ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 270 แทรกแซง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 270 แทรกแซง

“ฮื้ม ยังไม่เสร็จอีกรึ” เว่ยหยวนตี้ที่เห็นว่าหลินไฮ่หวังไม่ได้แยแสตนก็ได้ก้มลงไปมองเฉินเฉียงอีกครั้ง แต่เมื่อเขาเห็นแล้วนั้นกลับต้องถลึงตาโปนในทันที

เฉินเฉียงยังก้าวข้ามขึ้นไม่สำเร็จ

และด้วยความเจ็บปวดที่ได้รับจากขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้นี้เองทำให้เลือดทั่วร่างของเฉินเฉียงนั้นเดือดดาลราวกับน้ำเดือด ผนวกเข้ากับบอลปีศาจที่กำลังวิ่งพล่านอยู่ในเส้นเลือดของเขานั้นทำให้เฉินเฉียงเสียสติไปในที่สุด

“อ๊ากกกกกก”

เพียงสิ้นเสียงคำราม ผมของเฉินเฉียงได้ลอยตั้งขึ้นชี้ไปบนฟากฟ้าพร้อมปีกสีเงินคู่หนึ่งที่ยาวกว่าเจ็ดเมตรที่ผุดขึ้นมาจากกลางหลัง และปีกอีกคู่หนึ่งที่ทะลักออกตามมาอย่างรวดเร็วจนเสียดสีกัน ทำให้เกิดเสียงดังกระทบกันอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น

“มนุษย์กลายพันธุ์ ขะ..เขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

หลินไฮ่หวังพูดออกมาอย่างร้อนรนจนเผลอกัดลิ้นของตนไป

ในตอนนี้แม้แต่เว่ยหยวนตี้ สองพี่น้องตระกูลจุน และคนอื่นๆต่างก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่หนึ่งกลางอากาศ ก่อนที่จะผงะออกมาในทันที

เป็นไปได้ยังไงกัน

นั่นก็เพราะพวกเขานั้นพึ่งจะกล่าวสรรเสริญเฉินเฉียงไปที่ฆ่าผู้นำกองทัพมนุษย์กลายพันธุ์พลังจิตไปได้ แต่เพียงชั่วพริบตากลับกลายเป็นว่าฮีโร่ของพวกเขาเองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์เช่นเดียวกัน

มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด

หากว่าเฉินเฉียงเป็นมนุษย์กลายพันธุ์จริงแล้วเขาจะฆ่าหลินเฟิงไปทำไมกัน

แล้วตอนนี้พวกเขาจะทำยังไงกันดี

“ไม่ถูกต้อง”

จิวเจียงไม่แสดงความตกตะลึงหนักเหมือนกับผู้ที่อยู่ในระดับราชาคนอื่นๆในที่นี้ แต่ท่าทีของเขานั้นนอกจากจะแสดงมาอย่างตกตะลึงแล้ว เขายังแสดงความรู้สึกสับสน อิจฉาริษยา และมหัศจรรย์พันลึก

“หลินไฮ่หวัง เจ้ายังจำตอนที่คนของเจ้าออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิได้รึเปล่า ไอ้เจ้าหลิวเฟิงของเจ้านั้นมันได้บอกไว้ว่าคนของราชาสวรรค์ที่ล่วงรู้ความลับของเขตแดนจักรพรรดินั้นมีปีกสีเงินระดับเจ็ด”

“สำหรับพวกเราแล้วกับไอ้พลังพรรค์นั้นใครจะอยากจะไปเสียเวลาบ่มเพาะแบ่งพลังงานไปเสริมสร้างทักษะปีกสีเงินกัน”

“หากข้าเข้าใจไม่ผิด เฉินเฉียงคนนี้เนี่ยแหละที่เป็นหลิวหลางนั่น”

หลังจากจิวเจียงได้พูดคำนี้ หลินไฮ่หวังก็จดจำขึ้นมาได้ในทันที

ในตอนนั้น ทุกคนต่างก็คิดว่าเฉินเฉียงติดอยู่ในเขตแดนจักรพรรดิไปและไม่มีทางที่จะออกมาได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน นี่ทำให้ราชาของทั้งสามเผ่าพันธุ์ทำได้เพียงรออีกห้าสิบปีเพื่อที่เขตแดนจักรพรรดิจะอนุญาตให้เปิดได้อีกครั้งแล้วค่อยไปหาตัวเฉินเฉียง

ไม่มีใครคิดว่าหลิวหลางผู้นั้นจะมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนได้หลังจากเวลาผ่านมาเพียงไม่กี่เดือน

ยิ่งไปกว่านั้นคือยังมาปรากฏตัวในสถานะนี้อีก

เขาสามารถออกมาได้ตั้งแต่วันนั้นแล้วงั้นรึ

หรือว่าเขานั้นสามารถออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิได้ด้วยตัวเองกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหน แต่ว่าในตัวหลิวหลางนั้นย่อมต้องเก็บงำความลับเอาไว้อย่างมากมาย นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

“ต้องจับเขาให้ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม”

เพียงสิ้นคำพูดนี้ของจิวเจียง เว่ยหยวนตี้และคนอื่นๆก็ราวกับฟื้นคืนสติ

เว่ยหยวนตี้เองนั้นก็เคยคิดไว้ก่อนเหมือนกันว่ามนุษย์กลายพันธุ์ผู้ที่สร้างความสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นในเขตแดนจักรพรรดินั้น มีความคล้ายคลึงกับเฉินเฉียงมากอย่างที่สุด

แต่เขาเองก็เห็นกับตาว่าเฉินเฉียงไม่ได้เข้าไปในเขตแดนไม่ใช่รึไงกัน

หรือว่า….

เป็นไปได้ว่าเฉินเฉียงนั้นในตอนที่เขาหายตัวไปต่อหน้าเขาและผู้อาวุโสทั้งสามนั้น ในตอนนั้นเขาก็ได้เข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิเรียบร้อยแล้ว

ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ

มีเพียงต้องเป็นแบบนั้นเท่านั้นถึงจะอธิบายได้ว่าทำไมเฉินเฉียงถึงหายตัวไปนาน แล้วทำไมเขาถึงสามารถจะออกจากเขตแดนจักรพรรดิด้วยตัวคนเดียวได้

เพียงนึกถึงเรื่องนี้ได้แล้ว จิตใจของเว่ยหยวนตี้ก็ได้แสดงออกมาถึงความละโมบโลภมากในจิตใจ

แต่เฉินเฉียงในตอนนั้นเป็นเพียงนายพลวิญญาณขั้นกลางตัวเล็กๆ กลับสามารถที่จะเข้าและออกจากเขตแดนจักรพรรดิได้ง่ายๆโดยไม่ต้องใช้ความช่วยเหลือจากระดับราชาเนี่ยนะ

เขาใช้วิธีการไหนกัน

ไหนจะเรื่องที่ทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นต้องการจะรู้นั่นอีก ความลับของเขตแดนจักรพรรดิ สิ่งนั้นก็อยู่ในกำมือของเฉินเฉียงไม่ใช่รึไงกัน

เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว เว่ยหยวนตี้ได้มองไปที่หลินไฮ่หวังและจิวเจียงที่อยู่ไม่ไกล แน่นอนว่าเขาย่อมได้เห็นสายตาของราชาแห่งมนุษย์กลายพันธุ์ที่ละโมบโลภมากไม่ได้ต่างไปจากเขาแม้แต่น้อย

“จานฮง จานจุน สังเกตหลินไฮ่หวังกับราชาเก้าแม่น้ำเอาไว้”

“พวกเจ้าต้องไม่ให้พวกมันลงมือกับนักรบของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เป็นอันขาด”

ในตอนนี้ ถึงแม้ว่าเว่ยหยวนตี้ต้องการที่จะปล้นชิงอย่างที่สุด แต่เขาเองก็ยังตั้งทำอย่างยุติธรรม นั่นก็เพราะว่าเขาต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองอยู่เหนือกว่ามนุษย์กลายพันธุ์และทำให้อีกฝั่งเถียงไม่ออก

เว่ยหยวนตี้และหลินไฮ่หวังในตอนนี้ได้สบตากัน ต่างคนต่างก็คิดหาวิธีที่จะช่วงชิงตัวของเฉินเฉียงมาได้ด้วยทุกสิ่งที่มี แต่เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงที่ตกอยู่ในโหมดบ้าคลั่งนั้นได้ฟื้นคืนสติกลับมา

เมื่อเฉินเฉียงสังเกตเห็นปีกของตนนั้นก็ได้รีบเก็บมันกลับไป

แต่เมื่อเห็นท่าทางของนายพลทักษะพิเศษที่อยู่โดยรอบเข้าแล้วนั้น เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาต่างตกตะลึง

กลับกลายเป็นว่าเฉินเฉียงเป็นพวกเดียวกับพวกเขาอย่างงั้นรึ

มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ

ไม่อย่างนั้นเขาจะมีปีกสีเงินได้ยังไง

แต่ชายคนนี้ก็พึ่งจะแสดงตนว่ายืนอยู่ข้างเผ่าพันธุ์มนุษย์และฆ่าล้างมนุษย์กลายพันธุ์ไปต่อหน้าต่อตาไม่ใช่เหรอ

แล้วพวกเขาควรจะทำยังไงล่ะ

จับ ฆ่า ช่วย หรือปล่อยไป

ในตอนนี้ เหล่านายพลทักษะพิเศษทั้งหลายต่างก็มองหน้ากันไปมาพร้อมท่าทางที่ทำตัวไม่ถูก

แน่นอนว่าเฉินเฉียงในตอนนี้ไม่ได้มีกะจิตกะใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

นั่นก็เพราะสถานะของเขาถูกเปิดเผยแล้ว

แถมไม่เพียงต่อหน้านายพลทักษะพิเศษเหล่านี้เท่านั้น เขาดันมาเผยตัวต่อหน้าราชาของเผ่าพันธุ์อย่างเว่ยหยวนตี้และหลินไฮ่หวังเสียอีก

สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้คือการหลบหนี

แต่เพียงเฉินเฉียงคิดเรื่องนี้ ร่างกายของเขาก็ขยับตัวต่อไปไม่ได้อีก

ไม่เพียงเพราะบอลเลือดปีศาจที่แพร่กระจายและไปอุดตันที่เส้นเลือดหัวใจของเขาเท่านั้น แต่ในตอนนี้ร่างกายของเขายังถูกจับกุมไว้โดยราชาทั้งสองที่ว่ามาอีก

มันจบแล้ว

เฉินเฉียงได้ยิ้มแสยะให้กับตัวเอง หากไม่ใช่เพราะบอลเลือดปีศาจนี้ ต่อให้เขาต้องตกเป็นเป้าของราชาทั้งสอง เขาก็ยังมีเคลื่อนย้ายพริบตาอยู่ นั่นทำให้เขามั่นใจว่ายังไงก็สามารถเอาตัวรอดได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้มัน….

ในตอนที่เขาเผยปีกสีเงินคู่ใหญ่ยักษ์ของเขาออกมานั้น เว่ยหยวนตี้ย่อมหมายหัวเขาไว้เป็นสายลับของมนุษย์กลายพันธุ์แล้วอย่างแน่นอน

ส่วนหลินไฮ่หวังนั้นก็ไม่ได้ต่างกัน นั่นก็เพราะเขาพึ่งจะฆ่าหลิวเฟิงที่หลินไฮ่หวังให้ค่าไว้อย่างสูงล้ำ มีหรือที่มันจะปล่อยเขาไป

แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ไอ้กฎสงครามที่ทั้งสามฝ่ายต่างต้องยึดมั่นอะไรนั่นนั้นมันใช้ไม่ได้กับเขาแต่อย่างใด ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายนี้จะถือว่าเขาเป็นเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม ในทันทีที่เขานั้นถูกเชื่อมโยงเข้ากับหลิวหลางไปแล้ว นั่นย่อมไม่สำคัญอีกต่อไป

ก่อนหน้านี้เพื่อที่ทั้งสามต้องการตัวหลิวหลาง ถึงกับยอมแหกกฎจนต้องผิดใจกับฮุยตู๋ นี่แสดงให้เห็นว่าทั้งสามเผ่าพันธุ์นั้นยึดถือว่าความลับของเขตแดนจักรพรรดินั้นถือเป็นที่สุด มันมีค่าสูงล้ำยิ่งกว่าไอ้สงครามไก่กาที่กำลังทำอยู่นี้เป็นไหนๆ เมื่อนำไปเทียบกับไอ้กฎสงครามแบบนั้น แน่นอนแล้วว่าย่อมฉีกทิ้งได้อย่างไม่ไยดี

และเป็นอย่างที่เฉินเฉียงคาดไว้ หลังจากที่เขาได้เก็บปีกสีเงินของตนไป เว่ยหยวนตี้และหลินไฮ่หวังก็ได้ลงมือพร้อมกัน

ส่วนจานจุนและจานฮงนั้นกำลังหยุดจิวเจียงเอาไว้

แล้วด้วยการลงมือของราชาที่หิวกระหายทั้งสองนี้เอง ในตอนนี้ทั้งสองก็ได้ปรากฏตัวต่อหน้าเฉินเฉียงหลังจากจับกุมไว้ในทันใด

ราชาทั้งสองต่างก็วางมือไว้บนไหล่ของเฉินเฉียง

หากไม่ใช่ว่าทั้งสองต่างก็ใช้พลังจากโลกใบเล็กในร่างพร้อมกันจนมันหักล้างกันไปเองแล้วล่ะก็ ในตอนนี้เฉินเฉียงก็คงถูกจับโยนใส่เข้าโลกใบเล็กของใครสักคนไปแล้ว

แต่หากเป็นแบบนั้นจริงล่ะก็ ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะถูกส่งเข้าโลกใบเล็กไม่ว่าจะของใครไปก็ตาม ยังไงซะเขาก็มีโอกาสรอดอยู่ดี

กับอีแค่โลกใบเล็กของราชาน้อยๆแล้วยังไงกัน กับโลกใบเล็กที่กว้างใหญ่อย่างเขตแดนจักรพรรดินั้นก็ยังไม่อาจหยุดเขาไว้ได้

ตราบใดที่เขานั้นสามารถจัดการบอลเลือดปีศาจได้ล่ะก็ เขาก็จะสามารถหลุดออกมาได้ทุกเมื่อ

แต่ในตอนนี้ ด้วยการที่เว่ยหยวนตี้และหลินไฮ่หวังต่างก็ถือศักดิ์ศรีราชาค้ำคออยู่ จึงคิดจะจับกุมเฉินเฉียงด้วยมือตัวเอง นี่จึงทำให้ไอ้เรื่องที่จะถูกจับโยนเข้าไปในโลกใบเล็กนั้นปิดตายไป

“หลินไฮ่หวัง เจ้าลืมไปแล้วรึเปล่าว่าเผ่าพันธุ์ของข้ากับเผ่าพันธุ์ของเจ้านั้นมีข้อตกลงกันอยู่ว่าไม่ให้ระดับราชาก้าวก่ายการสงครามของนักรบในระดับนายพลน่ะ”

“แต่ในตอนนี้เจ้ากลับกล้าลงมืออย่างเปิดเผย กล้าคิดจะทำร้ายนักรบของข้าต่อหน้าต่อตาแบบนี้ นี่หมายความว่าเจ้าคิดจะฉีกสัญญาและเริ่มสงครามอย่างเต็มรูปแบบสินะ”

“นี่เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”

หลังจากได้ยินคำพูดนี้แล้ว หลินไฮ่หวังก็ไม่ได้ต่อปากต่อคำกลับในทันที และมือของเขาก็ไม่ได้ปล่อยห่างจากเฉินเฉียงแต่อย่างใด และก็ไม่ได้มีท่าทีผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย

“เว่ยหยวนตี้ แกนี่มันไอ้ตัวหน้าด้าน(ปากว่าตาขยิบ,เสแสร้งแกล้งทำ)โดยแท้”

“ทุกคนต่างก็รับรู้ได้จากท่าทีว่าแกน่ะต้องการจับกุมตัวเฉินเฉียงแล้วนำไปรีดเค้นข้อมูลความลับของเขตแดนจักรพรรดิ แต่กลับยกข้อสัญญาเช่นนี้มาอ้าง นี่ยิ่งแสดงให้เห็นว่าแกน่ะเป็นคนยังไง”

“แล้วคนอย่างแกยังมีหน้ามาเอ่ยอ้างเรื่องอย่างการปกป้องนักรบแห่งเผ่าพันธุ์อีกเนี่ยนะ”

“หากว่านี่เป็นเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับสงครามย่อยระหว่างเผ่าพันธุ์ของข้ากับเผ่าพันธุ์ของแกอย่างที่แกพูดออกมาล่ะก็ ข้า หลินไฮ่หวังผู้นี้จะไม่ยุ่งด้วยเลยแม้แต่น้อย”

“แต่ก็นะ เว่ยหยวนตี้ หากแกคิดจะยกเรื่องนี้มาอ้างล่ะก็ ข้าว่าเป็นแกต่างหากที่เป็นฝ่ายผิดกฎ”

“ก่อนหน้านี้ตัวข้ายังคิดอยู่เลยว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นนักรบของเผ่าพันธุ์แกจริงๆถึงได้กล้าลงมือทำร้ายนักรบที่น่ารักของข้า”

“แต่ทุกคนต่างก็เห็นแล้วว่าไม่ว่าจะมองยังไงก็ตาม ไอ้เฉินเฉียงผู้นี้มันคือคนของเผ่าพันธุ์ข้าโดยดูได้จากปีกสีเงิน”

“แล้วกับเรื่องภายในของเผ่าพันธุ์แบบนี้แล้ว…แกยังด้านหน้ามารั้งตัวมันไว้อีกเนี่ยนะ ไอ้คนที่ควรจะปล่อยมือนี่ควรจะเป็นแกเสียกระมัง”

“และในเมื่อเฉินเฉียงเป็นนักรบของพวกข้า ดังนั้น ข้า หลินไฮ่หวังต่างหากที่สมควรที่ยกเหตุผลนี้มาอ้าง”

“เว่ยหยวนตี้ ข้าขอแนะนำให้แกหยุดมือและจากไปซะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไอ้คนที่แหกข้อตกลงนี้จะเป็นแก”

เฉินเฉียงผู้ซึ่งในตอนนี้อยู่ระหว่างการจับกุมของสองราชานั้น เขาภาวนาให้เป็นอย่างยิ่งว่าให้ทั้งสองคนนี้ต่อปากต่อคำกันให้นานกว่านี้อีกสักหน่อย

นั่นก็เพราะเขาต้องการเวลาอีกสักน้อยเท่านั้นที่จะเก็บกวาดบอลปีศาจให้ไปอยู่ในที่ที่มันควรอยู่ และนี่จะทำให้เขานั้นเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง

ตราบใดที่เขาย้ายบอลเลือดปีศาจทั้งหมดไปกับไว้ที่จุดชีพจรที่สามสิบสองได้เหมือนเดิมล่ะก็ เขามั่นใจว่าตนเองจะสามารถหลบหนีจากราชาน้อยๆทั้งสองนี้ไปได้

สิ่งที่เขาต้องการนั้นคือเวลาเพียงเท่านั้น

แต่ในขณะที่เฉินเฉียงกำลังสังเกตการณ์การทะเลาะระหว่างราชาทั้งสองพลางจัดการบอลเลือดปีศาจไปด้วยนั้น อยู่วิสัยทัศน์ของเขาก็เลือนรางก่อนที่จะหลุดจากการควบคุมของราชาทั้งสองไป

“เป็นราชาสวรรค์”

ในตอนนี้เฉินเฉียงได้เข้าไปอยู่ในเขตแดนหนึ่งที่คุ้นเคย เช่นเดียวกับใบหน้าที่รู้จักเป็นอย่างดีอย่างหยานเสวี่ย

“เฉินเฉียง เจ้าเป็นยังไงบ้าง”

หยานเสวี่ยถามออกมาในขณะที่มือหนึ่งนั้นอุ้มเมิ่งน้อยไว้

เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาโดยไม่พูดไม่จา ก่อนที่จะรีบเร่งจัดการบอลเลือดปีศาจในร่างกาย

ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาต้องรีบจัดการเจ้าบอลพวกนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อที่เขานั้นจะได้ควบคุมสถานการณ์ได้ด้วยตัวเอง

ที่โลกภายนอกนั้น เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงหายไปต่อหน้าต่อตา ทั้งเว่ยหยวนตี้และหลินไฮ่หวังต่างก็นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะรับรู้ถึงราชาสวรรค์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

“ราชาสวรรค์ ส่งตัวเฉินเฉียงมานะโว้ย”

หลินไฮ่หวังผู้ซึ่งมีเรื่องขัดแย้งกับราชาสวรรค์อยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นว่าราชาสวรรค์มาชิงลงมือตัดหน้าลงไปนี้ก็ได้ตะคอกออกมาอย่างเดือดดาลพลางส่งการโจมตีทางจิตวิญญาณออกไป

และการโจมตีของราชาแห่งมนุษย์กลายพันธุ์พลังจิตนี้เหนือล้ำกว่าการโจมตีทางจิตวิญญาณของหลิวเฟิงมากนัก

การโจมตีของหลินไฮ่หวังนี้รุนแรงถึงกลับสร้างคลื่นเสียงที่แปลกประหลาดออกมาในขณะที่พุ่งตรงไปยังราชาสวรรค์ พลังของมันนั้นแม้แต่เว่ยหยวนตี้เมื่อได้เห็นกับตาก็ยังต้องตกตะลึง

เขารู้สึกโชคดีที่หลินไฮ่หวังไม่ได้ใช้การโจมตีนี้กับตน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เขาเองก็ไม่อาจที่จะหลบไปได้เหมือนกัน

ทางด้านราชาสวรรค์นั้น เมื่อเห็นคลื่นการโจมตีทางจิตวิญญาณที่กำลังพุ่งตรงมาที่ตนนั้น ถึงแม้เขาจะเห็นอย่างกระจ่างชัดแต่ก็ไม่ได้ไหวติงหรือมีท่าทีจะหลบแต่อย่างใด เขายืนนิ่งราวกับขุนเขาที่ตั้งตระหง่าน ไม่สะทกสะท้านกับเพียงการโจมตีของมนุษย์ตัวน้อยๆ

แต่เป็นเพียงตอนที่การโจมตีนี้ใกล้จะเข้าถึงตัว ร่างกายของราชาสวรรค์นั้นอยู่ๆก็ปลดปล่อยคลื่นพลังที่หนักอึ้งและทรงพลังเสียยิ่งกว่าขอบเขตจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเฉินเฉียงก่อนหน้า และนี่ทำให้การโจมตีของหลินไฮ่หวังนั้นสลายหายไปในทันที

“ราชาสวรรค์ ไอ้เคล็ดวิชานี้เป็นแกสินะที่สอนให้เฉินเฉียงใช้ต่อกรกับหลิวเฟิงได้น่ะ ห้ะ”

เหมือนเห็นท่าทีที่ไม่แยแสของราชาสวรรค์เฉกเช่นเดียวกับเฉินเฉียงก่อนหน้านี้แล้วทำให้หลินไฮ่หวังคิดได้ขึ้นมาและยิ่งแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาในทันที

ถึงแม้ทั้งสองนั้นจะอยู่ในระดับราชา แต่ราชาสวรรค์นั้นมีร่างกายที่ทรงพลังไม่เป็นสองรองใครในเหล่าราชาของมนุษย์กลายพันธุ์ หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ หลินไฮ่หวังที่หวังพึ่งเพียงการโจมตีทางจิตวิญญาณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากต้องต่อสู้กันจริงๆล่ะก็ย่อมตกตายไปนานแล้ว ไม่สิ แค่เจอกับราชาทักษะพิเศษระดับต้น เขาก็สามารถตกตายได้ในทันที

ราชาสวรรค์มองไปที่หลินไฮ่หวังอย่างดูแคลน ก่อนที่จะพูดออกมา “ไร้สาระ เฉินเฉียงเป็นคนของข้า ข้าย่อมสอนเขานั่นก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“เป็นเช่นนั้น”

อีกฟากหนึ่ง เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ได้มองราชาสวรรค์ด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“เฉินเฉียงเคยบอกเอาไว้ว่าเขามีอาจารย์ลึกลับอยู่คนหนึ่ง ตอนแรกข้าก็คิดว่าจะเป็นผู้อาวุโสแห่งฮุยตู๋”

“แต่เมื่อเห็นองครักษ์หยานที่อยู่ข้างเจ้านี้แล้ว ข้าก็เริ่มสงสัยมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าเป็นเจ้าหรือไม่ แต่ข้าก็ไม่นึกว่าไอ้คนที่เขาเรียกว่าอาจารย์ผู้ลึกลับนั่นจะเป็นเจ้า ราชาสวรรค์”

“ฮ่าฮ่าฮ่า” ราชาสวรรค์หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “เว่ยหยวนตี้ นี่ขนาดเจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเฉินเฉียงเลยแล้วยังหน้าด้านไร้ยางอายทำตัวระยำตำบอนต้องการจับตัวเขาไปอีกเนี่ยนะ”

“ดี ราชาคนนี้จะให้โอกาสเจ้า”

“หากเจ้าต้องการตัวเฉินเฉียงนักล่ะก็ จงจับข้าให้ได้ก่อนแล้วกัน”

“เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ก็ได้พุ่งขึ้นฟ้าแล้วบินลงใต้ไปอย่างรวดเร็วประดุจลมกรรโชก”

“อย่าหนีสิวะ”

เว่ยหยวนตี้และหลินไฮ่หวังตะโกนออกมาพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะพุ่งตามไป เว่ยหยวนตี้ได้ส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณออกไป

“จานฮง จานจุน เจ้าทั้งสองสั่งถอนทัพและกันไม่ให้หลินไฮ่หวังและราชาเก้าแม่น้ำตามราชาสวรรค์ไป เดี๋ยวข้าจะตามมันไปเอง”

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกเราจะปล่อยให้มนุษย์กลายพันธุ์ได้ตัวเฉินเฉียงไปเป็นอันขาด เรื่องนี้สำคัญกับเผ่าพันธุ์มากนัก”

“รับคำสั่ง”

สองพี่น้องจานได้รีบนำตัวไปขวางกั้นหลินไฮ่หวังและจิวเจียงในทันที นี่ทำให้ทั้งสองทำได้เพียงมองตามเว่ยหยวนตี้ที่กำลังไล่ราชาสวรรค์ไปเท่านั้น

“อยากจะหยุดข้า ฝันไปเถอะ”

หลินไฮ่หวังคำรามลั่นอีกครั้งก่อนที่จะปลดปล่อยการโจมตีทางจิตวิญญาณออกมา

อย่างไรก็ตาม หลังจากได้เห็นการโจมตีที่หลินไฮ่หวังโจมตีราชาสวรรค์ไปก่อนหน้านี้ นี่ทำให้พี่น้องจานได้เรียนรู้วิธีการเคลื่อนไหวก่อนจะโจมตีของหลินไฮ่หวังได้และนั่นทำให้ทั้งสองหาทางรับมือได้อย่างทันท่วงที หรือก็คือ การโจมตีของหลินไฮ่หวังนั้นไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าสองคนนี้ไปแล้ว

ในขณะที่หลินไฮ่หวังกำลังโจมตีใส่จานจุนอย่างบ้าคลั่ง จานฮงในตอนนี้ก็กำลังตวัดดาบใส่หลินไฮ่หวังเช่นเดียวกัน

หากพูดถึงเรื่องการโจมตีทางจิตวิญญาณแล้วนั้น นี่เป็นสิ่งเดียวที่หลินไฮ่หวังพอจะเรียกได้ว่าไปวัดไปวาได้ ส่วนกับเรื่องอื่นนั้น พลังของเขาต่ำต้อยจนเกินไป และเพียงไม่นาน หลินไฮ่หวังกลับทำได้เพียงแต่ต้องตั้งรับการโจมตีของจานฮงได้เพียงเท่านั้น

นี่ทำให้หลินไฮ่หวังไม่มีทางเลือกทำได้เพียงร่วมมือกับจิวเจียงในการรับมือกับสองพี่น้องตระกูลจาน

และเพียงชั่วพริบตา ร่างของเว่ยหยวนตี้และราชาสวรรค์ก็ได้หายไปจากครรลองของราชาทั้งสี่

ถึงแม้หลินไฮ่หวังจะมีการโจมตีทางจิตวิญญาณที่หนักหน่วง แต่ตัวเขานั้นกลับสามารถส่งกระแสจิตไปตรวจสอบโดยรอบเพียงไม่กี่สิบไมล์เท่านั้น แน่นอนว่าหากเลยระยะสิบกว่าไมล์นี้ไปแล้ว เขานั้นทำอะไรไม่ได้อีก

“อ๊ากกกก ราชาสวรรค์ เว่ยหยวนตี้ ข้าจะทำให้พวกเจ้านั้นต้องตกตายอย่างสาสม”

หลังจากตามไปได้อีกพักหนึ่ง หลินไฮ่หวังก็ได้สบถด่าออกมาอย่างดังลั่นก้องท้องฟ้า ก่อนที่จะสงบจิตใจลงได้

“ฮึ่ม ราชาสวรรค์ ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงจะเป็นคนของแก แต่แกลืมไปรึเปล่าว่ามันกำลังเก็บงำความลับที่แม้แต่แกก็ยังอยากรู้”

“ต่อหน้าราชาทักษะพิเศษทั้งหลายในการประชุมภายในครั้งหน้านี้ข้าอยากจะรู้จริงๆว่าแกจะทนไปได้สักกี่น้ำ”

หลินไฮ่หวังบ่นพึมพำออกมาด้วยใบหน้าที่ยับย่น ก่อนที่จะพุ่งลงตรงไปยังทิศใต้

———–

ค้างนิดหน่อย ไม่เป็นไรเนอะ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน