บทที่ 263 สับสน
“รองกัปตัน กัปตันหายไปเกินกว่าชั่วโมงแบบนี้แล้วทำไมยังไม่ส่งข่าวคราวมาบอกพวกเราอีกกัน หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้น”
“จริงด้วย รองกัปตัน ทำไมเราไม่ลองส่งข้อความไปถามดูล่ะว่าเป็นยังไงบ้าง หากว่าเขาตกอยู่ในอันตรายล่ะก็พวกเราจะได้ช่วยได้ทัน”
เสียงอันดังก้องของเหรินหมิงนั้นได้ไปกระตุกต่อมความร้อนรนในใจของจางหยวน
แต่เดิมเขาไม่เห็นด้วยกับการกระทำของเฉินเฉียงเหมือนกัน แต่หลังจากได้คุยกันก่อนหน้านี้แล้ว เขาเองก็รู้สึกว่ามันสมควรที่จะทำเสียมิได้
“พอแล้ว เลิกโวยวายได้แล้วน่า” จางหยวนเสียงดังข่มในทันที “ถ้ากัปตันของเขากำลังลอบลงมืออยู่ล่ะ หากเจ้าส่งข้อความไปแล้วจะไม่เป็นการเปิดเผยการตัดสินใจของเขารึไงกัน”
“เอางี้ ข้าเองก็คุ้นเคยกับตำแหน่งที่ตั้งของไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์กับฮั่นปู้เอ๋ออยู่ เดี๋ยวข้าไปดูด้วยตัวเองก็แล้วกัน”
“รอก่อน”
เจิ้งยี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ได้ยกมือขึ้นมาในทันที “ฟังสิ ดูเหมือนจะเริ่มเคลื่อนไหวกันแล้วนะ”
เป็นตอนนี้จางหยวนและคนอื่นๆก็นิ่งเงียบในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนี้
“สู้…สู้กันแล้ว”
เจิ้งยี่และกัวเหลียงพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน
“ต้องเป็นกัปตันแน่ๆ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ พวกเราไปดูกันดีกว่า”
“หลางซานเอ๋อ หยุดเท้าของเจ้าเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย” จางหยวนตะคอกออกมาอย่างโกรธเคือง “กัปตันก็บอกอยู่แหมบๆว่าให้พวกเรารออยู่ที่นี่จนกว่าเขาจะกลับมา แล้วนี่เจ้ายังมีหน้าจะไปอีก มา เดี๋ยวข้าไปดูเอง หากว่ามีปัญหาจริงๆล่ะก็ข้าจะส่งข้อความมาบอกพวกเจ้า ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที”
เมื่อพูดจบ จางหยวนก็วิ่งออกไปในทันที
แต่เพียงเขากำลังจะวิ่งออกไปนั้น เฉินเฉียงก็ได้วิ่งสวนกับเขาไปหลังจากวิ่งไปได้สองไมล์แล้ว
“กัปตัน เกิดอะไรขึ้น นี่พวกเขาเริ่มสู้กันแล้วเหรอ”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับ “กลับกันไปก่อนแล้วค่อยพูดกัน”
ไม่นาน เฉินเฉียงและจางหยวนก็ได้กลับไปรวมกลุ่มกับเจิ้งยี่
“กัปตัน”
เมื่อเจิ้งยี่และพวกเห็นว่าเฉินเฉียงกลับมาอย่างปลอดภัย ทุกคนก็ได้เข้าไปห้อมล้อม
“กัปตัน ฮั่นปู้เอ๋อสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์อย่างนั้นเหรอ”
“ถูกต้อง แถมยังเป็นสงครามที่โหดร้ายเลยทีเดียว”
“แล้วเราจะรออะไรอีกล่ะ ไปช่วยเขากัน”
“หยุดก่อน”
เฉินเฉียงหยุดจางหยวนที่เตรียมจะวิ่งออกไปในทันที
“กัปตัน ท่านหมายความว่ายังไงกัน หรือท่านจะปล่อยให้ไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ทำร้ายนักรบของเผ่าพันธุ์แบบนี้เหรอ”
เมื่อเห็นท่าทางของจางหยวน เฉินเฉียงทำได้เพียงส่ายหัวขึ้นมาเมื่อได้ยิน “จางหยวน ข้าก็ไม่อยากจะคิดแบบนั้นหรอกนะ หากเจ้าต้องการจะไปช่วย ข้าก็จะไม่พูดอะไรให้มากความ”
“แต่ก่อนหน้านั้นน่ะ เจ้าลองถามคนอื่นก่อนดีกว่าว่าอยากจะไปรึเปล่า”
“ทำไมพวกเขาจะไม่อยากไปล่ะ กัปตัน ก็อย่างที่ข้าบอกท่านก่อนหน้านี้ ถึงเรากับฮั่นปู้เอ๋อนั้นจะมีความแค้นส่วนตัวยังไงก็ตาม แต่ในสงครามเป็นตายระหว่างเผ่าพันธุ์แบบนี้ เรื่องพวกนั้นควรเก็บไว้ก่อน พวกเราสามารถใช้โอกาสนี้ฆ่าล้างพวกมันได้เลยนะ”
จางหยวนพูดออกมาด้วยเสียงแห่งความเที่ยงธรรม แต่เมื่อหันไปมองคนในกองกำลังของตน มีเพียงไม่กี่คนที่ทำท่าคันไม้คันมือ
เฉินเฉียงเมื่อเห็นท่าทางระหว่างจางหยวนและคนอื่นแล้ว เขาก็ได้นำกำไลสื่อสารออกมา ก่อนที่จะโยนส่งให้จางหยวน “จางหยวน เปิดให้ทุกคนเห็นซะว่าข้าไปได้อะไรมา หลังจากเห็นแล้วบอกข้ามาอีกทีสิว่าเจ้าคิดยังไง”
“หากเจ้าเห็นแล้วยังคิดจะไปอีก ข้า เฉินเฉียงจะพาพวกเจ้าเข้าไปต่อสู้จนได้รับเกียรติยศมาอีกครั้งเอง”
“อะไรอีกล่ะ” จางหยวนเมื่อได้รับกำไลสื่อสารมาแล้วก็ได้เปิดทั้งไฟล์เสียงและไฟล์วิดีโอขึ้นมา พร้อมกับรับฟังและจ้องมองไปยังฉากเหตุการณ์ที่ได้บันทึกไว้
กำไลสื่อสารนี้เป็นตอนที่เฉินเฉียงได้สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นขององครักษ์ฉี ยิ่งจางหยวนและคนอื่นๆได้เห็น พวกเขาก็ยิ่งตกตะลึง และท้ายที่สุด พวกเขาเกือบจะทำลายกำไลสื่อสารนี้ไปแล้ว
“รองกัปตัน อย่าพึ่งทำลายมัน”
หนอนหนังสือหลู่จี้ได้ฉิงกำไลสื่อสารกลับมาในทันที “รองกัปตัน นี่มันหลักฐานที่ได้มาอย่างยากลำบากเลยนะ เพียงแค่มีมันพวกเราก็สามารถพ้นมลทินได้ในอนาคต”
“มันใช้ไม่ได้หรอก”
เฉินเฉียงได้ยกมือห้ามหลู่จี้แล้วพูดออกมา “เจ้าหนอนโง่ เจ้าไม่เห็นรึไงว่าองครักษ์ฉีมันรับรู้ว่าเป็นนักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์ตอนท้ายน่ะ”
“หากพวกเราส่งสิ่งนี้ไปเป็นหลักฐานล่ะก็ พวกเราคงโดนจ้าวลี่และฮั่นจุยฆ่าอย่างแน่นอน ดีไม่ดีจะโดนยัดข้อหาเสียอีก”
“ไม่ก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวนา กัปตัน พวกเราไม่อาจจะไม่มีอะไรไว้ป้องกันตัวไว้นา ถึงตอนนี้มันจะใช้ไม่ได้ แต่ในวันหนึ่ง เมื่อถึงเวลา กำไลสื่อสารนี้แหละจะทำให้พวกเราได้ความยุติธรรมกลับคืนมา”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินแบบนี้ เขาคิดตามอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็ยอมรับว่าความคิดของหนอนหนังสือผู้นี้
หลู่จี้พูดได้ถูกต้องแล้ว
มันเป็นความจริงที่ว่าจ้าวหลี่และฮั่นจุยนั้นถึงแม้จะมีตำแหน่งที่สูงส่งในเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่อำนาจของทั้งสองนั้นไม่ได้ล้นฟ้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จแต่อย่างใด
ต่อให้ฮั่นจุยจะเป็นผู้อาวุโสสูง แต่มันก็ยังมีคนอื่นที่อยู่เหนือขึ้นไป
ในวันนี้ แม้การทวงคืนความยุติธรรมจากฮั่นจุยนั้นจะเป็นไปได้อย่างยากยิ่ง แต่อย่างน้อยๆวิดีโอนี้ก็เป็นหลักฐานส่วนหนึ่งที่จะใช้เล่นงานฮั่นจุยได้
“พี่ชายทั้งหลาย พวกเจ้าก็ได้เห็นวิดีโอนี้แล้ว พวกเจ้าคิดเห็นเช่นไร ”
“หากพวกเจ้านั้นยังต้องการที่จะช่วยอยู่อีก งั้นพวกเราก็ไปกันหมดเนี่ยแหละ พวกเราจะเคลื่อนไหวในนามกองกำลังเทียนเว่ย พวกเราจะเคลื่อนไหวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
“ถุยยยยย ช่วยพวกมั่นเนี่ยนะ ท่านฝันไปได้เลย” หลางซานเอ๋อได้สบถและก่นด่าสาปแช่งแทบจะพร้อมกันหากมีปากมากกว่านี้
ด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นคลายปมในใจให้กับเจิ้งยี่ไปแล้ว ในตอนนี้หัวใจเขาได้เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าในตอนนี้จิตใจที่ห้าวหาญของเขาได้กลับมาลุกโชน และนี่ทำให้เขานั้นพูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ “ฮั่นปู้เอ๋อและพวกมันสมควรตายแล้ว จะไปช่วยมันทำซากอะไร”
“ช่วยไอ้เลวล่ะยำนั่นเรอะ เหอะ ข้าขอให้มันโดนมนุษย์กลายพันธุ์กินให้เรียบไปเลย”
เสียงอันดังก้องได้ดังขึ้นมา
ส่วนหลิวซวนเอ๋อ เม่ยหลัวหลันและหนี่เฟิงนั้น ถึงแม้พวกเธอจะไม่พูดออกมา แต่จากท่าทางก็บอกได้เลยว่าพวกเธอเองนอกจากจะไม่คิดจะช่วยแล้ว พวกเธอยังนึกเกลียดชังฮั่นปู้เอ๋ออย่างจับใจ
ในตอนนี้เฉินเฉียงได้มองไปที่จางหยวนอีกครั้ง ในตอนนี้จางหยวนนั้นกลับไปนั่งยองๆจมจ่อมอยู่กับพื้นพลางมองดูทุกคนอย่างเลื่อนลอยราวกับวิญญาณถูกหลอกหลอนยังไงก็ไม่รู้
“พี่จาง ท่านคิดว่ายังไงเหรอ” กัวเหลียงถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ
“ศิษย์พี่กัว อย่าพึ่งพูดอะไรเลยน่า” เฉินเฉียงได้ลากกัวเหลียงออกไป
เฉินเฉียงนั้นสังเกตอาการของจางหยวนมาโดยตลอด และในตอนนี้เขาก็รับรู้ได้ว่าจางหยวนกำลังตกอยู่ในสภาพอารมณ์ที่ขุ่นมัว
นั่นก็เพราะเมื่อตอนอยู่ที่ตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา พวกเขาคือกองกำลังไร้เทียมทานมาก่อน
แต่ด้วยช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น จางหยวนต้องการเป็นผู้ที่ต้องคอยนำพาคนทั้งแปดไม่ให้กองกำลังต้องสูญสลาย
นั่นก็เพราะ จางหยวนก็ต้องการให้ผู้คนรับรู้ไว้ว่ากองกำลังเทียนเว่ยนั้น ต่อให้เหลือตัวคนเดียวก็ยังจะเป็นหัวหอกในการพุ่งเข้าใส่มนุษย์กลายพันธุ์
และไม่ว่าจะผ่านความยากลำบากมามากมายขนาดไหนก็ตาม จางหยวนก็ยังยึดมั่นในปณิธานนี้ ไม่เคยพาคนในกองกำลังทำให้ธงแห่งกองกำลังเทียนเว่ยต้องเสียชื่อเสียง
ด้วยความมุ่งมั่นและปณิธานนี้เองที่ทำให้ทุกคนในกองกำลังต่างก็ยอมรับเขาเป็นผู้นำ
ส่วนหนึ่งนั้นก็เพราะจางหยวนนั้นตั้งมั่นในการปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์ และคอยกำจัดมนุษย์กลายพันธุ์ที่ขวางหน้าไม่ถอยหนี
แต่ในครั้งนี้ พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่ากองกำลังที่คอยปฏิบัติงานเพื่อเผ่าพันธุ์มาโดยตลอด จะถูกมนุษย์ที่ตัวเองคอยปกป้องส่งไปตายจนเกือบต้องสูญสิ้นกองกำลัง
แล้วจะให้จิตใจของเขาทนอยู่ต่อได้ยังไง
จะให้เขาปล่อยวางเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่ตั้งมั่นมาตลอดหลายปีอย่างกับพลิกฝ่ามือแบบนี้ จะให้เขานั้นยอมรับได้ในเวลาอันสั้นได้อย่างไร
ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงและจางหยวนจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งแต่เฉินเฉียงก็รู้จักคนเช่นจางหยวนดี
และนี่ทำให้เฉินเฉียงไม่ได้เร่งรีบหรือบังคับให้จางหยวนต้องรีบตัดสินใจแต่อย่างใด
และในช่วงเวลานี้เอง กองกำลังเทียนเว่ยทุกคนต่างก็นิ่งและเฝ้ารออย่างเงียบๆ
“อ๊ากกกกก”
ผ่านไปพักหนึ่ง จางหยวนก็ได้เป็นผู้ทำลายความเงียบงันนี้ด้วยตัวเอง พลางหลั่งน้ำตาด้วยอารมณ์ที่ยากจะเอ่ยพลางทุบตีต่อยพื้นประดุจดั่งผืนปฐพีเป็นตัวกลางเพื่อระบายความอัดอั้น
“จางหยวน”
หลิวซวนเอ๋อรีบวิ่งเข้าไปกอดจางหยวนที่มีท่าที่สุดแสนจะเจ็บปวด ส่วนจางหยวนนั้นในตอนนี้แม้จะหยุดทุบตีแต่ก็ร้องไห้ประดุจดั่งเด็กน้อย
ในช่วงเวลาแบบนี้ ไม่มีใครเลยที่กล้าจะแหย่ว่าจางหยวนเป็นคนอ่อนแอแต่อย่างใด กลับกัน ทุกคนทำท่าราวกับว่าได้รับรู้และเข้าใจในความรู้สึกของจางหยวนเป็นอย่างดี
นั่นก็เพราะพวกเขาเองก็เข้าใจหัวอกของรองกัปตันของตนดีไม่น้อยไปกว่าใคร
มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจโทษใครได้ ไม่อาจให้อภัยใครได้ แต่ก็ไม่อาจจะเอาคืนใครได้เช่นเดียวกัน มันคือสิ่งที่เรียกว่าความอัดอั้นตันใจ
หลังจากผ่านไปนานพอดู จางหยวนในที่สุดก็หยุดร้องไห้ ดูเหมือนว่าเขาจะใช้แรงกายแรงใจทั้งหมดไปกับการฝืนต้านการกอดห้ามของหลิวซวนเอ๋อเลยทีเดียว
“กัปตัน แล้วท่านจะให้ข้าทำยังไง”
“พ่อของพวกข้าต้องตกตายในมือมนุษย์กลายพันธุ์ พวกเขาตกตายเพื่อมนุษยชาติ”
“เพื่อสืบทอดปณิธานของพวกเขาในฐานะทายาท เพื่อล้างแค้นให้พ่อแม่ของพวกเรา พวกเราฆ่ามนุษย์กลายพันธุ์มานับไม่ถ้วนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สร้างคุณงามความดีเพื่อหวังจะให้พวกท่านได้สบายใจ”
“แต่เรื่องในวันนี้มันช่าง…..”
“ทั้งฮั่นปู้เอ๋อที่เป็นคนลงมือ ทั้งจ้าวลี่ที่วางแผนการ ไหนจะฮั่นจุยที่แม้จะรู้อยู่กับอกแต่ก็ยังปล่อยให้มันเกิดขึ้น แถมไอ้สองตัวหลังนั้นคือคนใหญ่คนโตของเผ่าพันธุ์ แล้วจะให้พวกเรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง”
จางหยวนยังคงพร่ำออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง และก็ไม่มีใครเลยที่จะตอบคำถามของจางหยวนได้
นั่นก็เพราะทุกคนรวมถึงเฉินเฉียงกำลังอึ้งอยู่
ทุกตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหนดี แล้วพวกเขาจะตอบอะไรออกไปได้
“กัปตัน ลองฟังดูสิ ดูเหมือนว่าการสู้รบจะจบลงแล้วนะ” เจิ้งยี่ได้พูดออกมา
ถึงแม้เสียงการต่อสู้ที่อยู่ห่างไกลนั้นจะเงียบไปแล้ว แต่จางหยวนและพวกก็ยังไม่อาจขยับเขยื้อนไปได้แม้แต่น้อย ไม่มีใครในที่นี้ที่จะต้องการรู้ผลการสู้รบเลยสักคนเดียว
เฉินเฉียงในตอนนี้ได้พูดออกมา “ให้ไอ้ฮั่นปู้เอ๋อตกตายในสนามรบนั้นมันดีเกินไป”
เฉินเฉียงพูดจบก็นำร่างสองร่างออกมาจากแหวนเก็บของ และโยนพวกมันไปกองกับพื้น
“นี่มันองครักษ์ฉีกับฮั่นปู้เอ๋อไม่ใช่เหรอ นี่ท่านฆ่ามันเหรอ”
“ถูกต้อง หากข้าได้ฆ่ามันด้วยมีตัวเองก็คงไม่อาจจะละวางความเกลียดชังในใจไปได้” เฉินเฉียงได้พูดออกมาอย่างเย็นชาพลางมองไปที่จางหยวน
จางหยวนได้มองไปที่ซากร่างทั้งสอง ก่อนจะยิ้มแหยๆแล้วพูดออกมา “ก็ดี ทีนี้พวกเราก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว”
“จางหยวน เจ้านั้นยังมีโอกาสที่จะกลับไปได้หากเจ้าต้องการ” หลังจากนั้นเฉินเฉียงก็ได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องที่เขาฆ่าฮั่นปู้เอ๋อ
“ข้าฆ่าฮั่นปู้เอ๋อในฐานะขององครักษ์ฉี”
“หากเจ้าอยากกลับไป เจ้าสามารถนำศพขององครักษ์ฉีกลับไปได้ และนี่จะทำให้เจ้าได้รับรางวัลอย่างงามในฐานะที่เป็นผู้ล้างแค้นให้ฮั่นปู้เอ๋อ”
“กลับไป เหอะ กลับไปทำไมกัน ท่านพูดอย่างนี้ไม่บอกให้พวกเรายื่นคอไปให้พวกมันตัดเล่นซะเลยล่ะ ข้าจะกลับไปยอมรับความตายเพื่อ…อะไร”
“ข้าไม่กลับไปล่ะคนหนึ่งแล้ว” คนแรกที่แสดงตนออกมาคือเทพเจ้าเงินตรา หวังต้าหลู่
ไม่นาน คนอื่นๆในกองกำลังเองก็แสดงความคิดของตนออกมา
“จางหยวน แล้วเจ้าล่ะ”
จางหยวนได้มองไปที่เฉินเฉียงด้วยสายตาที่ว่างเปล่า หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็ได้พูดออกมา “ถึงแม้ว่าข้านั้นจะพิสูจน์ไม่ได้ว่าท่านเป็นคนสังหารฮั่นปู้เอ๋อ แต่ข้าก็ไม่โง่พอที่จะกลับไปรับความตาย”
“ยิ่งไปกว่าคือพวกเราคือกองกำลัง พวกเราจะทำอะไรก็ต้องทำด้วยกัน ว่าแต่พวกเราจะไปไหนกันดี”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ ก่อนที่จะก้มลงไปหยิบแหวนของฮั่นปู้เอ๋อโยนไปให้หวังต้าหลู่แล้วเก็บซากร่างของทั้งสองคนไป
“พี่ชายทั้งหลาย ทุกคนคงยังจดจำได้อยู่ใช่หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งนั้น ข้า เคยเข้าไปในเขตแดนลึกลับที่อยู่บนปลายบันไดสู่สรวงสวรรค์ในเขตแดนจักรพรรดิ”
“ข้าขอบอกตามตรงเลยนะว่าเมื่อตอนที่ข้าออกมานั้น ราชาสวรรค์ได้ถามข้าในเรื่องนี้ แต่ข้าก็ยังไม่ได้บอกอะไรกับเขาไป”
“แต่ในตอนนี้ข้าจะบอกพวกเจ้า”
“ข้าขอบอกเลยว่าตอนที่ข้าออกจากเขตแดนลึกลับนั้นเป็นข้าโดนใครบางคนดีดออกมา”
“ห้ะ”
จางหยวนและพวกได้ยินต่างก็ตกตะลึง ตกตะลึงชนิดที่ว่ามองเห็นได้ว่าทุกคนแสดงออกมาอย่างตกตะลึง
นั่นก็เพราะถึงแม้ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ทุกคนจะทำเหมือนไม่มีอะไร แต่กับสิ่งนี้แล้วนั้นเป็นสิ่งที่ข้างคาใจพวกเขามาโดยตลอด
และในตอนนี้ เฉินเฉียงกำลังจะคลี่คลายปมในใจของทุกคนในตอนนี้และเดี๋ยวนี้
“กัปตัน ท่านหมายความว่ามีคนอื่นอยู่ในเขตแดนลึกลับนั่นงั้นเหรอ ใครกันที่สามารถไล่ท่านออกมาได้”
เฉินเฉียงได้ส่ายหน้าออกมาในทันที “ถ้าว่าตามตรงแล้วคำว่าไล่ก็ไม่ถูกนัก ตอนที่ข้าพยายามจะจับร่างของคนคนนั้น ข้าก็ถูกพลังของเขาดีดข้าออกมาจากเขตแดนนั่นถึงจะถูก”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือ ด้วยพลังที่แข็งแกร่งนั่น ไม่เพียงจะเพียงพอที่จะดีดข้าออกไปไกลได้นับสิบกิโลเมตร มันยังทรงพลังถึงขนาดดีดข้าออกมาจากเขตแดนนั้นได้ในทันที”
“นี่…นี่มัน…. หากว่าสิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง ผู้ที่อยู่ในนั้นสมควรจะอยู่ในระดับราชาขุน…ไม่สิราชาจอมพลเทพ….ไม่ไม่ไม่ หรือว่าจะอยู่…..”
ในขณะที่เจิ้งยี่ยังไม่ทันพูดจบดี ทุกคนต่างก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเจิ้งยี่ต้องการจะสื่อถึงอะไร
“พวกเราต่างก็ได้รับรู้พลังของราชาจอมพลมาแล้ว ฮั่นจุยนั้นอยู่ในขั้นกลาง ต่อให้ฮั่นจุยไปปรากฏตัวเองในวันนั้น ข้าก็สามารถบอกได้เลยว่าผู้อาวุโสที่อยู่ในเขตแดนลึกลับนั่นต้องมีระดับสูงกว่าฮั่นจุยอย่างแน่นอน”
“ยิ่งไปกว่านั้นคือในนั้นมีผู้อาวุโสอยู่สามคน ข้ารู้สึกได้ว่าทั้งสามคือผู้ที่อยู่ในระดับราชาจักรพรรดิของทั้งสามเผ่าพันธ์ุตามตำนานเรื่องเล่าที่เอ่ยถึง”
หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้มองไปที่คนในกองกำลังของตนและพบว่าทุกคนต่างก็อ้าปากกว้างค้างเอาไว้ราวกับมีใครไปสกัดจุดชีพจรของพวกเขายังไงอย่างนั้น
หลังจากทิ้งช่วงไปนาน กัวเหลียงก็ได้ถามออกมาด้วยปากที่กำลังพะงาบๆอยู่นั่นเอง “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าหมายความ…หมายความว่า จักรพรรดิทั้งสามยังมีชีวิตอยู่เหรอ”
“ก็อาจจะล่ะมั้ง” เฉินเฉียงเองทำได้เพียงตอบออกมาอย่างไม่แน่ใจ “ตอนที่ข้าพบทั้งสามนั้นก็เหมือนกับว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นได้ตกตายไปแล้วแต่ก็เหลือพลังเอาไว้ แถมยังเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด”
“พระเจ้าช่วย ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ” เม่ยหลัวหลันได้ปิดปากของตนก่อนจะสงบสติลง “หากมีใครรู้ว่ากัปตันพบเห็นสิ่งใดมาล่ะก็ คนเหล่านั้นจะทำอะไรกันแน่นะ”
“เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าเขตแดนจักรพรรดินั่นเป็นสถานที่ที่จักรพรรดิของทั้งสามเผ่าพันธุ์สู้รบกันจนตกตายไม่ใช่เหรอ”
“แล้วในตอนนั้น องครักษ์หยานเองก็ยังพูดอีกว่า เขตแดนจักรพรรดิเกิดขึ้นหลังจากที่จักรพรรดิของทั้งสามเผ่าพันธุ์ได้ตกตายลงไปด้วยกัน”
“แต่ในตอนนี้กัปตันกลับบอกว่าได้พบเห็นจักรพรรดิของทั้งสามเผ่าพันธุ์ ตามตำนานเรื่องเล่า นี่มันหมายความว่ายังไงกัน”
เพียงเม่ยหลัวหลันได้พูดจบลง เฉินเฉียงก็ได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “ข้าก็ไม่ได้อยากจะพูดอะไรให้มันมากความเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่ข้าเห็นคือ ข้าพบว่าจักรพรรดิทั้งสามนั้นนั่งลงอยู่ฟากฝั่งเดียวกัน และช่วยกันทำอะไรบางอย่าง”
“โอ้ กัปตัน ท่านหมายความว่ายังไงกัน ท่านจะหมายความว่าความจริงแล้วในครานั้นทั้งสามร่วมมือกันงั้นรึ” ดวงตาของหลู่จี้ได้เบิกกว้างในทันทีแล้วถามออกมา
เฉินเฉียงส่ายหัวไปมา “แล้วเจ้าไม่คิดว่าไอ้ท่าทางที่ข้าบอกเจ้านั้นมันแปลกๆงั้นเหรอ”
“แปลกเหรอ”
จางหยวนได้ก้มหน้าลงเพื่อครุ่นคิดพลางพูดออกมาเบาๆ “ในมิติลึกลับที่อยู่บนยอดของบันไดสู่สรวงสวรรค์ ร่างของราชาจักรพรรดิทั้งสามที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ไม่รู้ที่มาที่ไป นั่งอยู่ฝั่งเดียวกันราวกับจะเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่าง…”
“อ้ะ เข้าใจล่ะ”
จางหยวนได้มองไปที่เฉินเฉียงด้วยท่าทางที่ตกตะลึง ก่อนที่จะพยายามเรียบเรียงคำพูดก่อนที่ในที่สุดจะพูดออกมา “กัปตัน ท่านหมายความว่าทั้งสามไม่ได้สู้กันเองแต่เป็นสู้ด้วยกันใช่รึเปล่า”