บทที่ 291 อ้อมกอดคุณป้า
บทที่ 291 อ้อมกอดคุณป้า
หลังจากเทียบท่าฉู่เหินก็เรียกเสี่ยวชิงให้มาหาและบอกเธอว่าคนเหล่านี้มาจากต่างโลก! มันเป็นเหตุผลที่ไร้สาระมากแม้แต่เสี่ยวชิงเองก็ยังไม่เชื่อ แต่หลังจากเห็นชุดของพวกเขาถึงไม่เชื่อก็ทำอะไรไม่ได้
โชคดีที่เสี่ยวชิงเป็นคนมีเหตุผล หลังจากซึมเล็กน้อยในตอนแรกรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเธอ แต่เสี่ยงชิงพูดกับฉู่เหินค่อนข้างน้อยมันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ
แต่เขาเลือกที่จะเงียบและไม่พูดอะไรออกมา สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหมดหนทางก็คือเสี่ยวฟู๋ไม่ชอบเจียฉิวฉิว ทันทีที่ทั้งสองพบกัน พวกเธอก็จ้องหน้ากันอย่างไม่พอใจ ทำให้ฉู่เหินรู้สึกว่าในอนาคตต้องลำบากแน่ๆ
แต่เสี่ยวชิงกับเสี่ยวฟู๋นั้นเป็นมิตรกับคนแคระมาก ชั่วครู่หนึ่งคนแคระทั้ง 6 คนไม่รู้จะพูดอะไร เมื่อพวกเขาจะพูดพวกเขาก็รู้สึกเหมือนต้องอยู่ข้างเจียฉิวฉิว ในฐานะลูกสมุน แต่พอมองเจียฉิวฉิวแล้วเธอไม่ได้ว่าอะไรพวกเขาก็โล่งใจ
ในใจของเสี่ยวชิงและเสี่ยวฟู๋นั้นไม่ได้มองเหล่าคนแคระเป็นทาสแต่อย่างใด กลับกันเมื่อพวกเธอเห็นคนแคระทั้งหกในใจของพวกเธอก็เศร้าเสียใจอย่างอดไม่ได้ ในสายตาของพวกเธอคนแคระเหล่านี้คงถูกใช้งานเยี่ยง เป็นชนชั้นที่สาม พวกเธอคิดว่าพวเขาเป็นเด็กๆ ที่โดนใช้แรงงานทำให้พวกเขาเป็นกังวลใจ
“ตายแล้ว เด็กคนนี้น่ารักมากเลย ไม่เป็นไรใช่ไหม? น้าจะกอดเธอได้ยังไงถ้าเธอขยับไม่ได้?” เสี่ยวชิงย่อตัวลงพร้อมรอยยิ้มและลูบที่หัวเด็กคนแคระเบา ๆ
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ฉู่เหินก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองไปยังคนแคระ พวกเขาเป็นเพราะคนแคระอายุยืนยาวกว่ามนุษย์ อันที่จริงที่ดูเหมือนเด็กนั้นอาจอายุมากกว่า 24 ปีแล้วก็ได้ ที่สำคัญที่สุดคือพลังฝึกตนของพวกคนแคระเป็นขั้นปรมาจารย์ดารา หรือ เทียบเท่ากับ ผู้พิชิตดาราของโลกนั้นเอง
“ใช่ สาวน้อยคนนี้น่ารักมากเลย มาให้ป้ากอดหน่อยมา” ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋พูดอย่างดีใจและเดินไปหาเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ก่อนลูบผมของเธอ
“พวกเธออายุเท่าไหร่หา? ไม่อายเหรอที่เรียกตัวเองว่าป้า พวกเขาอายุน้อยสุดในนี้ก็ 24 ได้มั้ง” เจียฉิวฉิวไม่สนใจและพูดออกมา เสี่ยวชิงที่กำลังจะกอดอีกฝ่ายชะงักไปเมื่อเธอได้ยินเรื่องนี้ ถ้าเป็นอย่างที่เธอพูดจริง ๆ งั้นมันก็คงน่าอายเกินไปที่จะอุ้มพวกเขา
ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋มองฉู่เหินอย่างไม่เชื่อสายตา หลังจากเห็นฉู่เหินพยักหน้า เธอก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ จากนั้นใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปเธอคิดว่ามันอาจเป็นความแตกต่างทางพันธุกรรม เด็กคนนี้เลยดูตัวเล็กกว่าพ่อแม่ของพวกเขาซะอีก
“พวกเธอไม่ต้องใจดีเปี่ยมไปด้วยความรักหรอก เหตุผลที่พวกเขาตัวเล็กไม่ใช่เพราะเป็นโรคอะไร แต่พวกเขาเป็นเผ่าคนแคระ บางทีโลกนี้อาจเคยมีเผ่าคนแคระมาก่อนแต่ตอนนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว” หลังจากทั้งสองสาวได้ยินคำพูดของฉู่เหิน แววตาของพวกเธอก็เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่ใช่ว่าพวกเธอไม่เชื่อ แต่มันไม่น่าเชื่อจริง ๆ
“คุณยายคนสวยทั้งสอง ที่นายน้อยพูดเป็นความจริง เราเป็นคนแคระจริง ๆ ฉันหวังว่าคุณยายจะไม่ไล่พวกเราไปนะ” ปาเค่อเรียกเสี่ยวชิงกับเสี่ยวฟู๋ว่าคุณยาย ทำให้ใบหน้าของพวกเธอเป็นแดงก่ำด้วยความเขินอายเสี่ยวชิงคิดในใจหลังจากที่ถูกเรียกว่ายาย ยายอะไรกัน ฉันพึ่ง 22 เองนะ!
ฉู่เหินได้แต่ตบหน้าผากเบา ๆ เขารู้สึกถึงฝันร้ายหลังจากนี้ พอกลับมาบ้านเขาก็อธิบายรายละเอียดกับทุกคน แม้ว่าจะมีข้อสงสัยมากมายในใจของทุกคน แต่พวกเขาก็ยังเชื่อคำพูดของฉู่เหิน
คนแคระ 6 คนเลือกห้องของตัวเองบนชั้นสอง เจียฉิวฉิวถูกจัดให้นอนที่ชั้นสามทำให้ทุกคนใจเสีย ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ไม่สมดุลไม่พอใรีบย้ายข้าวของไปที่ชั้นสามบ้าง หลังจากเห็นฉากนี้ทุกคนก็ไม่พูดอะไรออกไป
(*ชั้นสามเป็นชั้นของฉู่เหิน)
ตอนดึกดื่น ฉู่เหินมาที่ระเบียงชั้นบนสุด หลังจากกลับมาคราวนี้เขาพบว่าการฝึกตนของเขาค่อนข้างผันผวน ในตอนแรกเขาอยู่ขั้นเต๋าก่อนไปแต่พอกลับมาเขาอยู่ในขั้นเต๋าระดับปลายแล้ว การที่ได้ไปต่างโลกอาจทำให้ขั้นพลังผันผวนอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเขามาถึงระเบียงเขาก็เตรียมฝึกวิชา จริง ๆ แล้ววิชาพลังแสงดาราในปัจจุบันไม่ได้ช่วยอะไรเขามากนัก แต่เขาคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้มานานแล้ว เขาถ้าไม่ได้ทำเขาคงรู้สึกอึดอัดใจ
แต่หลังจากที่เขามาถึงระเบียงเขาก็พบว่าเสี่ยวชิงกำลังรอเขาอยู่พร้อม โต๊ะน้ำชาขนาดเล็ก หม้อชาและอาหารว่าง 2-3 อย่างบนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่านี่คือชุดน้ำชาที่เตรียมไว้โดยเสี่ยวซิง
“คุณผู้หญิงไม่นอนเหรอ หรือว่ามาฝึกตนตอนกลางคืน ไม่สิมาที่นี่เพื่อคุยกับฉันสินะ?” สำหรับฉู่เหินเป็นครั้งแรกที่เสี่ยวชิงเตรียมชาให้เขา เขายกถ้วยชาขึ้นมาแล้วจิบเบา ๆ กลิ่นชานั้นหอมและค้างอยู่ในคอไม่มีที่สิ้นสุด!
“พี่เหิน ฉันอยู่บ้านทุกวัน มันรู้สึกเบื่ออยากหาอะไรทำนะ” หลังจากพูดออกมาเสี่ยวชิงก็กลัวฉู่เหินไม่เต็มใจที่จะรับฟัง
“เปิดร้านขายเสื้อผ้าเครื่องประดับหรูหราไหม?” ฉู่เหินวางถ้วยชาลงบนโต๊ะพร้อมรอยยิ้ม
“ฉันมีความคิดที่แปลกใหม่เกี่ยวกับการออกแบบเสื้อผ้าและมีเสื้อผ้าพิเศษมากมายนะ ถ้าทำฉันเชื่อว่ามันน่าจะดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ดีเลยละและเจียฉิวฉิวเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบเสื้อผ้าด้วยนะ” ทีแรกเสี่ยวชิงรู้สึกอยากลอง แต่หลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายเธอหมดความสนใจในทันที
ฉู่เหินคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ เสี่ยวชิงเป็นคนที่ภูมิใจในตัวเองมาก เธอจะพึ่งพาเจียฉิวฉิวได้ยังไงในการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง หลังจากเข้าใจบางอย่างเขาก็รู้ว่าเขาพูดอะไรผิดไปเลยรีบแก้ตัวทันที
“ถ้าเธอไม่สนใจร้านขายเสื้อผ้า เธอเปิดโรงกลั่นเหล้าองุ่นได้นะ คนแคระพวกนั้นเก่งเรื่องการผลิตไวน์มาก ถ้าได้เผยแพร่ออกไปฉันเชื่อว่ามันจะต้องขายดีมากแน่ ๆ!” ฉู่เหินคิดไม่ออกจึงพูดถึงความสามารถของคนแคระขึ้นมา
ตอนแรกฉู่เหิน เขาตั้งใจจะให้เสี่ยวชิงทำธุรกิจเสื้อผ้า เรื่องไวน์เขาไม่ได้คิดไว้เลย ยังไงไวน์ที่กลั่นด้วยตัวเองก็ย่อมดีอยู่แล้ว ดังนั้นจะขายทำไมยิ่งกว่านั้นเขาไม่ได้ขาดเงิน แต่พอเห็นท่าทางของเสี่ยวชิงเขาก็เปลี่ยนความตั้งใจเพราะขอแค่เธอคนนี้มีความสุขก็พอ สูตรลับอะไรไม่จำเป็น!
“พี่เหิน พี่ไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม?” เสี่ยวชิงกระตือรือร้นมากเมื่อได้ยินคำ ของฉู่เหิน โรงกลั่นเหล้าองุ่นนี้ถ้าดีตามที่ฉู่เหินบอกมันต้องขายดีอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นการทำงานกับคนแคระเหล่านี้ดีกว่าการทำงานกับเจียฉิวฉิวตั้งเยอะ เสี่ยวชิงรู้แล้วว่าคนแคระเหล่านี้แค่ตัวเล็กเท่านั้น ทักษะของพวกเขาเป็นของจริง ถ้ามีพวกเขาไม่ต้องกลัวเลยว่าจะไปไม่รอด
“จะล้อเล่นทำไมเล่า เด็กโง่” ฉู่เหินค่อย ๆ โอบเสี่ยวชิงไว้ในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนโยนและลูบผมของอีกฝ่าย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกแปลก ๆ เมื่อนึกถึงฉากของการถอนพิษในเทือกเขาเทียนซาน
ในเวลานั้นเขาจะควบคุมสติไม่ได้และจำไม่ได้หลายอย่าง แม้ความทรงจำจะคลุมเครือแต่เขารู้สึกได้ว่าบุคคลนั้นต้องเป็นเฉินเจียนแน่ ๆ แม้ความรู้สึกจะไม่ชัดเจน แต่เขามั่นใจ ฉู่เหินเชื่อว่านี่จิตวิญญาณของเขาไม่โกหก!
พอคิดถึงเฉินเจียนเขาก็รู้สึกผิดต่อทั้งเฉินเจียนและเสี่ยงชิง
เสี่ยวชิงนิ่งเงียบ ๆ ในอ้อมแขนของฉู่เหิน หลายวันที่ผ่านมาเธอรู้สึกบางอย่างแม้เธอจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เธอรู้สึกไม่สบายใจมากจริง ๆ