ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – บทที่ 309 หวนคืนเอเวอเรสต์

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 309 หวนคืนเอเวอเรสต์

เพียงเมื่อร่างอรชรอ้อนแอ้นของเว่ยฉิงเชินหายวับไปจากครรลองการรับรู้ หลินเฟิงก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมา “เฉินเฉียง เจ้าต้องเสียใจในเรื่องนี้เป็นแน่”

“ไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสียใจหากมันเกิดจากการแก้แค้นให้พ่อของข้า”

“หึหึหึ ล้างแค้นรึ สิ่งใดกันที่พวกเราได้จากการล้างแค้นน่ะ ห้ะ” หลินเฟิงถามออกมาด้วยเสียงเย็นชา “เฉินเฉียง ข้าเชื่อว่าหากพี่เทียนเว่ยตอนที่มีชีวิตอยู่ย่อมไม่ต้องการเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”

“เจ้าไม่สนใจความรู้สึกของฉิงเชินเลยรึไงที่นางต้องมาตกอยู่ท่ามกลางความแค้นแบบนี้”

“เจ้าอย่าได้หลงลืมไป”

“ก่อนหน้านี้ตอนที่เว่ยหยวนตี้จะโจมตีเจ้า นางอุตส่าห์เสี่ยงชีวิตไปรับฝ่ามือแทนเจ้า นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าติดค้างนางรึไงกัน”

“แต่เจ้ากับตอบแทนนางด้วยการทำลายการบ่มเพาะของเว่ยหยวนตี้”

“เอาจริงๆเลยนะ นอกจากนางจะใส่ใจเจ้าแล้ว นางยังรู้สึกผิดในสิ่งที่พ่อของเธอได้กระทำลงไปกับพี่เทียนเว่ยนั่นด้วย”

“แต่ถึงกระนั้น ยังไงซะเว่ยหยวนตี้ก็เป็นพ่อของนาง”

“เจ้าทำลายการบ่มเพาะของพ่อนางต่อหน้าต่อตาแบบนี้ แล้วเจ้าจะทำยังไงเมื่อพบเจอนางในอนาคต”

คำพูดของหลินเฟิงนั้น แต่ละคำ แต่ละประโยค ล้วนแล้วแต่กรีดใจเฉินเฉียงทั้งหมดทั้งสิ้น

โดยเฉพาะใบหน้าที่เย็นชาก่อนที่เธอจะจากไปนั้นทำให้หัวใจของเขาราวกับรู้สึกมีมืดเสียบคาไว้อย่างถอนไม่ขึ้น

อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ทำลงไปแล้ว และในใจของเขานั้นก็ยังรู้สึกอยู่ว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นไม่ได้ผิดอะไร

ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่า เขาไม่ได้ฆ่าให้ตกตายอย่างที่ควร เพียงแค่ทำลายระดับการบ่มเพาะไปเพียงเท่านั้น

อย่างน้อยๆเว่ยหยวนตี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุขโดยมีลูกสาวของตนคอยดูแล แต่กลับเขานั้น ได้แยกจากกับเฉินเทียนเว่ยอย่างไม่อาจอยู่ร่วมเฉกเช่นหยินและหยาง

เมื่อเห็นเฉินเฉียงยังไม่แยแส(สำนึก)ในสิ่งที่ทำ หลินเฟิงก็ทำได้เพียงส่ายหัวไปมาแล้วพูดต่อ “เฉินเฉียง ตามข้ามา”

ในห้องโถง หลินเฟิงโยนรายงานจากผู้การสูงแห่งกันหนันที่รายงานเกี่ยวกับเรื่องที่กองกำลังเทียนเว่ยได้ทำลงไปให้ดู

“อ่านเองแล้วกัน”

“ถึงแม้เจ้าจะมีคนหนุนหลังที่สูงส่งอย่างผู้อาวุโสสูงแห่งฮุยตู๋ก็ตาม แต่เจ้าก็ยังอยู่ตึกจอมพลเหมันต์จันทราของข้าอยู่ดี”

เมื่อได้เห็นเนื้อหาจากรายงาน เฉินเฉียงก็สบถไปทีหนึ่ง ก่อนที่จะถามออกมา “ท่านผู้การ ท่านจะลงโทษข้าเช่นใดก็สุดแล้วแต่ท่าน”

“แต่หากจะให้ข้ายอมรับว่าสิ่งที่ข้าทำมันผิด ฝันไปเถอะ”

ปัง

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลินเฟิงตบโต๊ะตรงหน้าอย่างโกรธเคือง

“เฉินเฉียง อย่าให้มันมากนักนะ”

“ถึงแม้เจ้าจะเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งฮุยตู๋ แต่เจ้าก็อย่าได้หลงลืมว่าตัวเจ้าเองก็ยังเป็นกัปตันของกองกำลังในสังกัดตึกจอมพลเหมันต์จันทราของข้า กองกำลังเทียนเว่ย”

“การกระทำของเจ้าย่อมสะท้อนถึงกองกำลังเทียนเว่ย และนั่นย่อมส่งผลต่อตำแหน่งผู้การของข้าด้วย”

“มนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์นั้นยามเจอหน้าก็เข่นฆ่ากันมาโดยตลอด เจ้าเองก็รู้เรื่องนี้ดี”

“แต่นี่ เจ้าไม่เพียงจะปล่อยมนุษย์กลายพันธุ์พวกนั้นไปต่อหน้าทุกคน แถมยังเป็นต่อหน้ากองกำลังของตึกจอมพลหลัวหนันนั่นอีก”

ในทันทีที่หลินเฟิงพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้เปิดโลกใบเล็กของตน แล้วกวาดมือเพื่อส่งหยานเสวี่ย จางหยวน และคนอื่นๆออกมา

“กัปตัน”

เมื่อจางหยวนและพวกได้ออกมาก็พบว่าตนเองอยู่ในตึกจอมพลเหมันต์จันทราแล้ว และเมื่อได้เห็นหลินเฟิง ทุกคนรีบแสดงความเคารพ

“สมาชิกกองกำลังเทียนเว่ยแสดงความเคารพท่านผู้การ”

แน่นอนว่าหยานเสวี่ยไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงเดินไปยืนข้างๆเฉินเฉียงด้วยใบหน้าไร้อารมณ์เพียงเท่านั้น

“ท่านผู้การหลินเฟิง”

เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยท่าทางที่หนักแน่น “ย้อนกลับไปในตอนนั้น เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ท่านสามารถสอบถามความเป็นจริงจากพวกเขาได้”

“ตอนที่พวกเรามุ่งลงใต้ไปนั้น พวกเราได้พบกับชาวอาณานิคมหนึ่งกว่าสองร้อยชีวิตที่กำลังหนีตายจากสัตว์หายนะภายใต้ความคุ้มครองของเจิ้งเชิงและพวกจากเผ่าพันธ์ุมนุษย์กลายพันธุ์”

“ท่านผู้การ ข้าขอถามหน่อยเถอะว่าหากว่าท่านอยู่ในเหตุการณ์ แล้วท่านจะสั่งให้พวกข้าเล่นงานทหารของศัตรูที่เข้ามาช่วยให้คนของเราอยู่รอดปลอดภัยโดยพร้อมแลกชีวิตเพื่อปกป้องเช่นนั้นหรือ”

“ไม่หรอกน่า ท่านผู้การ สิ่งที่กัปตันของพวกเราพูดเป็นความจริง”

“หากท่านต้องการลงโทษล่ะก็ ขอให้ลงโทษพวกเราด้วย”

“ใช่แล้ว พวกเราเองก็เห็นด้วยและร่วมมือกับกัปตันของพวกเราเป็นอย่างดี”

เมื่อเห็นจางหยวนและพวกยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเฉินเฉียงในเรี่องนี้ นี่ก็ยิ่งทำให้หลินเฟิงโกรธเคืองยิ่งกว่าเดิม

“เฉินเฉียง การตัดสินใจของเจ้าช่างผิดพลาดยิ่งนัก”

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การกระทำของมนุษย์กลายพันธุ์นั่นต่อให้มันดียังไงมันก็ยังเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

“นี่คือเรื่องพื้นฐานในการตัดสินใจเรื่องราวต่างๆว่าถูกผิดเช่นใด”

“การกระทำของเจ้าถึงแม้จะถูกตามสามัญสำนึก แต่มันก็ยังทำให้กองกำลังของเจ้าเข้าสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่ดี”

“พี่เทียนเว่ยเป็นผู้ก่อตั้งกองกำลังนี้ขึ้นมา ข้าย่อมไม่อาจปล่อยให้เจ้าต้องพังมันกับมือ”

“อย่าได้มาพูดถึงพ่อข้า ท่านไม่คู่ควร”

เฉินเฉียงได้กล่าวขัดออกมา “สิ่งใดกันที่บ่งบอกว่าสิ่งที่ข้าได้กระทำนั้นไม่มีคุณธรรม”

“แล้วสิ่งใดกันคือถูกผิด”

“สิ่งที่เรียกว่าถูกผิด ใครคือผู้ตัดสินกัน”

“ในความคิดของข้า เฉินเฉียงผู้นี้มีคุณธรรมประจับใจ ตัดสินด้วยตัวเองว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด”

“ข้ารู้เพียงว่าเจิ้งเชิงและพวกช่วยเหลือชาวอาณานิคมด้วยใจที่ห้าวหาญเพียงเท่านั้น”

“แน่นอนว่าในเรื่องนี้ นี่เป็นเพียงความคิดของข้าคนเดียวเพียงเท่านั้น”

“ส่วนการกระทำในนามของกองกำลังเทียนเว่ย พวกเขาย่อมมีสิทธิตัดสินใจ”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้หันไปหาทุกคนแล้วพูดขึ้นมา “พี่ชายทั้งหลาย ก็อย่างที่ข้าว่ามา เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจของข้าเพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับพวกเจ้า”

“ต่อให้ผู้การต้องการลงโทษ เรื่องนี้ข้าย่อมเป็นผู้เดียวที่จะรับโทษทัณฑ์”

“กัปตัน ท่านพูดอะไรออกมา”

“เรื่องที่ปล่อยมนุษย์กลายพันธุ์กลุ่มนั้นไปนั้น ในเมื่อพวกเราเห็นด้วย แล้วพวกเราจะปล่อยให้ท่านรับโทษคนเดียวได้ยังไงกัน”

“ท่านผู้การ พวกข้าต่างเห็นด้วยกับเรื่องนี้ พวกข้าย่อมยินดีรับโทษ”

“ไม่ว่าท่านจะตัดสินโทษเช่นใด พวกข้าจะยอมรับมันโดยไม่ปฏิเสธ”

เมื่อเห็นว่าเฉินเฉียงนั้นได้พูดออกมาด้วยตัวเองว่าเป็นความคิดของตน แต่จางหยวนกลับรีบแย้งออกมาว่ามันเป็นความคิดของคนทั้งกองกำลัง

เมื่อเห็นท่าทางที่กลมเกลียวของคนทั้งสิบสามคนแล้ว หลินเฟิงก็ทำได้เพียงถอดถอนลมหายใจยังหน่ายจิต

“เออๆๆ ช่างมันแล้วกัน”

“แถมกันหนันเองก็ไม่ได้มีท่าทีจะถือโทษเจ้าในเรื่องนี้ด้วย”

“แล้วไอ้ความคิดของเจ้านั้น แม้ข้าจะไม่เห็นด้วยแต่ข้าก็เข้าใจมันดี”

“ข้า หลินเฟิงผู้นี้ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ข้าไม่ใช่ไอ้พวกหัวโบราณพันธุ์นั้น”

“บอกเจ้าตรงๆเลยนะ หากข้าไม่ใช่ผู้การของตึกจอมพลแล้วเป็นเพียงกัปตันกองกำลังเช่นเจ้า ข้าเองก็ตัดสินใจไม่ต่างไปจากเจ้าหรอก”

คำพูดของหลินเฟิงนี้ทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลายขึ้นมา

เฉินเฉียง แม้จะไม่ชอบหลินเฟิงนัก แต่เขาก็ไม่ถึงกับเกลียดชายคนนี้

หากไม่ใช่เพราะเขานั้นเป็นคนที่มีฝีมือชั้นแนวหน้า เขาเองก็คงจะถูกดีดตั้งแต่แข็งขืนกับเผ่าพันธุ์ในเรื่องของเฉินเฉียงก่อนหน้านี้ไปแล้ว

และนี่ทำให้เมื่อหลินเฟิงได้พูดจบลง เฉินเฉียงก็ราวกับสำนึกขึ้นมาเล็กน้อย และได้พูดออกมา “ท่านผู้การ ข้าทำให้ท่านต้องยุ่งยากแล้ว”

“หากไม่มีสิ่งใดอื่นอีก ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ขอตัวก่อน”

“อ้าว แล้วเจ้าจะไปไหนอีกล่ะนั่น ไม่คิดจะกลับมาที่นี่แล้วรึไง”

“แก้แค้น” เฉินเฉ๊ยงพูดออกมาอย่างเย็นชา

“แก้แค้น…เหรอ” หลินเฟิงยืนขึ้นในทันทีก่อนที่จะถามออกมา “เฉินเฉียง บอกมาให้ชัดๆหน่อยว่าเจ้าต้องการจะสะสางความแค้นใดอีก เจ้าพึ่งจะทำลายการบ่มเพาะของเว่ยหยวนตี้ไปแล้วยังไม่สาแก่ใจอีกรึ หรือเจ้าต้องการที่จะเผาเขาโชวหยางเลยรึไงกัน”

ก่อนหน้านี้ ด้วยการที่ทุกคนอยู่ในโลกใบเล็กของเฉินเฉียงจึงไม่ได้รับรู้ว่าเฉินเฉียงได้ทำสิ่งใดลงไป แต่ในตอนนี้ จางหยวน หยานเสวี่ยและคนอื่นๆได้ยินคำพูดนี้ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเฉินเฉียงได้ลงมือล้างแค้นเว่ยหยวนตี้ด้วยการทำลายการบ่มเพาะไป

“เฉินเฉียง ทำได้ดีมาก พ่อบุญธรรมย่อมต้องดีใจเป็นแน่” หยานเสวี่ยพูดออกมาอย่างตื่นเต้นยินดี

เมื่อเฉินเฉียงพยักหน้าให้หยานเสวี่ยที่พยักหน้าซ้ำๆอย่างตื้นตันแล้ว เฉินเฉียงก็ได้หันไปหาหลินเฟิงแล้วพูดออกมา “ท่านผู้การ ข้าเชื่อว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปนั้น เป็นการลงโทษผิดคนแต่อย่างใด”

“เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม เว่ยหยวนตี้มันก็เป็นศัตรูที่ทำให้พ่อข้าต้องตกอยู่ในสภาพนี้จนอัดอั้นตันใจมากว่ายี่สิบสามปี ส่วนการล้างแค้นของข้านับจากนี้คือการล้างแค้นคนที่ฆ่าพ่อของข้า”

“มันเป็นใครกัน ใครที่มาฆ่าพี่เทียนเว่ย เฉินเฉียง รีบบอกข้ามา”

เฉินเฉียงได้เดินออกไปพลางพูดด้วยเสียงที่นิ่งลึก “ท่านผู้การ เรื่องนี้ไม่ต้องถึงมือท่านแต่อย่างใด”

“ความแค้นของผู้เป็นพ่อ ข้าย่อมต้องเป็นผู้สะสาง”

เมื่อพูดจบ เฉินเฉียงได้กวาดมือพาหยานเสวี่ย จางหยวนและคนอื่นๆให้กลับเข้าไปในโลกใบเล็ก ก่อนที่จะใช้ผ่ามิติหายวับไปอย่างไรร่องรอย

“เฉินเฉียงเว้ย บอกข้ามาก่อนว่าศพพี่เทียนเว่ยฝังไว้ไหนนนนน……”

“เขาหมางงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง….”

หลินฟางได้ยินเสียงเฉินเฉียงตะโกนตอบออกมาจากที่ห่างไกล

….

เมื่อหนึ่งปีก่อน เฉินเฉียงได้มาที่ตีนเขาเอเวอเรสต์โดยเรือมังกรบินที่สร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีที่สูงล้ำของเผ่าพันธ์ุ ในตอนนั้น เขาอยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางและเข้าไปในเขตแดนจักรพรรดิ

แต่ในครั้งนี้ เขามาที่นี่โดยการผ่ามิติโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน

ที่เขาโชวหยาง เขาได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน แถมเขายังมอบตำแหน่งที่ตั้งของทางเข้าฮุยตู๋ให้ไว้ในกำไลสื่อสารของเขาอีก

ที่ยอดเขาเอเวอเรสต์ ถึงแม้จะเต็มไปด้วยหิมะที่ขาวโพลนพร้อมกับสภาพอากาศที่เย็นยะเยือก แต่บริเวณตีนเขานั้นกลับมีสภาพราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิตลอดเวลา

และนี่คือตำแหน่งที่เฉินเฉียงอยู่ในตอนนี้ สภาพบรรยากาศโดยรอบนั้นไม่ได้ต่างจากเขาหมางแต่อย่างใด

พื้นที่โดยรอบนี้เองมีเสียงคำรามของสัตว์ประหลาด และเสียงกรีดร้องจากธรรมชาติอย่างมีชีวิตชีวาและน่าผ่อนคลายอย่างที่สุด

หลังจากเฉินเฉียงเปิดประตูโลกใบเล็กของตนแล้ว หยานเสวี่ย จางหยวนและคนอื่นๆก็ได้ออกมา เฉินเฉียงได้นำธงตราสามเหลี่ยมของฮุยตู๋ที่พ่อของเขามอบมาให้ ก่อนที่จะจ้องมองไปที่ธงตรานี้แล้วพูดออกมาอย่างดังลั่น “ผู้อาวุโสสูงสุดฮูเตี๋ยน ผู้น้อยเฉินเฉียงขอเข้าพบ”

เสียงของเฉินเฉียงได้สะท้อนก้องทั่วภูเขาดังไปไกลนับสิบกิโลเมตรราวกับจะสะท้อนไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ไม่นาน พื้นที่ไม่ห่างตรงหน้าเฉินเฉียงไม่เกินหนึ่งร้อยเมตร ก็ได้บังเกิดร่องรอยของมิติที่เปิดออกบนผิวหินก้อนใหญ่ มันใหญ่พอจนสามารถพบเจอคนทั้งสี่ที่เดินออกมาพร้อมๆกัน

หากว่าฮูเตี๋ยนไม่ได้มอบตำแหน่งที่ตั้งให้กับเขาไว้ล่ะก็ คงไม่มีใครเชื่อว่าองค์กรฮุยตู๋ที่แสนลึกลับนั้นจะมาอยู่ในสถานที่แบบนี้

“ที่ตั้งของฮุยตู๋นี้แทบจะอยู่ใกล้ๆกับทางเข้าเขตแดนจักรพรรดิเลยแฮะ พื้นที่ข้างในคงจะไม่ได้เล็กๆหรอกนะ”

“อย่างที่คิดจริงๆ ผู้คนของฮุยตู๋นั้นทรงพลังอย่างที่สุด เพียงแค่สี่คนนี้ก็เหนือกว่าฮั่นจุยได้แล้ว”

ในขณะที่จางหยวนและคนอื่นๆกำลังพูดคุยกันด้วยเสียงกระซิบกระซาบ คนสี่คนก็ได้เดินตรงมาหาเฉินเฉียง

“ฮี่ฮี่ฮี่ เฉินเฉียงเอ๋ย ในที่สุดเจ้าก็มา ชายแก่คนนี้ขอต้อนรับเจ้า ข้ามือนามว่าหยางตู๋ เป็นผู้อาวุโสลำดับที่สองของที่นี่”

ผู้นำกลุ่มคนได้แนะนำตัวด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะชี้เข้าไปในทางเข้าเขตแดนที่อยู่ด้านหลังแล้วพูดต่อ “ผู้อาวุโสสูงสุดกำลังรอเจ้าอยู่นานแล้ว ตามข้ามา”

หลังจากพูดจบ คนของฮูยตู๋สองคนได้นำธงตราแห่งฮุยตู๋ออกมา ก่อนที่จะเดินไปที่ประตูหินแล้วปะธงตราลงไป และนั่นทำให้ประตูเขตแดนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับมีแสงสว่างและเกิดเงาอยู่ข้างใน แสดงให้เห็นว่าข้างในนั้นเป็นดินแดนที่สว่างไสวอย่างไม่ต้องสงสัย

“ต้องรบกวนผู้อาวุโสทั้งสี่แล้ว”

เฉินเฉียงและคนอื่นๆในกองกำลังก้มหัวให้แทบจะตั้งฉากกับพื้น ก่อนที่จะเดินตรงเข้าเขตแดนไป

เมื่อเข้าไปแล้ว หยางตู๋ได้นำเฉินเฉียงและคนอื่นเดินไป พลางกล่าวแนะนำเฉินเฉียงออกมา “เฉินเฉียง เจ้าไม่คิดว่าบรรยากาศของที่นี่คุ้นเคยบ้างเลยรึ”

“ฮี่ฮี่ฮี่ สถานที่แห่งนี้เองเรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขตแดนจักรพรรดิเหมือนกัน เพียงแต่มันแยกขาดจากเขตแดนจักรพรรดิมาอีกที จะเรียกว่าอีกทางเข้าหนึ่งก็ว่าได้”

ในขณะที่เฉินเฉียงเดินตามไปนี้เองนั้น เขาก็ได้ใช้พลังจิตของตนตรวจสอบพื้นที่โดยรอบก็พบว่ามันมีรัศมีประมาณแปดสิบกิโลเมตร

นอกจากนี้ เขาเองก็มีความรู้สึกคุ้นเคยดังที่หยางตู๋ว่าไว้ แต่มันก็ยังมีความต่างอยู่บ้าง นั่นก็เพราะภายในสถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยผู้คน จึงทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

เพียงเมื่อเฉินเฉียงรับรู้เรื่องนี้ เขาก็พบคนหลายสิบคนที่ส่งพลังจิตที่ทรงพลังเข้ามาตรวจสอบพวกเขา

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่คลื่นพลังเหล่านี้แค่กวาดผ่านไปเพียงเท่านั้น นี่จึงทำให้จางหยวนและคนอื่นๆแทบจะไม่รู้สึกตัว

หลังจากเดินไปอีกพักใหญ่ หยางตู๋ก็ได้พาทุกคนไปยังตึกหนึ่งที่ตั้งในภูเขา

“เฉินเฉียง เจ้าเพื่อนตัวน้อย ผู้อาวุโสสูงสุดรอเจ้าอยู่ในหอกลาง ตามข้ามา”

หลังจากขึ้นบันไดสีน้ำเงินครามไปแล้ว เฉินเฉียงก็ตกตะลึงในทันทีเมื่อพบว่าหอกลางที่ว่านั้นสามารถป้องกันกระแสจิตของเขาได้จนหมดสิ้น

และนี่ก็เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาอยู่ในเขตแดนลับในเขตแดนจักรพรรดินั่น

เป็นไปได้ว่าหอนี้สร้างไว้เพื่อประชุมการงานที่มีความสำคัญมาก ฮุยตู๋จึงได้ใช้หมอกไอนี้ในการป้องกันพลังจิต

เป็นเพียงมาถึงด้านหน้าทางเข้าแล้ว เขาก็ได้พบว่าหมอกชั้นที่ว่าก็ยังเคลือบลงมาแม้แต่ประตูทางเข้า

“กริ๊ก”

ประตูของหอได้เปิดออก เผยให้เห็นพื้นที่ด้านในที่มีพื้นที่ประมาณร้อยจาง(สามพันห้าร้อยตารางหลา) หรือประมาณสนามบาสเกตบอลสามสนามต่อกัน

ข้างในนั้นมีผู้คนประมาณสี่สิบคนนั่งอยู่กับพื้นทั้งสองฟากฝั่งของหอนี้ พวกเขาทั้งดูแข็งแกร่งและทรงพลัง มีผู้ที่อยู่ตรงกลางหอคนหนึ่ง เขาคือฮูเตี๋ยน เมื่อเขาได้เห็นเฉินเฉียงก็ได้เดินตรงมาหา

“หึหึหึ เฉินเฉียง ในที่สุดเจ้าก็มา”

ผู้อาวุโสฮูเตี๋ยนได้ยิ้มออกมาก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์กรฮุยตู๋ของเรานั้น แต่เดิมแล้วหากใครก็ตามที่ไม่มีธงตรา คนเหล่านั้นไม่อาจจะเข้าหรือออกที่นี่ได้โดยง่ายแบบนี้”

“ธงตราของฮุยตู๋…เหรอ” เมื่อเฉินเฉียงได้ยิน เขาก็ได้นำธงตราออกมาแล้วก้มหัวพร้อมส่งยื่นให้แก่ฮูเตี๋ยน พลางคุกเข่าลงข้างหนึ่งยื่นมอบให้ “ข้า เฉินเฉียง ทายาทแห่งเฉินเทียนเว่ย ขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุดที่ช่วยเหลือพ่อของข้าเอาไว้ให้ได้พบเจอกับข้าได้ในที่สุด”

“ผู้น้อย หยานเสวี่ย ขอขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดที่ช่วยเหลือพ่อบุญธรรมของข้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”

“สมาชิกกองกำลังเทียนเว่ย ขอขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุดที่ช่วยเหลือท่านนายพลเทียนเว่ยเอาไว้ในปีนั้น”

หลังจากที่เฉินเฉียง หยานเสวี่ย จางหยวนและคนอื่นๆพูดความในออกมาแล้วต่างก็ได้คุกเข่าลงหนึ่งข้าง พร้อมท่าทางที่เศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด

“นี่….”

เมื่อเห็นฉากนี้ ฮูเตี๋ยนรีบเข้าไปรับธงตราที่อยู่ในมือของเฉินเฉียงแล้วพูดออกมา “นี่….ธงตราของราชาสวรรค์….เขาอยู่ไหนกัน”

“พี่ใหญ่ ตามกฎของพวกเรานั้นต่อให้เป็นทายาทก็ไม่อาจถือครองธงตรานี้ได้….การที่ธงนี้มาอยู่ที่นี่แต่ไม่เห็นเขา ข้าเกรงว่า….”

เมื่อหยางตู๋พูดมาถึงจุดนี้แล้ว ฮูเตี๋ยนก็ได้จ้องมองไปที่เฉินเฉียงและคนอื่นๆที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอดถอนลมหายใจแล้วพูดออกมา “เฉินเฉียง ย้อนกลับไปในตอนนั้น ตาแก่คนนี้กำลังกลับจากการพบคนผู้หนึ่งที่ตึกจอมพลหลัวหนาน และได้บังเอิญพบเจอราชาสวรรค์ที่โชคร้ายจนใกล้จะตกตาย”

“องค์กรฮุยตู๋ของข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกมาก่อน คิดไม่ถึงว่าหลังจากผ่านไปยี่สิบกว่าปี ราชาสวรรค์จะต้องพบเจอเหตุเดิมอีกครา”

“โชคชะตามักเป็นเช่นนี้ แม้แต่ราชาสวรรค์ก็ไม่อาจหนีพ้นได้”

“อย่างไรก็ตาม ถือว่ายังดีที่เจ้าทั้งสองยังได้พบเจอกัน นี่ก็เรียกได้ว่ามีบุญมากเหลือนัก”

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท