บทที่ 333 ความคิดวิบัติ
หลี่กวงเห็นรายยิ้มพิมใจของเฉินเฉียงในคราบของหยานเสวี่ยแล้วก็รู้สึกราวกับวิญญาณออกจากร่าง ก่อนที่จะรีบพูดเพื่อช่วยหยานเสวี่ยตรงหน้า “พี่สาวหยานเสวี่ยอย่าไปฟังน้องเม่ยซินเลย ต้องเป็นเพราะท่านยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่จนทำให้พักผ่อนไม่พอแล้วเป็นหวัดซะมากกว่า”
“เอาไว้ข้าจะซื้อสมุนไพรดีๆไปให้ท่านเป็นยาดื่มก็แล้วกัน”
“ต้องขอบคุณนะ แต่ไม่เป็นอะไรหรอก หลี่กวง เม่ยซิน ข้าสบายดีไม่ต้องดื่มยาแต่อย่างใด” เฉินเฉียงเพียงต้องการทำเรื่องของตนให้ลุล่วง เมื่อพูดจบก็เร่งเดินต่อไป
เมื่อเห็นแบบนี้ เม่ยซินก็รีบเดินตามมา “พี่หยานเสวี่ย พี่จะไปไหนเหรอ”
“เอ่อ ข้าจะไปหอวิชาน่ะ”
“เยี่ยมไปเลย พี่หยานเสวี่ย พี่หลี่กวงกับข้าก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน ไปกันด้วยกันเถอะนะ”
เมื่อพูดจบ เม่ยซินก็รีบคล้องแขนเฉินเฉียงในทันใด
เมื่อเฉินเฉียงเริ่มรู้สึกตัว เขาก็รู้สึกถึงอะไรหยุ่นๆที่มาแนบอยู่ที่แขนเรียบร้อยแล้ว
เม่ยซินได้ดึงแขนเฉินเฉียงอีกครั้งก่อนจะพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “พี่หยานเสวี่ย พวกเราเองก็อยู่แผนกเดียวกัน จะดีกว่าหากจะมาสนิทกันไว้”
“เอ้อใช่ หลังจากกลับจากห้องสมุดแล้ว พวกเราไปอาบน้ำด้วยกันนะ”
เฉินเฉียงรีบปิดปากก่อนที่จะไอออกมาแก้เก้อ
“พี่หยานเสวี่ย เป็นอะไรไป”
“โอ้ น้องหลี่กวงก็พึ่งพูดไปนี่ว่าข้านั้นอาการไม่ค่อยดี เอาไว้เราค่อยพูดเรื่องอาบน้ำทีหลังดีกว่านะ”
“ก็ได้ เอ้อ พี่สาวหยานเสวี่ย ข้าได้ยินมาว่าพลังจิตของท่านนั้นสูงล้ำอย่างมากเลย ข้าว่าท่านสามารถเข้าไปเป็นศิษย์ภายในหลังจากงานประลองครั้งถัดไปเป็นแน่”
“แต่ข้าก็ได้ยินมาว่าท่านยังขาดความรู้ของตัวยาอยู่นี่นา ถ้าอย่างนั้นท่านก็ควรจะไปหาหนังสืออ่านในหอวิชานะ”
“อืม ข้าเองก็กำลังไปอยู่นี่ไง”
“พี่สาวหยานเสวี่ย ถึงแม้ว่าพลังจิตของข้าจะแค่พอที่จะผ่าน แต่กับเรื่องปรุงยานั้นข้าค่อนข้างมีฝีมือเลย หากไม่เข้าใจสิ่งใดท่านก็สามารถถามข้าได้ในอนาคตนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่กวงนี้ เม่ยซินก็แสดงออกมาอย่างอารมณ์เสีย ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย
“อ้อ พี่หยานเสวี่ย เจ้าตัวน้อยนั่นไปไหนล่ะ มันน่ารักมากจนข้าปล่อยวางความคิดจากมันไม่ได้เลย มันไม่ได้มากับท่านเหรอ”
“อ๋อ ข้าให้ผู้ติดตามของข้าเล่นกับมันอยู่น่ะ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่อาจจะอ่านหนังสือได้”
เฉินเฉียงตอบสนองคำถามของตนทั้งสองอย่างขอไปที
และนี่ทำให้หลี่กวงพูดออกมา
“พี่สาวหยานเสวี่ย ข้าเองก็เห็นว่าผู้ติดตามของท่านคงทำได้เพียงเลี้ยงสัตว์เสียกระมัง เขาก็อายุยี่สิบสามปีแล้วยังทำได้เพียงเท่านั้น ข้าเองมองๆไปก็ไม่เห็นว่ามันจะมีดีอะไร”
“หากว่าเป็นในตระกูลหลี่ของข้า คนที่ดูไม่ได้มีสิ่งใดดีเด่เช่นนี้เลี้ยงไว้ก็เสียข้าวสุก”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินแบบนี้ เขาก็แสดงความไม่พอใจออกมา
เขาได้ดึงมือน้อยๆของเม่ยซินมาไว้ในมือก่อนจะยิ้มให้แล้วพูดต่อ “น้องเม่ยซิน หลี่กวงที่พลังจิตเจ้าย่ำแย่นี่ทำให้เขานอนไม่พอเมื่อคืนใช่รึเปล่า”
“พี่หลี่กวงพักผ่อนไม่พองั้นรึ” เมื่อพูดทวนจบ เม่ยซินก็รีบหันไปหาหลี่กวงในทันที
และนี่ทำให้เธอรีบละแขนจากเฉินเฉียงไปอย่างลนลาน “พี่หลี่กวง พี่เป็นอะไรไปน่ะ”
ที่เฉินเฉียงพูดไปนั้นเป็นเพราะต้องการสะกดจิตหลี่กวง
และหลี่กวงที่น่าสงสารผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ได้ร่วงหล่นไปกองกับพื้นอีกครา
เมื่อเห็นว่าเม่ยซินกังวลจนร้องดังลั่น เฉินเฉียงนั้นกลับรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายหู และเขาก็ได้เดินไปที่หอวิชาตามลำพัง
เมื่อเฉินเฉียงไปถึงหาวิชา เขาก็พบสาวน้อยสองนางเดินตรงมา คนหนึ่งมีใบน่าจิ้มลิ้มน่ารัก ส่วนอีกคนกำลังใช้มือปาดน้ำตาของตนพลางเดินไปด้วย
คนที่หน้าตาจิ้มลิ้มน้ำได้โอบไหล่และพยายามปลอบประโลมเธออยู่
“ศิษย์น้องเจิ้ง เจ้าเพียงแค่บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการข้อมูลใดแล้วให้ศิษย์พี่คนไหนมาที่นี่ก็ได้นี่นา ไม่เห็นต้องมาด้วยตัวเองเลย”
“ในหมู่ศิษย์นอกของพวกเรานั้นใครๆก็รู้ว่าไอ้ระยำหลิวฉางเชิงนั้นเป็นคนเช่นไร ลุงของมันเป็นถึงผู้อาวุโสในผู้คุมแผนกนอกมานานแล้ว”
“ไม่เพียงมันจะกระโชกเงินได้อย่างหน้าด้านๆแล้ว มันยังล่วงเกินศิษย์ผู้หญิงทุกคนที่มันพบเห็น”
“การที่เจ้ามาที่นี่ย่อมเป็นโอกาสให้มันได้ มันทำตัวราวกับห้องสมุดเป็นห้องนอนของมันเลยด้วยซ้ำ”
หญิงสาวที่ปาดน้ำตาก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงที่โกรธเคือง “ทำไมสำนักเต๋าของเราถึงไม่จัดการไอ้ชาติชั่วเช่นนั้นซะล่ะ”
“ใครจะกล้าสนกันล่ะ นอกจากผอ.แล้ว ลุงของหลิวฉางเชิงมันเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสำนักนี่นา แล้วใครจะกล้าหาเรื่องกลับมันกัน”
เมื่อพูดจบ หญิงสาวที่พึ่งจะพูดก็ได้เห็นเฉินเฉียงกำลังตรงไปก็รีบกล่าวเตือนออกมาอย่างหวังดี “ศิษย์น้อง เจ้าคงเป็นศิษย์ใหม่สินะ หากเจ้าต้องการข้อมูลใดจะดีกว่าหากเจ้าให้ศิษย์พี่ชายในแผนกเป็นคนมาหาพวกมันให้ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องเสียหายหลายอย่างเป็นแน่”
เฉินเฉียงยิ้มให้ทั้งสองนางก่อนจะเดินต่อไป
“ช่างมันเถอะน่า ศิษย์น้อง ในเมื่อนางไม่สนใจความหวังดีของเรา ก็ให้นางเผชิญหน้ากับมันด้วยตัวเองแล้วกัน”
-ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นโลกของเขาหรือโลกปีศาจ คนเช่นนี้ก็มีอยู่ทุกที่แหะ-
เมื่อเฉินเฉียงคิดแบบนี้ก็ได้ส่ายหัวไปมาในทันทีก่อนที่จะรีบเข้าไปในหอวิชา
ในหอวิชานี้มีที่เก็บอยู่สี่แถว ที่ทางเข้านั้นมีที่ลงชื่อในกรณีที่ต้องการยืมหนังสือและค่ายืมอยู่
หลังจากมองไปโดยรอบแล้ว เฉินเฉียงก็เดินเข้าไป
“หยุดเดี๋ยวนี้”
ในทันทีที่เฉินเฉียงเดินเข้าไป เขาก็ต้องหยุดลงด้วยเสียงไม่พึงประสงค์
เมื่อเขาหันไปดูก็เห็นชายแก่อายุประมาณสี่สิบปีที่มีสายตาหรี่เล็ก พร้อมมุมปากที่แสยะยิ้มอยู่ตลอดเวลา
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนคนนี้คือหลิวฉางเชิงผู้ที่สองสาวก่อนหน้านี้กล่าวถึง
“บรรณารักษ์หลี่ใช่หรือไม่ ศิษย์หยานเสวี่ยแผนกปรุงยามาที่นี่เพื่อยืมข้อมูล”
“โอ้ หยานเสวี่ย เด็กใหม่รึ”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับพลางมองอย่างสงบ
หลิวฉางเชิงได้เดินตรงมาที่เขาก่อนที่จะชี้ไปที่หนังสือตรงหน้าแล้วพูดออกมา “เห็นไหมว่านี่คืออะไร ข้อมูลที่เจ้าต้องการนั้นจะต้องเขียนไว้ในนี้ด้วย ข้อมูลแต่ละเล่มมีค่าธรรมเนียมการยืมห้าเหรียญน้ำเงินต่อวัน เข้าใจรึเปล่า”
เฉินเฉียงแสดงท่าทางออกมาอย่างประหลาดใจ ก่อนจะชี้ไปที่ป้ายหน้าประตูแล้วถามออกมา “ไม่ถูกต้อง บรรณารักษ์หลิว ป้ายที่หน้าประตูเขียนว่าข้อมูลหนึ่งอย่างมีค่าธรรมเนียมหนึ่งเหรียญน้ำเงินต่อวันนี่”
“โอ้ เช่นนั่นรึ มันไม่มีทางไม่ใช่หรอก”
เมื่อพูดจบ หลิวฉางเชิงได้หยิบพู่กันแล้วเดินที่ด้านหน้าประตู แล้วเขาก็เปลี่ยนราคาที่ติดเอาไว้ก่อนที่จะเดินกลับมาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เจ้าลองไปดูใหม่ได้แล้ว”
เฉินเฉียงที่เห็นก็ถึงกับพูดไม่ออก
คนคนนี้เลวสายเกินการแล้ว
และมีทางเดียวที่จะสยบคนพาลได้ก็ต้องพาลให้ได้กว่าพวกมัน
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงก็ได้หยิบพู่กันมาเขียนข้อมูลที่เขาต้องการลงไป
หลิวฉางเชิงได้หยิบมันขึ้นมาดูก็ถึงกับยกคิ้วขึ้นมา
“ฮี่ฮี่ฮี่ สาวน้อย ดูเหมือนเจ้าจะต้องการข้อมูลที่ค่อนข้างกว้างเลยนะ เอาล่ะ ตำราแต่ละชั้นนั้นล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้าไปหาของเจ้าเองแล้วมาจ่ายค่าธรรมเนียมกับข้าที่นี่”