ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 272 เผาไหม้

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 272 เผาไหม้

“ไม่” ลุงเว่ย ลุงไม่ต้องพูดอะไรแล้ว มันจะกระทบบาดแผล

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าไม่อาจจะทนเห็นท่านตายโดยราชาสวรรค์ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าฉิงเชินหากรู้เรื่องนี้คงไม่มีวันให้อภัยข้าเป็นแน่”

เฉินเฉียงส่ายหัวอย่างไม่หยุดหย่อน คำพูดของเว่ยหยวนตี้นั้นกลับไปกระตุ้นให้เข้าบังเกิดความตั้งใจที่จะช่วยเว่ยหยวนตี้ยิ่งกว่าเดิม

และเพราะเหตุนี้ทำให้เฉินเฉียงไม่ได้สังเกตเลยว่าแม้แต่จะเป็นตอนนี้ เว่ยหยวนตี้ได้จ้องมองที่ปีกสีเงินบนหลังของเฉินเฉียงด้วยดวงตาที่ดุร้าย

หลังจากพูดเสร็จสิ้น เฉินเฉียงได้เปิดค่าสถานะของตนออกมา ก่อนที่จะทุ่มค่าพลังงานกว่าสามสิบล้านของตนไปเพิ่มค่าความแข็งแกร่งและความเร็ว

และนี่ทำให้เฉินเฉียงมีความเร็วเพิ่มขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

และเพียงการกระพือเปียกเพียงครั้งเดียวนี้ทำให้ระยะทางระหว่างเฉินเฉียงกับราชาสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเป็นสามสิบสี่ไมล์ในทันที

และไม่เพียงเท่านั้น เพื่อไม่ให้ราชาสวรรค์ติดตามตนได้อีก เฉินเฉียงจึงได้ทิ้งบางอย่างลงไปยังพื้นดิน ก่อนที่จะโจนทะยานออกไป และทิ้งห่างราชาสวรรค์ออกไปอย่างไร้ร่องรอย

“หลานชาย พวกเราต้องกลับไปตึกจอมพลภาคกลางโดยเร็ว มีเพียงไปถึงที่นั่น พวกเราถึงจะปลอดภัย”

เว่ยหยวนตี้เองนั้นรู้สึกได้ว่าในตอนนี้ราชาสวรรค์ไม่ได้ติดตามมาจึงรีบพูดออกไป

“ไม่ต้องกังวล ข้าเข้าใจแล้ว” เฉินเฉียงพยักหน้ารับและบินพุ่งตรงไปทางเหนือพร้อมเว่ยหยวนตี้ที่บาดเจ็บ

แต่เฉินเฉียงเองก็ไม่ได้โง่งมถึงขนาดนั้น

ด้วยตัวตนของเขานั้น เป็นไปได้ว่าในตอนนี้น่าจะถูกรับรู้ไปทั้งเผ่าพันธุ์แล้วก็เป็นไปได้

แล้วบอกให้เขากลับไปตึกจอมพลภาคกลางเนี่ยนะ

นี่ไม่ได้ต่างไปจากการให้เขาเข้าไปหาที่ตายโดยแท้

ในขณะที่กำลังบินอยู่นี้ เฉินเฉียงได้ส่งข้อความไปบอกจางหยวนและพวกว่าให้ไปรอเขาที่ทะเลสาบกระจกก่อน

ตราบใดที่เขาไปที่นั่น แล้วจัดการเว่ยหยวนตี้พร้อมจางหยวนและพวก เขาน่าจะหนีไปที่ไหนก็ได้โดยไม่มีใครค้นพบเขาอีก

แต่เพียงคิดขึ้นมาได้นั้น เฉินเฉียงก็รู้สึกถึงภัยอันตรายมาอยู่ตรงหน้าเขาในทันที เป็นตอนนี้ที่เขาได้เห็นว่าราชาสวรรค์และหยานเสวี่ยปรากฏตัวตรงหน้า

“เป็น ไป ได้ยังไง”

เฉินเฉียงรู้สึกจิตตกขึ้นมาอีกครั้ง

เขานั้นได้ใช้กระแสจิตของตนตรวจสอบพื้นที่โดยรอบตลอดเวลา หากราชาสวรรค์เข้ามาใกล้จริงเขาต้องรับรู้ได้สิ

แต่เป็นตอนนี้ที่เว่ยหยวนตี้ผู้ถูกพยุงตัวโดยเฉินเฉียงได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยและพูดออกมา “ราชาสวรรค์ ข้าไม่นึกเลยจริงๆว่าวิชาเคลื่อนย้ายมิติที่แม้แต่ระดับราชาจอมพลยังยากที่จะเรียนรู้ได้เจ้ายังสามารถ แต่เจ้าที่อยู่เพียงระดับราชาเหนือมนุษย์กลับเรียนรู้ได้”

“ดูเหมือนว่าข้า เว่ยหยวนตี้คงจะหนีเจ้าไม่รอดแล้วจริงๆในวันนี้”

เคลื่อนย้ายมิติ…เหรอ

เฉินเฉียงขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที

ถึงแม้ว่าราชาสวรรค์จะมีทักษะเคลื่อนย้ายมิติอยู่จริง แต่นั่นมันก็ต้องหมายความว่าราชาสวรรค์นั้นต้องรับรู้ว่าเขาจะไปที่ใดไม่ใช่เหรอ

แต่เมื่อเฉินเฉียงหันไปมองหยานเสวี่ยที่อยู่ข้างๆราชาสวรรค์ในตอนนี้ เขาก็เข้าใจได้ในทันที

เป็นเพราะดาบดั้นเมฆของเขาที่มีเครื่องติดตามอยู่นี้ ไม่ว่าเขาจะวิ่งไปทางไหนก็ไม่อาจรอดพ้นจากการติดตามของราชาสวรรค์

“ราชาสวรรค์ ลุงเว่ยเป็นเพื่อนที่ดีของพ่อข้า โปรดปล่อยเขาไปด้วย”

เฉินเฉียงนั้นแม้จะทำท่าร้องขอออกมาอย่างสุดชีวิต แต่ในใจเขานั้นยังคงคิดหาวิธีหลบหนีให้รอดพ้นอยู่ดี

โดยไม่คิด เมื่อราชาสวรรค์ได้ยินแบบนี้แล้ว เขากลับหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น

“ฮ่าฮ่าฮ่า เฉินเฉียง เจ้าบอกว่าเว่ยหยวนตี้มันเป็นเพื่อนที่ดีของพ่อเจ้างั้นรึ”

“ราชาสวรรค์ พ่อของข้าแต่เดิมเป็นกองกำลังใต้บังคับบัญชาของลุงเว่ยตอนที่เขาเป็นผู้ควบคุมอยู่ที่ตึกเหมันต์จันทรา ทุกคนในที่นั่นต่างก็รับรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี” เฉินเฉียงเองเมื่อได้ยินก็อดที่จะตอบโต้กับคำพูดของราชาสวรรค์ไม่ได้ แต่กระนั้น เขาก็ยังคงคิดหาวิธีหนีต่อไป

อย่างไรก็ตาม คำพูดถัดมาของราชาสวรรค์นั้นทำให้ความคิดของเขาต้องติดขัดลงในทันที

“ฮ่าฮ่าฮ่า เฉินเฉียงเจ้าโดนมันหลอกแล้ว”

เมื่อเห็นว่าเว่ยหยวนตี้ในตอนนี้นั้นยังไงก็หนีจากเขาไม่รอดแล้ว ราชาสวรรค์จึงไม่ได้รีบเร่งโจมตีแต่อย่างใด แต่กลับพูดออกมาพร้อมความโกรธเกรี้ยวพลางกัดฟันแน่นในทุกๆคำพูด “เว่ยหยวนตี้ ไอ้ตัวหน้าด้าน”

“ไม่คิดเลยจริงๆว่าหลังจากผ่านมายี่สิบสามปีแล้ว แก ยังกล้าใช้คำโกหกคำโตคอยกรอกหูผู้คน ทำแม้กระทั่งกระจายเรื่องลวงนี้ให้สืบทอดต่อกันมาในตึกจอมพลเหมันต์จันทรา”

“แต่นี่มันก็หมายความว่าแกนั้นวางแผนเรื่องนี้มานานมากแล้วสินะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เฉินเฉียงก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ “ราชาสวรรค์ ท่านหมายความว่ายังไง ยี่สิบสามปีก่อนนั่นมันปีที่พ่อของข้าตายไม่ใช่เหรอ”

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้หันขวับไปหาเว่ยหยวนตี้ที่ตัวเองคอยพยุงเอาไว้

ในตอนนี้ เว่ยหยวนตี้ได้เบิกตาโพลงราวกับว่าตนเองนั้นไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ก่อนที่จะชี้ไปที่ราชาสวรรค์แล้วพูดออกมา “ราชาสวรรค์ เจ้าอย่ามาพูดจาไร้สาระ”

“อย่าว่าแต่ตึกจอมพลเหมันต์จันทราเลย แม้แต่ทั่วทั้งเขตกันหนันนั้นมีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าพี่เทียนเว่ยนั้นเป็นนายพลที่ข้าชื่นชอบ”

“ข้านั้นพลาดในการช่วยเหลือเขาในปีนั้นจนทำให้เขาต้องตกตาย เรื่องนี้ทำให้ข้าต้องมีปมในใจมาจนถึงแม้แต่ตอนนี้ แต่ข้าก็ไม่นึกว่าเจ้าจะยกเรื่องนี้มาพูดอีก”

“โฮ่…ปมในใจเหรอ วะฮ่าฮ่าฮ่า” ราชาสวรรค์สบถออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะจ้องมองไปที่เว่ยหยวนตี้อย่างสุดแสนจะดูแคลน “เว่ยหยวนตี้ ไอ้การที่ข้าเรียกแกว่าตัวหน้าด้านนี้คงจะเป็นการยกยอแกมากเกินไปสินะ”

“นี่ขนาดใกล้จะตายห่าอยู่แล้วก็ยังไม่คิดจะเผยความจริงอีก ไอ้ความหน้าด้านของแกนี้คงจะฝังลึกเข้ากระดูกดำไปแล้วสินะ”

“เอาเถอะ จงนำความหน้าด้านหน้าทนของเจ้านี้ไปใช้ต่อในนรกก็แล้วกัน”

เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ได้ชี้นิ้วชี้ข้างขวาของตนออกไป พลางบังเกิดแสงสีเงินจ้าที่ราวกับเป็นประกายแสงจากดาบขึ้นที่นิ้วของเขา จนทำให้ผู้คนที่เห็นต่างก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาจับใจ

“รอก่อน” เฉินเฉียงได้จ้องมองไปที่ราชาสวรรค์แล้วพูดออกมา “ราชาสวรรค์ ท่านนั้นบอกว่าความตายของพ่อข้านั้นแตกต่างจากเรื่องเล่า แถมท่านยังพูดราวกับว่ารู้จักคนที่ฆ่าพ่อของข้าราวกับเห็นกับตาตัวเองอีก นี่ท่านรู้หรือว่าใครเป็นคนฆ่าเขา”

“เฉินเฉียง หลีกทางไปซะ ตราบใดที่เจ้ายอมให้ข้าฆ่าเว่ยหยวนตี้ ข้าจะเป็นคนเติมเต็มความสงสัยใคร่รู้ของเจ้าในข้อนี้เอง ข้าผู้นี้จะแสดงออกมาว่าฆาตกรที่แท้จริงที่ฆ่าพ่อของเจ้านั้นมันคือใคร”

เว่ยหยวนตี้ที่ถูกเฉินเฉียงนำร่างมาบดบังไว้นั้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทั้งตกตะลึงและตื่นตระหนกจนชี้นิ้วไปที่ราชาสวรรค์แล้วร้อนรนพูดออกมา “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้”

“เจ้าจะรู้ได้ยังไงว่าพี่เทียนเว่ยตกตายได้ยังไง”

“นี่เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมเจ้าถึงได้พูดถึงแต่เรื่องพี่เว่ยของข้า”

“ฮี่ฮี่ฮี่ เว่ยหยวนตี้เอ๋ย ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอกนะ”

“ย้อนกลับไปนั้น ข้าไม่เพียงจะรู้ว่าใครฆ่าเฉินเทียนเว่ยแล้ว ข้ายังรู้ว่าในตอนนี้ยังมีหลี่ปิงอยู่ด้วย”

“ว่าแต่ไอ้หลี่ปิงนี่ไม่ใช่องครักษ์ของเจ้าหรอกเหรอ”

เมื่อราชาสวรรค์เอ่ยชื่อนี้ออกมาแล้ว เว่ยหยวนตี้ก็แทบจะกรีดร้องออกมา “เป็นไปไม่ได้ ไร้สาระ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เจ้าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้น เป็นไปไม่ได้หรอกเว้ย”

เมื่อเห็นท่าทางอันบ้าคลั่งของเว่ยหยวนตี้แล้วนั้น หัวใจของเฉินเฉียงนั้นเย็นเฉียบขึ้นมาในทันที

โดยไม่ต้องพูดอีกต่อไป นอกจากราชาสวรรค์จะรู้ว่าใครฆ่าพ่อของเขาแล้ว จากท่าทางนี้แสดงให้เห็นว่ายังมีเว่ยหยวนตี้และหลี่ปิงอีกสองคนที่รับรู้ในเรื่องนี้

แต่ว่าหลี่ปิงนั้นตกตายไปแล้ว หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือนอกจากราชาสวรรค์แล้วนั้น คนที่ยังรู้เรื่องนี้อยู่อีกคนก็เหลือแต่เว่ยหยวนตี้เพียงคนเดียวว่าเกิดอะไรขึ้น

นี่ทำให้เฉินเฉียงรับรู้ได้ว่าก่อนที่ราชาสวรรค์จะกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์นั้น เขาจะต้องมีสายสัมพันธ์อันดีกับเฉินเทียนเว่ย และอย่างน้อยๆก็ยังรับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเฉินเทียนเว่ยและเว่ยหยวนตี้

ถึงแม้ว่าราชาสวรรค์จะบอกออกมาว่าหลังจากฆ่าเว่ยหยวนตี้ได้แล้ว เขาจะบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เฉินเฉียงให้รับรู้ก็ตาม

แต่เฉินเฉียงเองก็ไม่อาจจะปล่อยให้ราชาสวรรค์นั้นฆ่าเว่ยหยวนตี้ได้อยู่ดี

หากไม่ใช่เพราะเว่ยหยวนตี้นั้นคือพ่อของฉิงเชินล่ะก็ ไม่สิ ก่อนหน้านี้เว่ยหยวนตี้เองยังถือว่าเขาเป็นหลานชายของตนมาตลอดเสียอีก

ยังไม่รวมร่วมที่ว่าเว่ยหยวนตี้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับความตายของพ่อของเขา

“ลุงเว่ย ท่านรู้ใช่รึเปล่าว่าใครฆ่าพ่อของข้า”

“แน่นอน ข้า จดจำมันได้เป็นอย่างดี” เว่ยหยวนตี้จ้องมองไปที่ราชาสวรรค์พลางกัดฟันแน่น

“ดี” เฉินเฉียงได้พูดออกมาก่อนที่จะพูดต่อด้วยเสียงที่นุ่มลึก “ลุงเว่ย หลังจากนี้ ข้าหวังว่าท่านจะบอกข้าว่าในปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว ราชาสวรรค์รู้สึกใจเต้นขึ้นมาในทันที “เฉินเฉียง เจ้าคิดจะทำอะไรกัน เจ้าคิดหรือว่าจะช่วยมันได้ในวันนี้ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่พูดหรอกนะ”

“ราชาสวรรค์ มันจะง่ายดั่งคำพูดหรือไม่นั้น เดี๋ยวท่านก็จะรับรู้มันเอง”

ต่อจากนั้น เฉินเฉียงก็ตกอยู่ในสภาพที่เศร้าหมองก่อนจะพูดออกมา “ราชาสวรรค์ นับจากที่ข้าได้พบท่าน ท่านเองคอยชี้แนะข้ามาหลายครั้งหลายหน หากไม่ได้ท่าน ข้าเองคงไม่ได้มีระดับการบ่มเพาะมาได้จนถึงขั้นนี้ ข้านั้นรู้สึกเป็นบุญหัวนักที่ท่านเป็นผู้ชี้แนะข้า”

“ในใจข้านั้น ข้าไม่ได้แยกแยะความเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อย่างเด่นชัดจนถึงต้องฆ่าแกงกันตั้งแต่พบหน้า และตัวข้าเองก็นับถือท่านว่าเป็นอาจารย์คนหนึ่งของข้า”

“อย่างไรก็ตาม ความแค้นของบิดานั้น ทายาทสมควรจะเป็นผู้สืบต่อ”

“ข้า เฉินเฉียง ยินดีที่จะต่อต้านโลกหล้าด้วยเรื่องนี้”

“และในเมื่อท่านนั้น แม้จะรู้ความจริงแต่ก็ยังไม่มีท่าทีที่จะบอกข้าแต่อย่างใด”

“ดังนั้น ท่านราชาสวรรค์ ข้าขอโทษ โปรดให้อภัยกับการตัดสินใจของข้าด้วย”

เมื่อพูดจบ ดวงตาของเฉินเฉียงราวกับจะลุกโชนเจิดจ้า เขาได้คว้าร่างของเว่ยหยวนตี้ที่กำลังสับสนก่อนที่จะโจนทะยานเข้าใส่ราชาสวรรค์ไปในทันที

ก่อนจะกะพริบตาด้วยซ้ำ

มันรวดเร็วประดุจราวกับประกายแสง

“เฉินเฉียง ไอ้ตัวเลวร้าย”

หยานเสวี่ยได้กลอกตาขึ้นก่นด่าออกมาในทันทีที่เห็น

ด้วยตัวตนของหยานเสวี่ยนั้นจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเฉินเฉียงทรงพลังขนาดไหน

แม้แต่โลกใบเล็กของราชาสวรรค์นั้นเฉินเฉียงก็ยังแหกออกมาได้อย่างง่ายดาย หากว่าราชาสวรรค์ไม่ได้เตรียมตัวรับมืออย่างดีล่ะก็ ต่อให้เขาไม่ตกตายก็ต้องบาดเจ็บอยู่บ้างพอสมควร

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม ในมุมมองของหยานเสวี่ยนั้น เฉินเฉียงนั้นไร้น้ำใจและโหดร้ายต่อราชาสวรรค์อย่างมาก

ในขณะเดียวกัน ราชาสวรรค์นั้นไม่คาดคิดมาก่อนว่าเฉินเฉียงที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงจะกล้าโจมตีเขา

แน่นอนว่าราชาสวรรค์ไม่ได้เตรียมตัวรับมือแต่อย่างใด

และในตอนที่เขารู้สึกเสียววูบขึ้นมาในหัวนี้ กลับกลายเป็นว่าเฉินเฉียงนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“องครักษ์หยานไม่ต้องกังวลไป ข้า เฉินเฉียงนั้นไม่ใช่คนที่จะไม่รู้จักบุญคุณคน นี่ท่านคิดจริงๆเหรอว่าข้านั้นจะกล้าโจมตีใส่ราชาสวรรค์น่ะ ฮี่ฮี่ฮี่”

ในตอนนี้มีเพียงเสียงของเฉินเฉียงเท่านั้นที่เหลือทิ้งไว้ในพื้นที่แห่งนี้

“ไอ้เด็กตัวเหม็น”

เมื่อเฉินเฉียงจากไปไกลแล้ว ราชาสวรรค์ได้ปาดเหงื่อของตนที่อยู่ภายใต้หมอกควันดำในทันที

หากเฉินเฉียงนั้นคิดลงมือจริงๆ เขานั้นไม่มั่นใจตัวเองด้วยซ้ำจะรับมือเฉินเฉียงได้

เพราะไม่ว่ายังไงแล้ว เขานั้นตั้งใจที่จะฆ่าเพียงเว่ยหยวนตี้เพียงเท่านั้น

“หยานเสวี่ย ตามมันไป”

หลังจากนิ่งอึ้งไปสองวินาที ราชาสวรรค์และหยานเสวี่ยก็ได้ติดตามเฉินเฉียงอีกครั้ง

“เฉินเฉียง ปล่อยลุงไว้ที่นี่ ไม่ว่าจะยังไงพวกเราก็หนีจากราชาสวรรค์ไม่พ้นหรอกหากเป็นแบบนี้”

เว่ยหยวนตี้ในตอนนี้ยังคงสัมผัสได้ว่าราชาสวรรค์ยังคงติดตามมา นี่ทำให้เขารีบพูดออกมาอย่างร้อนรน

“ลุงเว่ย อย่าได้กังวลไป คราวนี้เขาจับเราไม่ได้หรอก” เฉินเฉียงได้พูดออกมาพลางกัดฟันแน่นก่อนที่จะทำท่าราวกับจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง แล้วทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็ได้ระเบิดพลังออกมา จนทำให้ร่างเนื้อใหญ่โตขึ้นมากกว่าเดิม และนี่ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกเกือบสามเท่าจนราวกับเป็นประกายแสงที่แล่นเล่นไปตามขอบฟ้าขึ้นมาจริงๆ ทิ้งห่างราชาสวรรค์และหยานเสวี่ยออกไปไกล

“ท่านราชาสวรรค์ ทำไมเฉินเฉียงถึงได้เร็วขนาดนี้กัน”

ทั้งสองได้หยุดนิ่งในทันทีเมื่อพบว่าเฉินเฉียงนั้นพุ่งออกไปไกลจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว

ราชาสวรรค์ในตอนนี้ยืนนิ่งอยู่บนท้องฟ้า ก่อนที่ร่างกายจะสั่นไหวขึ้นมาแล้วพูดออกมาห้าคำ

“เผา ผลาญ แก่น โล หิต”

“เผาผลาญแก่นโลหิต…เหรอ ท่านราชาสวรรค์ ท่านไม่เคยสอนวิธีนี้กับเขาไม่ใช่เหรอคะ” หยานเสวี่ยที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมใบหน้านั้นมีท่าทีตื่นตกใจจนอุทานออกมา

หลังจากนั้นก็ได้พูดต่อ “คุณพระคุณเจ้า ท่านราชาสวรรค์ ถ้าอย่างนี้เฉินเฉียงเขาจะไม่….”

“ตัดอนาคตตัวเอง…จนไม่อาจ….บ่มเพาะข้ามขั้นได้อีก”

ราชาสวรรค์ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่อยากจะเอ่ยลอดไรฟันที่กำลังกัดแน่นอยู่ในตอนนี้ เป็นตอนนี้ที่ตัวเขานั้นราวกับแก่ชราลงไปอีกหลายสิบปี

“หยานเสวี่ย นี่ข้าทำผิดอย่างนั้นเหรอ”

“หากข้าเปิดโปงเว่ยหยวนตี้ไปก่อนหน้านี้ล่ะก็ เฉินเฉียงคงไม่คิดจะทำอะไรสิ้นคิดแบบนี้รึเปล่า”

ถึงแม้ปากของหยานเสวี่ยจะคอยเอ่ยออกมาอย่างไม่ขาดว่าราชาสวรรค์นั้นเปรียบได้ดั่งนายเหนือหัวและเธอเป็นข้าทาส แต่ด้วยการที่เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาจนราวกับลูกสาวแท้ๆ เมื่อเธอได้ยินคำพูดนี้ของราชาสวรรค์ก็อดจะปวดใจตามไม่ได้เหมือนกัน

“ท่านราชาสวรรค์ ท่านเองก็ให้ค่ากับเฉินเฉียงอย่างสูงล้ำมาโดยตลอด ไหนจะชุบเลี้ยงเขาดูแลอย่างดี แต่เขานั้นกลับดูราวกับไม่สำนึกบุญคุณแถมยังทำลายแผนการของท่านอีก”

“หรือว่าเราควรจะปล่อยเว่ยหยวนตี้ไปก่อนดีคะ”

“ยังไงซะ โลกใบเล็กของมันก็ถูกท่านทำลายไปแล้ว ต่อให้หลุดรอดไปได้ก็ยังยากที่จะฟื้นคืนได้”

“ไม่”

ราชาสวรรค์ได้เปลี่ยนท่าทางเป็นโกรธแค้นและพูดออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่นดังท้องฟ้า “ไม่ว่ายังไงก็ตาม เว่ยหยวนตี้นั้นมันต้องตกตายในวันนี้”

“หยานเสวี่ย รีบหาตำแหน่งของเฉินเฉียงเดี๋ยวนี้”

“ได้ค่ะ”

ด้วยการที่หยานเสวี่ยรับรู้ตำแหน่งของดาบดั้นเมฆได้ เพียงไม่นาน หยานเสวี่ยก็รับรู้ได้ว่าเฉินเฉียงอยู่ที่ใด และภายใต้ทักษะข้ามมิติของราชาสวรรค์นั้นทำให้เธอไล่ตามเฉินเฉียงได้ในทันที

“ฮิ้ม”

ทั้งสองในตอนนี้ได้มองไปที่ดาบดั้นเมฆที่ค้างคาอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งตรงหน้า ราชาสวรรค์และหยานเสวี่ยต่างมองหน้ากันในทันที

“หยานเสวี่ย นี่มันอะไรกัน”

“นี่….” หยานเสวี่ยในตอนนี้รีบคุกเข่าลงในทันทีแล้วพูดออกมา “ท่านราชาสวรรค์ หยานเสวี่ยนั้นสมควรตายนัก”

“ก่อนหน้านี้ในเขตแดนจักรพรรดิ เฉินเฉียงบังคับให้ข้านั้นเผยเหตุผลที่ข้าสามารถติดตามเขาไปได้ตลอดเวลา ข้าไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงเปิดเผยความลับนี้ไป…ค่ะ”

“เฮ้ออออ ช่างมัน หยานเสวี่ย เจ้ายืนขึ้นเถอะ”

ราชาสวรรค์ได้พูดออกมา ก่อนที่จะยื่นมือออกไปเรียกให้ดาบดั้นเมฆกลับเข้ามาอยู่ในมือ

เมื่อดาบกลับมาอยู่ในมือ ตัวอักษรหนึ่งก็ได้ปรากฏบนต้นไม้ตรงหน้า

“ท่านราชาสวรรค์ ตราบใดที่ข้า เฉินเฉียงผู้นี้แก้แค้นได้สำเร็จ ข้าจะกลับไปที่เกาะเทียนลี่ด้วยตัวเองเพื่อรับโทษทัณฑ์”

หลังจากที่ราชาสวรรค์นิ้วของตนลูบไปบนร่องรอยการแกะตัวอักษรของเฉินเฉียงนี้แล้ว ราชาสวรรค์ก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมา “ไอ้เด็กนี่ช่างโง่เง่านัก ยอมใช้การเผาไหม้แก่นสายเลือดเพียงเพื่อหลบหนีจนไม่อาจจะก้าวข้ามขั้นการบ่มเพาะได้อีก แล้วจะไปแก้แค้นอะไรใครได้กัน”

เมื่อเห็นตัวอักษรบนต้นไม้นี้แล้ว หยานเสวี่ยก็รู้สึกไม่สบายใจออกมาอย่างบอกไม่ถูก แต่เธอนั้นก็ยังยึดมั่นในหน้าที่ของเธอเป็นอย่างดีแล้วถามออกมา “ท่านราชาสวรรค์ แล้วเราจะทำยังไงต่อดีคะ หากพวกเราไม่รู้ตำแหน่งของเฉินเฉียงแล้วเราจะไล่ตามเขายังไงดี”

“ไม่รู้ที่รึ ฮึ่ม ด้วยการบาดเจ็บของไอ้ตัวหน้าด้านนั่นแล้วมันก็คงทำได้เพียงไปขอให้ไอ้ตาแก่แห่งเขาโชวหยางช่วยได้เท่านั้นแหละ”

“ถ้าอย่างนั้นเราจะขวางทางไปเขาโชวหยางของเขารึเปล่าคะ”

“ช่างมันเถอะ หยานเสวี่ย ข้าเหนื่อยแล้ว”

ราชาสวรรค์ส่ายหัวไปมาในทันที

เหนื่อยเหรอ

หยานเสวี่ยได้มองไปที่ราชาสวรรค์ที่หมอกไอดำปกคลุมด้วยความรู้สึกประหลาดใจในทันที “ท่านราชาสวรรค์เหนื่อยเหรอคะ”

“หยานเสวี่ย เก็บดาบดั้นเมฆนี้ไว้ให้เฉินเฉียงด้วย ไอ้มีดยักษ์นี่มีความหมายกับเขา หากไม่ใช่เพื่อช่วยไอ้ตัวหน้าด้านเพราะความแค้นแล้วก็คงไม่ยอมโยนทิ้งแบบนี้”

“ถือซะว่าฟ้าไม่อยากให้ไอ้ตัวหน้าด้านนั่นตายเร็วก็แล้วกัน ราชาผู้นี้จะยอมปล่อยมันไปก่อน”

“แต่หากต้องพบกันในครั้งหน้า นั่นจะเป็นวันตายของมัน”

หยานเสวี่ยเองได้หยิบดาบดั้นเมฆขึ้นมาก่อนที่จะจ้องมองไปสักพักแล้วถามออกมา “ท่านราชาสวรรค์ ในเมื่อดาบดั้นเมฆนี้ไม่อยู่ที่เขาแล้วข้าจะตามหาเฉินเฉียงได้ยังไง”

ราชาสวรรค์ได้หันมามองหยานเสวี่ยก่อนจะยักไหล่แล้วพูดออกมา “ฮี่ฮี่ฮี่ หยานเสวี่ยเอ๋ย เจ้าอย่าได้หลงลืมไปว่าเฉินเฉียงนั้นยังมีพี่น้องอยู่อีกตั้งกลุ่มนึง ในตอนนี้ศึกจิ้งชวนนั้นจบลงแล้ว ตราบใดที่พวกเราเจอพวกนั้น และนั่นจะทำให้พวกเราพบเจอเฉินเฉียง”

“…แล้วท่านราชาล่ะคะ หรือว่าท่านจะกลับไปก่อนเทียนลี่เลยรึเปล่า”

——————–

*อย่าเพิ่งว่าเขาโง่ เพียงแค่เขาไม่รู้ oz

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน