ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 278 ผลที่ตามมา

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 278 ผลที่ตามมา

“องครักษ์หยาน หยุดลงมือเดี๋ยวนี้”

แต่ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้พูดจบลง มันก็ช้าเกินไป

หยานเสวี่ยผู้ซึ่งในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับทั้งสองร่างนั้น ก็ได้เปลี่ยนท่าทีไปมาอยู่กลางอากาศพร้อมกระบี่ยาวในมือที่กวัดแกว่งไปมาอย่างดุร้าย พร้อมประกายกระบี่ที่สว่างวาบพุ่งเข้าใส่ทั้งสองร่างตรงหน้า

“ฮึ่ม สาวน้อย เป็นเพียงแค่กึ่งราชา แต่กับกล้าเสียมารยาทต่อหน้าราชาผู้นี้เลยรึ”

ด้วยน้ำเสียงที่โกรธเคืองนี้ดังออกมา ร่างหนึ่งก็ได้จ้องมองหยานเสวี่ยอย่างดูแคลน ก่อนจะตวัดมีดสั้นในมือออกไปอย่างรุนแรง จนทำให้หยานเสวี่ยต้องถอยร่นไปทางเฉินเฉียงในทันที

และหลังจากที่ลงพื้นได้ หยานเสวี่ยในตอนนี้แม้จะยังกำกระบี่ยาวไว้ในมือขวา แต่มือของเธอนั้นก็สั่นระรัวอย่างที่สุด แม้แต่เมิ่งน้อยที่อยู่บนอกของเธอนั้นก็ยังต้องแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างโกรธเคืองพลางส่งเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

“เฉินเฉียง รีบไปจากที่นี่เร็วเข้า สองคนนี้ให้ข้ารับมือเอง”

หลังจากพูดจบ หยานเสวี่ยโยนเมิ่งน้อยข้ามหัวไปใส่เฉินเฉียง พร้อมกับใบหน้าที่เส้นเลือดปูดโปน จ้องมองไปยังสองร่างที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อทั้งสองร่างร่อนลงมายังพื้นที่ระยะห้าสิบเมตรจากเฉินเฉียง ร่างของผู้ที่เป็นผู้นำได้มองไปที่หยานเสวี่ยและพยักหน้ายอมรับในฝีมือ “ไม่เลว คุณหนูผู้นี้ แม้ว่าร่างนั้นยังเป็นเพียงกึ่งราชาแต่ก็สามารถป้องกันการโจมตีของข้าผู้นี้ที่เป็นราชาขุนพลขั้นกลางได้โดยไม่เจ็บตัว ช่างหาได้ยากยิ่งนัก”

หลังจากพูดจบ ชายคนนี้ก็ได้มองผ่านหยานเสวี่ยไปหาเฉินเฉียงด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกร่นด่าออกมา “เฉินเฉียง นี่เอ็งไปทำนรกห่าเหวอะไรมาวะ เพราะเจ้า พ่อคนนี้ถึงกับต้องขัดแย้งกับเบื้องบนจนตัดโอกาสในการเลื่อนขั้น ไม่สิ แม้แต่ตำแหน่งผู้การแห่งตึกเหมันต์จันทราก็แทบจะรักษาไว้ไม่อยู่เลยนะโว้ย”

หรือก็คือ สองร่างที่มาปรากฏตรงหน้าเฉินเฉียงนี้ หนึ่งคือผู้การสูงแห่งตึกจอมพลเหมันต์จันทรา อีกหนึ่งคือผู้คุมกิจกรรมในตึก จ้าวเชิง

หลังจากตะครุบร่างของหยานเสวี่ยแล้วผลักไปด้านหลังแล้ว เฉินเฉียงและเจิ้งยี่ได้ก้าวขึ้นหน้าและกล่าวทักทายออกมา “โอ้ เป็นท่านผู้การและท่านผู้ควบคุมจ้าวนี่เอง ข้าล่ะแปลกใจจริงๆว่าเหตุใดท่านทั้งสองถึงได้มาเยือนที่อาณานิคมเล็กๆอย่างอาณานิคมเขาหมางนี่ได้กัน”

เป็นตอนนี้ที่มีร่างอีกสิบกว่าร่าง ทะยานออกจากพื้นที่อาณานิคมเขาหมาง และพุ่งตรงมาที่นี่

และเมื่อรับรู้ได้ว่าจางหยวนและพวกออกไปอย่างกะทันหัน นี่ทำให้หลิงเว่ยและคนของเขาติดตามมา

แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากเหตุการณ์ชัดขึ้น ก็พบว่า ผู้บุกรุกนั้นคือหลินเฟิง

“ทำความเคารพ ท่านผู้การ”

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว จางหยวนและพวกก็ถึงกับต้องรีบทำความเคารพในทันที

ส่วนหลิงเว่ยและนักรบของเขาหมางนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอผู้บังคับบัญชาที่ตนเองได้สังกัด ทุกคนจึงรีบทำความเคารพตามอย่างไว พร้อมกับสายตาที่แน่วแน่ในระหว่างมองผู้การของตนคนนี้

หลินเฟิงที่เห็นก็ได้ยกมือขึ้นแล้วพูดออกมา “ทุกคนยืนขึ้น ไม่ต้องมากพิธี”

หลังจากนั้น หลินเฟิงก็ได้ชี้ไปที่กระดาษที่ปักบนต้นไม้แล้วพูดออกมา “เฉินเฉียง เจ้าลองดูกับตาของเจ้าเองสิว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในตอนนี้”

เจิ้งยี่ในตอนนี้ได้หยิบกระดาษแผ่นที่ว่าขึ้นมา

ส่วนเฉินเฉียงนั้น ในตอนนี้ เขาได้มองไปยังหลินเฟิงแล้วถามออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ท่านผู้การ…. ท่านเองก็คิดจะจับข้างั้นรึ”

“เฉินเฉียง นี่เป็นประกาศจากสภาสูงเลยนะโว้ย มันบอกว่าไม่ว่าใครก็ตามที่คิดว่าตัวเองยังเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ให้ใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อเข้าต่อกรกับกองกำลังเทียนเว่ยของเจ้า”

“เออ โดยเฉพาะการจับเจ้าเป็นๆนั่นด้วย”

“นี่เจ้าไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย”

“ทำไมเจ้าถึงได้กลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้วไหนจะยังเรื่องที่ไปทำร้ายท่านผู้การร่วมเว่ยอีก”

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงนั้นยังไม่ได้พูดเถียงอะไรออกมา คนในกองกำลังเทียนเว่ยนั้นกลับรู้สึกโกรธแค้นแทนเร็วกว่าเฉินเฉียงซะอีก

“ไอ้ฉิบหาย”

หลางซานเอ๋อนั้นเป็นคนแรกที่กระโดดออกมาจากกองกำลังหลางชี้หน้าหลินเฟิงแล้วตวาดออกมา “กัปตันของพวกเราไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์โว้ย”

“แล้วไอ้เว่ยหยวนตี้นั่นนะ มันจะด้านหน้าเกินไปแล้ว”

“กล้าดียังไง”

เมื่อได้ยินแบบนี้ จ้าวเชิงที่ยืนอยู่ข้างหลินเฟิงก็ตะคอกออกมาอย่างเดือดดาล ก่อนที่จะพุ่งตรงไปหาหลางซานเอ๋อ และส่งฝ่ามือหนึ่งให้พุ่งตรงไปยังเขา

ถึงแม้จ้าวเชิงนั้นจะดำรงตำแหน่งในฐานะผู้ควบคุม แต่เขานั้นก็ยึดถือเกียรติของตระกูลที่รับใช้ผู้เป็นนายมานานราวกับเป็นองครักษ์ส่วนตัวก็ว่าได้

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เจ้านายของตนนั้นถูกกระทำใส่อย่างเสียมารยาท จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะเดือดดาลและลงมือ

อย่างไรก็ตาม จ้าวเชิงนั้นพึ่งจะข้ามขั้นระดับการบ่มเพาะเพียงนายพลวิญญาณขั้นสูงได้ไม่นาน แล้วเขาจะไปเทียบกับหลางซานเอ๋อได้ยังไง

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการลงมือ ก่อนที่ผู้คุมจ้าวจะได้เข้าสู่จุดปะทะ เขาก็ถูกจางหยวนและคนอื่นๆล็อกตัวแล้วลากไปวางไว้ที่ข้างหลินเฟิงในทันที

“ท่านผู้การ”

หลังจากลากจ้าวเชิงไปไว้ที่แล้ว จางหยวนได้ก้าวไปอยู่ตรงหน้าของหลินเฟิงแล้วพูดออกมา “กัปตันของพวกเรานั้นไม่ใช่พวกมนุษย์กลายพันธุ์แต่อย่างใด”

“หวังว่าท่านคงจะไม่ถือสาที่คนในกองกำลังของข้าโกรธเคืองไปต่อคำโกหกคำโตเมื่อครู่นี้”

“หากว่าไม่ใช่กัปตันของเราได้ช่วยเว่ยหยวนตี้เอาไว้ เว่ยหยวนตี้นั้น มันก็ควรจะตกตายไปในน้ำมือของราชาสวรรค์มานานแล้ว”

“และที่เขารอดพ้นมาได้นั้นเป็นเพราะกัปตันของพวกเรายอมเผาผลาญแก่นสายเลือด เพื่อช่วยมันผู้นั้นจนเขาไม่สามารถข้ามขั้นการบ่มเพาะได้อีกในอนาคต”

“แล้วทั้งๆที่กัปตันของพวกเรานั้น เสี่ยงชีวิตของตนเพื่อช่วยเว่ยหยวนตี้ แต่มันผู้นั้นกลับตอบแทนคุณความดีนี้ด้วยความเกลียดชัง บอกข้าหน่อยเถอะว่าท่านจะไม่ให้พวกเราต้องเดือดดาลได้ยังไง”

“ช่างมันเถอะจางหยวน พูดไปก็เท่านั้น”

เฉินเฉียงได้หยุดจางหยวนที่ในตอนนี้แสดงออกมาด้วยใบหน้าคับข้องใจอยากระบายอย่างที่สุด ก่อนที่จะมองไปยังหลินเฟิง

“ในเมื่อผู้การหลินมาด้วยตัวเองในวันนี้ เห็นที่ข้านั้นคงไม่แคล้วจะพาข้ากลับไปให้ได้ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม”

“เว่ยหยวนตี้และฮั่นจุยนั้นต้องการตัวข้าเพียงเท่านั้น หรือก็คือนี่เป็นเรื่องของข้า เฉินเฉียงผู้นี่เพียงผู้เดียว สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับคนในกองกำลังข้าแต่อย่างใด”

“กัปตัน”

จางหยวนและพวกนั้นรู้ดีว่าหลินเฟิงนั้นคือราชาระดับขุนพลขั้นกลาง ต่อให้พวกเขาทั้งหมดจะอยากต้านทานขนาดไหนก็ไม่อาจจะทำได้ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาทุกคนก็ไม่ลังเลที่จะยืดอกและออกมายืนเคียงข้างเฉินเฉียง

หยานเสวี่ยที่ยืนฟังอยู่นาน ในตอนนี้เธอได้เดินขึ้นมา พร้อมชี้กระบี่ไปที่หลินเฟิงแล้วพูดออกมา “ใครต้องการที่ต้องการตัวเฉินเฉียงไป คนผู้นั้นต้องข้ามศพข้าไปก่อน”

หลินเฟิงนี้ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เป็นจ้าวเชิงที่อยู่ข้างๆนั้น เขาในตอนนี้แสดงออกมาด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวจนหน้าแดงฉานแล้วตะคอกออกมา

“จางหยวน ไอ้ตัวเวรตะไล”

“คำประกาศนี้มันชัดเจนอยู่แล้วว่าใครก็ตามที่พบเจอร่องรอยพวกเจ้านั้น ให้มันผู้นั้นรีบแจ้งไปยังสภาสูงภาคกลาง”

“แต่นี่ ท่านผู้การสูงนั้นมาที่นี่ด้วยตัวเองคนเดียวเลยนะ หากท่านต้องการจะจับพวกเอ็งนั้น ท่านก็สมควรจะยกกองทัพมาไหม”

“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ท่านนั้นเป็นปากเป็นเสียงให้พวกเอ็งจนทำให้จากเดิมตำแหน่งผู้การร่วมแห่งกันหนันที่ลอยอยู่ตรงหน้าก็ได้หมดหวังจะได้รับแล้ว ไม่สิ แม้แต่ตำแหน่งที่มีอยู่ตอนนี้ก็ยังเกือบจะถูกริบคืนเลยนะเว้ย”

“ท่านผู้การปกป้องพวกเจ้ามากมายถึงคนนี้ แล้วเอ็งยังคิดว่าท่านจะมาจับตัวอีกเนี่ยนะ ไอ้นรก”

เมื่อได้ยินสิ่งที่จ้าวเชิงพูดออกมาแล้วนั้น เฉินเฉียน จางหยวน และคนอื่นๆต่างก็นิ่งอึ้งไป

เฉินเฉียงได้ก้าวขึ้นหน้าออกมาแล้วถามในทันที “ท่านผู้การ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“เกิดอะไรขึ้น….เหรอ”

หลินเฟิงได้สบถออกมาหนึ่งทีก่อนจะพูดออกมา “เมื่อครึ่งเดือนกัน ข้าได้หมายจับจากสภาสูงภาคกลาง พวกนั้นต้องการจะจับกุมทุกคนในกองกำลังเทียนเว่ย”

“ถึงแม้ว่าราชาผู้นี้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น แต่ในเมื่อกองกำลังเทียนเว่ยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของข้า ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ครึ่งปีก่อนนั้น พวกเจ้าได้สร้างหน้าให้กับตึกจอมพลของพวกเราไว้มากมายอีก”

“ถึงแม้ว่าข้านั้นจะไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอันใด แต่ข้าก็ไม่อาจจะทำตัวไม่สนใจลมฝนไล่จับนักรบชั้นแนวหน้าของมนุษย์โดยไม่รู้เหตุผลไปได้หรอก ใช่ไหมล่ะ”

“ยังไม่รวมถึงเจ้า เฉินเฉียงผู้ซึ่งเป็นถึงทายาทของผู้ที่ข้าเคารพอย่างที่สุดนั่นอีก ข้านั้นเชื่อไม่ลงจริงๆว่าเจ้านั้นจะทำร้ายเว่ยหยวนตี้ลงได้”

“น่าเสียดายที่เสียงของราชาผู้นี้นั้นไม่มีใครรับฟังแต่อย่างใด”

“ไอ้เรื่องตำแหน่งอะไรนั่น ราชาผู้นี้ไม่ได้แยแสอยู่แล้ว ข้าจึงไม่ได้คิดจะทำอะไรเจ้าในตอนนั้น”

“ต่อมาภายหลัง หมายจับก็ได้ถูกส่งออกมา และนี่ทำให้ข้านั้นนึกได้ว่าเจ้านั้นน่าจะกลับมายังสถานที่ที่เจ้านั้นได้เติบโต”

“และเป็นอย่างที่ข้าคิดไว้ เฉินเฉียง ว่าเจ้านั้นไม่มีทางทำให้ท่านเว่ยนั้นต้องบาดเจ็บได้ถึงขั้นนั้น และนี่จะทำให้ข้านั้นไม่รับฟังเรื่องราวจากปากของท่านเว่ยอีก”

“คนเช่นข้านั้น ไม่ว่าใครจะบอกว่าผิดหรือถูกแต่อย่างใด ตัวข้านั้นมีความยุติธรรมของตนเองในการตัดสินผู้คน”

“ถึงแม้ว่าในเผ่าพันธุ์ของเรานั้นจะมีคนที่เห็นแก่ตัวจนถึงขั้นทำร้ายผู้อื่น กลับผิดเป็นถูก กลับชั่วเป็นดีอยู่ถมไป แต่ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าจะมีคนเช่นนี้อยู่ในสภาสูงอันสูงศักดิ์นั่นด้วยเหมือนกัน”

“ดังนั้น เฉินเฉียง เจ้าจงกลับไปกับข้าซะ”

“ส่วนเรื่องพวกของเจ้านั้น ข้าจะพูดให้กับจางหยวนและคนอื่นๆเอง ยังไงซะ พวกเจ้านั้นก็สร้างคุณงามความดีให้กลับเผ่าพันธุ์อย่างมหาศาล ข้าเชื่อว่าผู้อาวุโสจากสภาสูงนั้นคงไม่สร้างความยากลำบากให้พวกเขา”

“ไม่”

จางหยวนและคนอื่นๆนั้นรีบเดินออกมาขวางทางในทันที “กัปตัน ท่านไปกับผู้การไม่ได้นะ”

“ท่านก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเพียงแค่ท่านเหยียบย่างเข้าเขตพื้นที่ภาคกลาง ฮั่นจุยมันก็พร้อมที่จะเอาชีวิตท่านในทันที”

เฉินเฉียงนั้นไม่ได้สนใจกับคำพูดของจางหยวนและคนอื่นๆในกองกำลัง เขาเพียงมองตรงไปยังหลินเฟิงแล้วถามออกมา “ท่านผู้การ ท่านรับรองได้จริงๆหรือว่าท่านจะปกป้องคนในกองกำลังของข้าได้”

“ข้า หลินเฟิงผู้นี้ ข้าสาบานด้วยชีวิตตนเอง ตราบใดที่เจ้าตามข้ากลับไป คนของเจ้านั้นจะได้มีชีวิตที่สงบสุขไปตลอดชีวิต”

“ดี ถ้าอย่างนั้นข้าจะไป”

ไม่ใช่ว่าเฉินเฉียงนั้นต้องการที่จะยอมแพ้ แต่ตัวเขานั้นเพียงต้องการซื้อเวลาให้กับจางหยวนและคนอื่นๆได้หลบหนีไปเพียงเท่านั้น

สำหรับตัวเขาแล้วนั้น อย่าว่าแต่หลินเฟิงเลย แม้แต่ฮั่นจุยมาด้วยตัวเอง เขาก็ยังมั่นใจว่าจะหลุดรอดไปได้อย่างแน่นอน

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าไปไม่ได้นะ หากเจ้าไปแล้วเจ้าไม่มีทางรอดกลับมาได้อย่างแน่นอน”

“ศิษย์พี่กัว อย่าได้กังวลไป ท่านผู้การนั้นพูดถูกแล้ว ยังไงซะสภาสูงนั้นไม่ได้มีฮั่นจุยเป็นผู้ชี้สิทธิ์ขาด ข้าไม่เป็นไรหรอก”

แต่เพียงเฉินเฉียงได้พูดจบลง หยานเสวี่ยที่อยู่ข้างหลังได้ดึงเขาไปข้างหลังแล้วเอาร่างอรชรอ้อนแอ้นมาบังไว้

“เฉินเฉียง เจ้าลืมไปรึเปล่าว่าข้านั้นมีหน้าที่ต้องปกป้องเจ้าให้อยู่ดี”

“หากว่าผู้การของเจ้าต้องการตัวเจ้าไปจริง เขาก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า สาวน้อยนี่ช่างโอหังนัก”

หลินเฟิงได้หัวเราะออกมาอย่างดังก้อง “ดี ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆว่าสาวน้อยระดับกึ่งราชาผู้นี้จะหยุดราชาผู้นี้ได้ยังไง”

เมื่อพูดจบ หลินเฟิงได้มองไปที่หยานเสวี่ยด้วยท่าทางสงบนิ่ง พร้อมกับมือที่ไพล่หลัง

ท่าทางของเขาบ่งบอกว่า ในฐานะผู้อยู่สูงกว่านั้น ย่อมออมมือให้อีกฝ่ายลงมือก่อน

หยานเสวี่ยไม่เสียเวลาพูดจาอีกต่อไป เธอตวัดกระบี่ยาวในมือราวกับงูพิษที่แลบลิ้น พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า

“กระบี่ไร้ลักษณ์รึ วิชาที่ดี”

หลินเฟิงได้หรี่ตามองไปที่กระบวนท่าของหยานเสวี่ย เป็นเพียงระยะหนึ่งเมตรที่คลื่นกระบี่จะถึงตัว เขาได้ยกมือซ้ายของตนขึ้น และพุ่งตรงไปยังหยานเสวี่ย

หลังจากขึ้นมาอยู่ในระดับกึ่งราชาแล้ว พลังสายเลือดที่อยู่ในร่างกายนั้นเพิ่มระดับความเข้มข้นขึ้น จนกระทั่งเริ่มก่อรูปร่างขึ้นมา และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้การบ่มเพาะนั้น ไม่อาจจะทำได้อีก

และนี่ก็เป็นเหตุผลหลักที่ว่า ทำไมระดับกึ่งราชานั้นถึงแข็งแกร่งกว่าระดับนายพลวิญญาณในคนละระดับ

ด้วยการที่หยานเสวี่ยนั้น ในตอนนี้ เธอ อยู่ในระดับกึ่งราชา นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับหลินเฟิง ที่เป็นราชาขุนพลขั้นกลาง

อย่างไรก็ตาม แม้หลินเฟิงนั้นจะอยู่ในระดับราชาขุนพลขั้นกลางเฉกเช่นเดียวกับเว่ยหยวนตี้ แต่ตัวเขานั้นกลับแข็งแกร่งกว่าเว่ยหยวนตี้อยู่หลายขุม นั่นก็เพราะ ถึงแม้ว่าหลินเฟิงนั้นจะเป็นผู้การตึกจอมพล แต่เขานั้นกลับไม่เคยห่างหายจากสนามรบที่อยู่ในเขตของตน

และด้วยเหตุผลนี้เองทำให้หลินเฟิงนั้นคือสุดยอดในหมู่ราชาระดับขุนพลขั้นกลางของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แม้จะใช้เพียงแค่ฝ่ามือ แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้หยานเสวี่ยบาดเจ็บได้

แต่เป็นเพียงตอนที่ฝ่ามือของเขาจะกระทบร่างของหยานเสวี่ยนั้น อยู่ๆ ร่างกายของหยานเสวี่ยก็ได้รอยไปไกลนับสิบเมตร ราวกับพึ่งจะคิดได้ว่าต้องหลบการโจมตีนี้

เป็นเพียงตอนนี้ที่แม้แต่หลินเฟิงเองก็ต้องถอยร่นไปข้างหลังนับสิบเมตร

นั่นก็เพราะเขาสัมผัสได้ถึงหมอกไอดำหนึ่งได้ปรากฏตัวต่อหน้าเฉินเฉียง

“เจ้า….ราชาสวรรค์…เหรอ”

ด้วยการที่หมอกไอดำของราชาสวรรค์นี้เป็นที่ผิดแผกในเหล่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จะเข้าใจ เป็นธรรมดาที่เรื่องของเขาต้องถูกส่งต่อให้รับรู้กัน จึงไม่แปลกที่หลินเฟิงนั้นจะรับรู้ตัวตนของคนตรงหน้าได้แม้จะเป็นเพียงการพบเจอครั้งแรกก็ตาม

แต่เขานั้นไม่เข้าใจว่าราชาสวรรค์นั้นมาทำอะไรถึงที่นี่

“ฮึ่ม หลินเฟิง ถ้าไม่ใช่เจ้านั้นไหวพริบดีล่ะก็ ป่านนี้ชีวิตเจ้าก็คงต้องหมดสิ้นแล้ว”

ราชาสวรรค์พูดออกมาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะหันไปหาหยานเสวี่ยแล้วพูดออกมา “หยานเสวี่ย คืนดาบดั้นเมฆให้เฉินเฉียงไป ดาบนั่นสำคัญกับเขามากนัก”

“รับคำสั่ง”

หยานเสวี่ยได้นำดาบดั้นเมฆออกมาแล้วยื่นให้เฉินเฉียงในทันที

เมื่อได้รับดาบดั้นเมฆมาแล้ว เฉินเฉียงมองไปยังราชาสวรรค์พร้อมท่าทางสำนึกผิดแล้วพูดออกมา “ท่านราชาสวรรค์….ข้า…ขอโทษ”

“เพียงแค่นั้น เหอะ”

ราชาสวรรค์สบถออกมาหนึ่งทีก่อนจะพูดต่อ “เฉินเฉียง เจ้านั้นทำลายแผนของข้า ไม่ว่าช้าหรือเร็ว เจ้าก็ต้องคืนหนี้ครั้งนี้ให้ข้าด้วย”

เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ได้มองผ่านเฉินเฉียงไปยังป้ายหลุมศพหนึ่ง มันคือป้ายหลุมศพของซุนต้าฮู่ นี่ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเดินตรงไป

เมื่อเห็นฉากนี้ เฉินเฉียงรีบวิ่งเข้าไปกอดหลุมศพแล้วร้องออกมาอย่างดังลั่น

“ท่านราชาสวรรค์ นี่คือป้ายหลุมศพของผู้อาวุโสของข้า ในเมื่อเขาตายไปแล้วก็โปรดอย่าได้ยุ่งเกี่ยวกบเขาเลย”

ราชาสวรรค์หยุดยืนโดยไม่พูดจาอะไรออกมา เขาได้หันหลังแล้วมองไปยังหลินเฟิง

“หลินเฟิง ราชาผู้นี้หากเข้าใจไม่ผิด เจ้านั้นสมควรจะคุ้นเคยกับซุนต้าฮู่ผู้ตกตายไปใช่หรือไม่”

“ห้ะ ว่าไงนะ ซุนต้าฮู่…เหรอ” หลินเฟิงนั้นในตอนนี้แสดงออกมาด้วยใบหน้าที่กระตุกในทันทีเมื่อได้ยิน แต่ถึงแม้จะเล็กน้อย แต่เฉินเฉียงเองก็เห็นได้อย่างชัดเจน

ในขณะที่เฉินเฉียงมาเฝ้าหลุมศพของซุนต้าฮู่นี้ เขานั้นบังเกิดคำถามมากมายสั่งสมไว้อยู่ในใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นเว่ยหยวนตี้หรือราชาสวรรค์ ทั้งสองต่างก็ไม่คิดที่จะบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเขา ส่วนคนที่รู้เรื่องอีกคนนั้นก็คือหลี่ปิงที่ตกตายไปนานแล้ว

และเป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงก็ดันพึ่งจะมานึกขึ้นได้ว่าหลินเฟิงเองก็รู้จักซุนต้าฮู่ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยหลินเฟิงไปง่ายๆอย่างแน่นอน

“ท่านผู้การ ท่านรู้จักปู่ซุนของข้าด้วยเหรอ ถ้าอย่างนั้นท่านก็ต้องรู้สิว่าทำไมปู่ซุนถึงต้องระหกระเหินมาอยู่ที่นี่”

เมื่อเผชิญคำถามนี้ของเฉินเฉียง ดวงตาของหลินเฟิงนั้นแสดงออกมาอย่างรนรานอย่างหยุดไม่อยู่ เขานั้นได้เบี่ยงไปชี้หน้าของราชาสวรรค์แล้วตะคอกออกมา “ราชาสวรรค์ แกมาทำบ้าอะไรที่นี่ นี่แกลืมไปรึเปล่าว่าพวกเรานั้นมีข้อตกลงกันว่าระดับราชานั้นจะไม่ยุ่งเกี่ยวในสงคราม”

“ฮี่ฮี่ฮี่ ช่างเป็นตลกที่ไร้สาระนัก”

ราชาสวรรค์หัวเราะออกมา “หลินเฟิง ข้าเองก็คิดว่าเจ้านั้นเป็นคนที่น่าเคารพคนหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าในวันนี้ตัวเจ้านั้นจะทำตัวแตกต่างไปจากเดิม”

“หากเจ้ายังทำตัวไม่รู้ดีไม่รู้ชั่วอยู่แบบนี้ เห็นทีข้าคงต้องกวาดล้างเผ่าพันธุ์ของเจ้าที่อยู่ที่นี่แล้วกระมัง”

ถึงแม้คำพูดของราชาสวรรค์จะฟังดูแล้วโหดร้ายอย่างเกินการ แต่ไม่มีใครในที่นี้จะไม่เชื่อว่าเขานั้นสามารถทำได้จริง

กระนั้นแล้ว หลินเฟิงแม้จะรู้ตัวดีว่าไม่อาจจะทัดทานราชาสวรรค์ได้ แต่ในฐานะราชาของเผ่าพันธุ์ เขาก็ไม่อาจทำตัวปอดแหกได้ในตอนนี้

“ราชาสวรรค์ แล้วเจ้ามาทำซากอะไรที่นี่กัน”

“ก็ง่ายๆ ข้าแค่จะมาพาตัวคนคนหนึ่งไปเพียงเท่านั้น” เมื่อพูดจบ ราชาสวรรค์ก็ได้มองไปยังเฉินเฉียง

เมื่อเห็นเป็นแบบนี้ เฉินเฉียงก็เดินไปข้างๆราชาสวรรค์แต่โดยดีอย่างไม่อิดออด

“ไม่ กัปตัน ท่านจะไปไม่ได้”

จางหยวน เจิ้งยี่และคนอื่นๆเตรียมที่จะลุกฮืออย่างสุดชีวิต

“กองกำลังเทียนเว่ย จงฟัง”

เฉินเฉียงนำธงพลของกองกำลังเทียนเว่ยออกมาชูขึ้นฟ้า และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งลึก “ข้า ในนามของกัปตันแห่งกองกำลังขอสั่งพวกเจ้า”

“ก่อนที่ข้าจะกลับมา พวกเจ้าต้องอยู่ภายใต้ผู้สั่งการเว่ย ยึดอาณานิคมเขาหมางเป็นฐานที่มั่น”

เมื่อได้เห็นธงพลในมือของเฉินเฉียงแล้ว จางหยวนและพวกนั้น ต่างก็ยืนนิ่งรับฟังเฉินเฉียง ราวกับเด็กที่ยอมรับฟังคำสั่งสอนจากอาจารย์ที่เคารพ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน