ้นในเวลาอันสั้น”

“สุดท้ายแล้วที่เหลือก็คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว”

“แต่การที่เจ้าจะทำแบบข้าได้นั้น เจ้าคงต้องเพิ่มพลังจิตของเจ้าให้เพิ่มสูงยิ่งกว่านี้เสียก่อนล่ะนะ”

“ในระหว่างนี้จะดีกว่าหากเจ้าระวังการใช้ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เอาไว้”

“ขอบคุณท่านราชาสวรรค์” เมื่อเห็นว่าราชาสวรรค์ถึงกับยอมบาดเจ็บเพื่อช่วยเขา นี่ทำให้เฉินเฉียงอดไม่ได้ที่จะกล่าวขอบคุณออกมาด้วยใจจริง

“ไม่ต้องมาขอบคุณข้า เฉินเฉียง ไอ้การช่วยเหลือเจ้ามากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องธนูดำ การช่วยเจ้าให้มีขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ หรือแม้แต่การช่วยเหลือเจ้านั้น ข้าย่อมมีเงื่อนไข”

“ห้ะ เงื่อนไข…..อะไร” เฉินเฉียงถามออกมาอย่างประหม่า

“ฮี่ฮี่ฮี่ ไม่ต้องตื่นตกใจไปหรอกน่า” ราชาสวรรค์พูดออกมาด้วยรอยยิ้มแล้วพูดต่อ “ไอ้เงื่อนไขที่ข้าว่ามานั้นไม่ได้เลวร้ายกับเจ้าหรอกนะ ดีไม่ดีเจ้าจะยินดีเสียด้วยซ้ำ”

“เงื่อนไขของข้านั้นก็คือการช่วยข้าจัดการมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มหนึ่งก็เท่านั้น”

เมื่อเฉินเฉียงได้ยินก็อดที่จะมีสีหน้าสงสัยเสียมิดได้

ราชาสวรรค์เองนั้นก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ แล้วทำไมเขาถึงอยากจะให้เด็กจากเผ่าพันธุ์มนุษย์คนหนึ่งมาคอยเตะตัดแข้งตัดขาพวกเดียวกันอีกล่ะ

ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยระดับการบ่มเพาะของราชาสวรรค์นั้น ลงมือเองน่าจะง่ายกว่าไม่ใช่รึ

ราวกับโดนอ่านความคิดได้ ราชาสวรรค์ได้พูดออกมาต่อ “เฉินเฉียง มนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนี้นั้นเจ้าเองก็เคยพบมาแล้ว แถมยังโดนพวกมันหาเรื่องอีกด้วยนา”

“หมายถึง….หลิวเฟิงกับพวกของมันงั้นรึ” เฉินเฉียงเข้าใจได้ในทันทีและถามออกมาตรงๆ

“ถูกต้อง ไอ้พวกที่ข้าว่านั่นก็คือกลุ่มของหลินไฮ่หวัง”

ราชาสวรรค์ในตอนนี้แม้จะมีหมอกไอดำปกคลุมใบหน้าเอาไว้ทำให้เฉินเฉียงไม่อาจจะทำให้เขานั้นเห็นสีหน้าท่าทางได้โดยตรง แต่เพียงสุ่มสำเนียงเสียงนี้เขาก็พอจะรับรู้ได้ว่า ราชาสวรรค์นั้นมีความแค้นฝังลึกกับหลินไฮ่หวังมากมายขนาดไหน

“ฮึ่ม หลินไฮ่หวังและคนใต้อาณัติของมันนั้นถือตัวว่าครอบครองพลังเหนือมนุษย์ที่เหนือล้ำ และคอยจะขัดแข้งขัดขาราชาผู้นี้ในทุกโอกาส แต่สิ่งที่พวกมันตัดสินใจผิดพลาดคือการกล้าที่จะลงมือกับองครักษ์หยานในตอนที่อยู่ในเขตแดนจักรพรรดิ”

“หากไม่ใช่ว่าข้าและมันนั้นต่างก็เป็นราชาสงครามเหนือมนุษย์ล่ะก็ ป่านนี้ฆ่าเองก็คงจะฆ่ามันไปนานแล้ว”

“เฉินเฉียง ถึงแม้เจ้านั้นจะมีพลังจิตที่อ่อนด้อยไปหน่อยก็ตาม แต่เดิม ตอนแรกนั้นเมื่อข้าได้เห็นเจ้าแสดงขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ขั้นกลางออกมานั้น ข้าเองก็คิดที่จะให้เจ้าใช้สิ่งนี้ทดแทนพลังจิตของเจ้าในการจัดการพวกมัน ใครจะไปคิดว่าเจ้ากลับตกอยู่ในสภาพนี้จนทำให้แผนการของข้าต้องถูกขัดขวางอีกครั้ง”

“นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการที่กลุ่มของหลินไฮ่หวังที่มีตำแหน่งสูงในเผ่าพันธุ์ในมนุษย์กลายพันธุ์เสียอีก”

“แต่ก็อีกล่ะนะ ด้วยการที่กลุ่มของนั้นมีพลังเหนือมนุษย์รูปแบบพลังจิต ยามใดที่พวกมันลงมือ พวกมันสามารถควบคุมเหล่านักรบชั้นสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้มากมาย และนี่ทำให้พวกมันส่งสายลับเข้าไปในเหล่ามนุษย์แล้วฝังแผ่นแก่นพลังงานไว้ในหัวสมองมนุษย์โดยคนใต้อาณัติของมันได้มากมายเช่นเดียวกัน”

“แต่หากเจ้ากำจัดมันได้จริงล่ะก็ ข้าเชื่อว่ามันจะต้องเปิดศึกใหญ่กับเผ่าพันธุ์ของเจ้าไม่ช้าก็เร็ว”

“แต่ด้วยเรื่องของลูกบอลดำในร่างเจ้านั้น หากเจ้าฝืนใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ นั่นมันจะทำให้เจ้าต้องเสี่ยงชีวิตมากเกินไป”

“ดังนั้น ข้าเองก็ไม่อยากจะทำให้เจ้าต้องลำบากใจ หากเจ้าไม่ต้องการจะช่วยเหลือในเรื่องนี้ล่ะก็…….”

“ข้าทำ ไม่สิ ข้าต้องทำให้สำเร็จให้จงได้”

เพียงเมื่อเฉินเฉียงได้ยินว่าราชาสวรรค์ต้องการให้เขาไปบั่นคอหลิวเฟิงเขาก็แทบจะพูดตอบตกลงไปตั้งนานแล้ว

นั่นก็เพราะเขานั้นยังหวังที่จะได้ดูดซับร่างของหลิวเฟิงกับพวกของมันเพื่อเพิ่มค่าพลังจิตของเขาอยู่

ตราบใดที่เขาได้พลังของมนุษย์กลายพันธุ์รูปแบบพลังจิต เขาจะไม่ต้องกังวลเรื่องลูกบอลดำในร่างของเขาอีกต่อไป

“ท่านราชาสวรรค์ ต่อให้ข้าไม่ต้องใช้ขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ข้าก็มั่นใจว่าสามารถจัดการหลินเฟิงและพวกของมันได้”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากท่านราชาสวรรค์สามารถทำอาวุธยิงไกลที่มันคล้ายคลึงกับธนูดำของข้าได้นั้น มันจะยิ่งทำให้ข้ามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น”

“โอ้ เจ้ามั่นใจตัวเองได้ถึงขนาดนั้นเชียวรึ ก็ดี เฉินเฉียง ข้าจะลงมือทำธนูของเจ้าขึ้นมาใหม่ด้วยตัวข้าเองเลยทีเดียว”

“เอ้อ แล้วก็ไม่ต้องกังวลไอ้เจ้าลูกบอลสีดำในร่างเจ้าให้มันมากนักก็ได้”

“ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าพวกนั้นมันคืออะไร และในเมื่อเจ้ายังไม่อยากจะบอกความจริงกับข้าก็ตาม แต่ก็จะช่วยเจ้าให้อยู่ร่วมกับมันให้ได้ก็แล้วกัน”

“หยานเสวี่ย เตรียมห้องให้เฉินเฉียง ให้เขาอยู่นี่สักพักจนกว่าข้าจะทำธนูให้เขาเสร็จ”

เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ก็หายวับไปกับตาของเฉินเฉียงอีกครั้ง

“เฉินเฉียง มากับข้า” หยานเสวี่ยได้เดินนำหน้าเฉินเฉียงไปในขณะที่อุ้มเมิ่งน้อยไปพลางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“ไม่ต้องหรอกองครักษ์หยาน ข้าจะออกไปที่ริมชายหากเพื่อฝึกฝนน่ะ” เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้เดินออกจากห้อง ปล่อยให้หยานเสวี่ยมองตามด้วยตาที่เขม็ง

“หึ ไอ้เจ้านี่ไม่รู้อะไรดีอะไรชั่วจริง ไปกันเถอะเมิ่งน้อย อย่าไปสนไอ้ผู้ชายเลวๆแบบนั้นเลย มา แม่จะพาเจ้าไปกินของอร่อยๆนะ”

“เจี๊ยก เจี๊ยก” เมื่อได้ยินว่าจะได้ของกินอร่อยๆ แน่นอนว่าเมิ่งน้อยก็ต้องกระโดดโลดเต้นไปมารอบหยานเสวี่ย นี่ทำให้เธอหัวเราะออกมาได้ในทันที

ที่ก้อนหินก้อนใหญ่ริมทะเล เฉินเฉียงนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้นพลางฟังเสียงคลื่นทะเลพลางฝึกฝนเคล็ดวิชาของตนไปพลาง จัดการเจ้าลูกบอลดำไปเก็บไว้ในจุดลมปราณไปพลาง

ตราบใดที่เขาไม่ต้องใช้ขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ในการต่อสู้ เขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเจ้าบอลดำเลือดปีศาจนี่ก่อปัญหาให้กับเขาอีก

ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น ในตอนนี้เขาก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนในการจัดเก็บลูกบอลดำพวกนี้ได้จนหมด

“เจี๊ยกเจี๊ยก”

ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเมิ่งน้อยตัวนี้ไปมาได้อย่างสะดวกบนเกาะนี้ด้วยตัวเดียว

เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว เมิ่งน้อยก็ได้กระโดดเข้าไปหาเขาพลางกอดไว้แน่นและเอาหัวถูกับเขาไปมา

เฉินเฉียงได้ยิ้มออกมา พลางนำแก่นวิญญาณออกแล้วโยนให้เมิ่งน้อย

หากจะนับเวลาล่ะก็ เมิ่งน้อยก็เกิดมาได้ปีครึ่งแล้ว แน่นอนว่าแก่นวิญญาณที่มันได้กินเข้าไปนั้นก็มากมายอย่างนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างนั้นทำให้ร่างกายของเมิ่งน้อยไม่ได้เติบโตเลยสักนิด อย่างน้อยๆในตอนนี้มันก็โตได้เท่ากับครึ่งแขนของเขาแล้วล่ะนะ

“เมิ่งน้อย มาม้าของเจ้าอยู่ไหนล่ะนั่น”

“เจี๊ยกเจี๊ยก”

“โอ้ อืมอืม แล้วมาม้าของเจ้าด่าว่าปะป๋ามั่งอ่ะเปล่านิ”

“เจี๊ยกเจี๊ยก”

“อืมอืม ถึงกับเรียกปะป๋าว่าตัวชั่วร้ายเลยเหรอ ก็ไม่เลวนะนั่น เขาว่ากันว่าคำพูดของผู้หญิงมักจะตีความหมายกลับด้านกันนะเจ้ารู้รึเปล่า นั่นก็หมายความว่ามาม้าของเจ้าห่วงใยปะป๋ายังไงล่ะ”

“นี่ เมิ่งน้อย ปะป๋าว่าเจ้านั้นคอยอยู่ข้างแม่เจ้าไว้น่ะดีแล้วนา เมื่อตอนที่เราเจอกันอีกครั้ง เจ้าจะได้มีเรื่องของมะม้าของเจ้าไว้คุยกับปะป๋าไง ตกลงนะ”

“เจียกเจี๊ยก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่น้าช่างออดอ้อนซะจริง ไม่ใช่ว่าปะป๋าจะอยากแยกจากเจ้าไปซะหน่อยนา” หลังจากเกลี้ยกล่อมซื้อตัวสายลับเพื่อวางตัวไว้ข้างหยานเสวี่ยได้ในที่สุด เฉินเฉียงก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาได้อีกนิดนึง

ให้หยานเสวี่ยได้รู้ซะบ้างว่ารสชาติแห่งการถูกคอยจับตาดูนั้นเป็นยังไง

“มามา เมิ่งน้อย เดี๋ยวปะป๋าจะให้แก่นวิญญาณเจ้ากันสองก้อนน้า…” หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็นำแก่นวิญญาณออกมาอีกสองก้อน แน่นอนว่าเมื่อเมิ่งน้อยได้เห็นก็มีดวงตาที่ลุกวาว ก่อนที่จะคว้าพวกมันไปแล้วกระโดดหนีหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา

“เฉินเฉียง ท่านราชาสวรรค์ให้เจ้ากลับเข้าไปพบ”

หยานเสวี่ยได้ตะโกนออกมาจนดังลั่นแต่ไกล

เฉินเฉียงจึงได้ลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหน้าตั้งกลับเข้าบ้านไปในทันที

อย่างที่เขาคาดไว้ เมื่อเข้าไปในห้องหนึ่ง เฉินเฉียงก็ได้พบธนูสีดำอยู่ในมือของราชาสวรรค์โดยไม่แม้แต่จะสะท้อนแสงแม้แต่น้อย แต่ดูๆไปแล้วมันก็มีเอกลักษณ์อย่างที่สุด

เฉินเฉียงได้รับธนูดำมาจากมือของราชาสวรรค์ ก่อนที่จะจับมันส่องดูไปมาทุกมุมทุกพื้นผิว เมื่อเขาลูบไล้มัน ก็พบกับความเหมาะมืออย่างหน้าประหลาด ที่ด้านล่างของมันนั้น เขารู้สึกได้ว่ามีตัวอักษรสลักเอาไว้อยู่

“ธนูประดุจเทพ….เหรอ”

เฉินเฉียงได้อ่านตัวอักษรออกมา พลางหันไปมองราชาสวรรค์

“อื้ม พอดีข้าได้ยินมาจากเฉินเฉียงว่าเจ้าได้นั้นได้รับการอวยยศจากผู้การสูงแห่งกันหนันให้เป็นนายพลเว่ยหวู่ ข้าจึงคิดตั้งชื่อให้มันและสลักนามของมันเอาไว้”

เฉินเฉียงได้ค่อยๆวางธนูประดุจเทพนี้ลงอย่างเบามือ ก่อนที่จะป้องมือแล้วพูดออกมา “ท่านราชาสวรรค์ ดูเหมือนว่าคงถึงเวลาที่ข้าจะไปแล้ว”

“ในส่วนเรื่องของคนใต้อาณัติของหลินไฮ่หวังนั้น เมื่อใดที่ท่านได้ข่าวมา ท่านสามารถให้องครักษ์ไปบอกข้า แล้วข้าจะลงมือในทันที”

เขานั้นอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นคือ กองกำลังเทียนเว่ยของเขานั้นก็ออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิมาได้สามเดือนแล้ว นี่ควรจะถึงเวลากลับไปรวมตัวกับกองกำลังของเขาสักที

“เฉินเฉียง เจ้าพอจะรับฟังคำขอของข้าอีกสักอย่างได้หรือไม่”

เมื่อได้เห็นธนูประดุจเทพนี้แล้ว เฉินเฉียงก็ไม่ลังเลที่จะพูดออกมา “ท่านราชาสวรรค์เชิญกล่าวมา”

“ข้าต้องการให้เจ้าหาโอกาสหลอกล่อให้เว่ยหยวนตี้ ไอ้คนที่หวังจะได้ตำแหน่งผู้การสูงนั่นออกมาหาข้าสักหน่อย”

“ห้ะ”

เฉินเฉียงถึงกับใจเต้นไม่เป็นส่ำในทันทีเมื่อได้ยิน เขามองไปที่ราชาสวรรค์ด้วยท่าทีขึงขังก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าต้องขอโทษท่านราชาสวรรค์ในเรื่องนี้ จะดีกว่าหากท่านเปลี่ยนไปให้ข้าทำอย่างอื่น”

“เว่ยหยวนตี้นั้นถึงแม้เขาจะเป็นหัวหน้าของพ่อข้า แต่เขาก็ยังถือว่าพ่อข้านั้นเป็นพี่น้องคนหนึ่ง”

“พ่อข้าเองก็ได้ตกตายในสงครามไปแล้ว แล้วข้าจะปล่อยให้พี่น้องของเขานั้นพบเจออันตรายได้อย่างไร”

“โอ้ เฉินเฉียง เจ้ารู้รึยังล่ะว่าใครฆ่าพ่อของเจ้า”

“ฮี่ฮี่ฮี่ หากเจ้าไม่รู้ล่ะก็ งั้นข้าก็ขอบอกตามตรงเลยนะว่า พอดีตัวข้านั้นก็ได้รับรู้เรื่องนี้มาเหมือนกัน”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท