ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 66 หนานหว่านเยียน เจ้าอย่ามาหาเรื่องข้า
ทันใดนั้นกู้โม่หานก็ได้สติกลับคืนมาแล้วระงับความคิดลง
เมื่อได้ยินดังนั้นมุมปากของเขาก็เผยอยิ้มขึ้นด้วยความเยือกเย็น ดวงตาดุจดั่งน้ำแข็งเต็มไปด้วยความอาฆาต
“หนานหว่านเยียน เช่นนั้นหมายความว่าเจ้าสูญเสียความบริสุทธิ์ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน? ช่างต่ำช้าสิ้นดี!”
บรรยากาศรอบข้างผู้ชายรู้สึกเย็นวาบ เขาเอ่ยต่อไปอย่างช้าๆ ว่า “แต่ข้าช่างมิเข้าใจเอาเสียจริง เจ้าพยายามทุกหนทางที่จะปีนขึ้นมาบนเตียงข้าให้ได้ ทั้งยังเอ่ยนักเอ่ยหนาว่ารักข้า ท้ายที่สุดแล้วเจ้ากลับมิอาจทนต่อความเหงาได้ แล้วเกลือกกลิ้งไปบนเตียงกับชายอื่น สตรีที่เต็มไปด้วยความกลับกลอกเช่นเจ้า มีสิ่งใดอีกทีข้าจะเชื่อถือเจ้าได้?”
แต่ละคำที่กู้โม่หานกล่าวออกมานั้นไร้ซึ่งความปรานี ท่าทีของเขาดูโมโห เขามิอาจแยกแยะคำที่กล่าวออกมาได้เลย ในใจเขาตอนนี้ มิรู้ว่าโกรธเกลียด อาฆาตแค้น หรือไม่พึงพอใจบ้าง
ความรู้สึกและอารมณ์ที่ซับซ้อนเหล่านี้พัวพันอยู่ในจิตใจของผู้ชาย สร้างความโมโหท่วมท้นทำให้เขารู้สึกหดหู่
หนานหว่านเยียนก็ทำตัวมิถูกเช่นกัน นางรู้ดีว่าเจ้าของร่างเดิมมิใช่คนที่ใจง่าย ลูกทั้งสองคงเป็นลูกของกู้โม่หานแน่ เพราะถึงอย่างไรตอนที่นางข้ามภพมาครั้งแรกก็ได้มีความสัมพันธ์กับเขาแล้ว……
แต่เจ้าของร่างเดิมมอบครั้งแรกให้กับใคร นางเองก็มิรู้
เจ้าของร่างเดิมมิมีความทรงจำใดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย
หนานหว่านเยียนรู้สึกหงุดหงิดใจ นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เจ้ามิต้องมาสนใจว่ามีสิ่งใดที่เจ้าเชื่อถือข้าได้อีก เพราะอย่างไรเจ้าก็มิเชื่อข้าอยู่ดี อีกอย่าง หลังจากนี้ครึ่งปีพวกเราก็จะหย่าร้างกัน ทางที่ดีท่านอ๋องควรจะจำข้อตกลงนี้เอาไว้”
ใบหน้าของกู้โม่หานเยือกเย็นลง “แน่นอนว่าข้าจำมันได้ดี!”
หนานหว่านเยียนเอ่ยเตือนว่า “จำได้ก็ดีแล้ว เช่นนั้นท่านอ๋องอยากไปที่ใดก็จงไปเถิด อย่ามายั่วยุโมโหพวกเราแม่ลูก มิเช่นนั้นท่านจะได้มากกว่าเสีย”
กู้โม่หานยิ้มอย่างเย็นชาแล้วประชดประชันมองไปทางหนานหว่านเยียนว่า “ข้ายั่วยุเจ้างั้นหรือ เหอะๆ ตลกสิ้นดี หนานหว่านเยียน เจ้านั่นแหละอย่ามายั่วยุข้า มิเช่นนั้น อย่าหาว่าข้ามิไว้หน้าเจ้า!”
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบก็ดังขึ้นมาจากประตู หนานหว่านเยียนปล่อยกู้โม่หานแล้วจัดการเสื้อผ้าของตน กลับไปนั่งตรงที่เดิม
ในมิช้าก็ได้ยินเสียงของเกี๊ยวน้อยดังขึ้นว่า “ท่านแม่กินข้าวกันเถิด เจ้าคน……ท่านลุงก็มากินข้าวด้วยกันเถิด”
กู้โม่หานเก็บแววตาอันเยือกเย็นของตนลงแล้วนั่งลงข้างกายหนานหว่านเยียน
สองพี่น้องเดินถือกล่องอาหาร วิ่งเข้ามาด้วยความเหนื่อยหอบ
ตอนที่เข้ามานั้น ซาลาเปามิลืมที่จะเหลือบมองดูกู้โม่หาน
เหอะๆ เขามิเหมาะที่จะเป็นพ่อของนางจริงๆ ด้วย เมื่อพิจารณาดูแล้วเขาช่างธรรมดา ก่อนหน้านี้นางคงตาบอดไป นับจากนี้นางจะมิโง่เง่าดังเดิมอีก
เกี๊ยวน้อยวางจานอาหารลงบนโต๊ะด้วยความรวดเร็ว แล้วเอื้อมมือไปหยิบของในมือของซาลาเปามาจัดเรียงให้เรียบร้อย จากนั้นก็ยื่นตะเกียบคู่หนึ่งให้แก่กู้โม่หาน แววตานั้นดูจริงใจและน่ารัก “ท่านลุง ใช้นี่เถิด”
การที่นางยิ้มเช่นนั้น หนานหว่านเยียนถึงกับต้องหรี่ตาลง
ทุกครั้งที่เกี๊ยวน้อยยิ้มเช่นนี้ มักมิมีเรื่องดีเกิดขึ้น
เมื่อกู้โม่หานได้ยินดังนั้นหัวใจของเขาก็แทบละลาย เจ้าเด็กน้อยตรงหน้าต่างไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เกี๊ยวน้อยในบัดนี้ยิ้มหวานชื่นใจ ดวงตากลมโตคู่นั้นทำให้เขาชื่นชอบเป็นที่สุด
“อืม” เขารับตะเกียบไป จากนั้นซาลาเปาก็หยิบชามมาคีบหมูน้ำแดงใส่ลงไปในถ้วยของกู้โม่หานชิ้นหนึ่งด้วยความกระตือรือร้น “ท่านลุงกินนี่สิ ท่านพี่กับข้าชื่นชอบหมูตุ๋นน้ำแดงเป็นที่สุด ในวันนี้ท่านลุงมาเป็นแขกของเรา ท่านลุงต้องกินก่อน”
เกราะป้องกันของกู้โม่หานสิ้นสุดลงทันใด แม่นางตัวน้อยทั้งสองนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน ทั้งมีน้ำใจและรู้จักกาลเทศะ แตกต่างจากมารดาของพวกนาง!
อีกอย่าง รสชาติที่แม่หนูทั้งสองชอบกินก็เช่นเดียวกันกับรสชาติอาหารที่เขาชื่นชอบ
เขาเริ่มสงสัยเสียด้วยซ้ำว่าสองพี่น้องนี้ถูกเลี้ยงมาจนโตโดยหนานหว่านเยียนจริงหรือเปล่า?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็คีบอาหารใส่เข้าไปในปากเพื่อลิ้มรส
ต่อจากนั้น หนานหว่านเยียนก็พบว่าสีหน้าของกู้โม่หานเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันดูขมขื่นและลำบากใจ
ใช่แล้ว ในปากของชายผู้นี้เต็มไปด้วยเครื่องปรุงรสแปลกประหลาดที่กลืนยากชวนให้อาเจียน
เขาเบิกตากว้างด้วยความสะอิดสะเอียน แล้วขยิบตาให้แก่หนานหว่านเยียน
นี่มันอะไรกัน หนานหว่านเยียนให้ลูกกินอาหารเช่นนี้เป็นประจำหรือ?
หนานหว่านเยียนเห็นท่าทีของเขาที่ดูผิดปกติไปก็อดมิได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน แต่ต่อมานางก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว หนูน้อยทั้งสองเตรียมตัวมาแล้วนี่เอง อาหารมื้อนี้ที่นำมาเลี้ยงกู้โม่หานเป็นหลุมพราง!
เกี๊ยวน้อยเห็นดังนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างสดใสซื่อสัตย์ “ท่านลุง อร่อยหรือไม่ ข้าและซาลาเปาอยากจะต้อนรับท่านเป็นอย่างดี จึงได้ลงมือทำอาหารด้วยตนเองมาให้ท่านลุงได้ชิม”
มุมปากของกู้โม่หานกระตุกเล็กน้อย
เขาอยากจะอาเจียนออกมา แต่เมื่อได้ยินแม่หนูน้อยบอกว่าพวกนางเป็นคนทำเองกับมือ เขาก็รู้สึกใจอ่อนแล้วพยายามระงับอาการสะอิดสะเอียนกลืนมันลงไปด้วยความลำบาก เขาหันมายิ้มให้กับเกี๊ยวน้ำด้วยความขมขื่นว่า “อร่อยยิ่งนัก เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าเจ้ายังเด็กอยู่ ต่อจากนี้อย่าได้เข้าครัวทำอาหารเลย เรื่องเหล่านี้สั่งให้บ่าวรับใช้ทำก็พอ”
เมื่อซาลาเปาเห็นสีหน้าของกู้โม่หานดูมิดีนัก นางกำนิ้วของตัวเองไว้แน่นท่าทางดูเสียใจมาก น้ำตาไหลลงสู่พื้น “ท่านลุงรังเกียจและมิชอบอาหารที่ข้ากับท่านพี่ทำหรือ มันมิอร่อยหรือจึงทำให้ท่านดูมิมีความสุขเลย?”
กู้โม่หานตกตะลึง เขาทนมิได้ที่จะเห็นซาลาเปาร้องไห้ ดังนั้นจึงพยายามฝืนตนเองกินเข้าไปแล้วพูดว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ข้าเพียงรู้สึกว่าการทำอาหารนั้นอันตราย หากพวกเจ้าเกิดมิระวังถูกมีดบาดเข้า แม่ของพวกเจ้าคงจะเป็นห่วง”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ขมวดคิ้วจ้องมองไปทางหนานหว่านเยียน ราวกับกำลังตำหนินาง
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วขึ้น หลีกเลี่ยงสายตาที่มองมาของผู้ชาย
ลูกของนางแก้แค้นให้นางแล้ว มิว่าอย่างไรนางก็ต้องร่วมมือแสดงด้วย จะทำให้งานพังได้อย่างไร?
เกี๊ยวน้อยได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจ นางพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะทำหมูตุ๋นน้ำแดงอันสุดพิเศษมาให้กู้โม่หานชิม แน่นอนว่าต้องอร่อย
นางไปร้องขอเซียงอวี้ จึงได้ปาโต้วมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นร่วมกับซาลาเปาบดมันให้เป็นผง ผสมผสานกันกับเครื่องปรุงที่มารดาของพวกนางใส่ไว้ในขวดโหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกสีแดง ซาลาเปาใส่มันลงไปถึงห้าหกช้อน
พวกนางผสมผสานสิ่งเหล่านี้เข้าไปในหมูตุ๋นน้ำแดง แม้ว่าจะมองมิออกและมีกลิ่นมิมากนัก แต่นับว่าเป็นยาที่ทรงพลังทีเดียว
กู้โม่หานกล้าดีอย่างไรมารังแกแม่ของพวกนาง! พวกนางจะยอมให้กู้โม่หานกินอยู่อย่างสบายใจได้อย่างไร!
“ในเมื่อท่านลุงชอบกินก็กินเยอะๆ เถิด ท่านแม่เคยสอนว่าอย่าสิ้นเปลืองอาหารกินทิ้งขว้าง อาหารเหล่านี้กว่าจะได้มามิใช่เรื่องง่ายเลย ท่านลุงคงจะกินหมดใช่หรือไม่?” เกี๊ยวน้อยกะพริบตามองไปทางกู้โม่หานอย่างคาดหวัง
หนานหว่านเยียนพูดเสริมประโยคของเกี๊ยวน้อยด้วยท่าทีจริงจังว่า “เด็กๆ กล่าวได้ถูกแล้ว อย่ากินอาหารทิ้งขว้าง อีกอย่างเจ้าเป็นผู้ใหญ่ควรจะทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีต่อหน้าเด็กๆ มิเช่นนั้นหากเด็กน้อยทั้งสองเรียนรู้สิ่งมิดีจากเจ้า ข้าจะไปเอาเรื่องเจ้าแน่”
บัดนี้กู้โม่หานจะมองมิออกได้อย่างไรว่าแม่นางน้อยทั้งสองคนนี้มิได้ลงมือทำหมูตุ๋นน้ำแดงด้วยตนเอง
พวกนางใส่ส่วนผสมมากมายลงไปข้างในหมูตุ๋นน้ำแดง ทำให้ยากที่จะกลืน รสชาติแสนย่ำแย่ ช่างกล้าหาญกันเหลือเกิน!
แต่มิว่าอย่างไรเขาก็มิอาจโกรธได้ เขาพยายามระงับอาการอยากอาเจียนเอาไว้แล้วมองไปยังสองพี่น้องที่ทำหน้าไร้เดียงสาก่อนจะกล่าวว่า “ในอนาคต ทักษะการทำอาหารของพวกเจ้าคงจะยอดเยี่ยมมากเป็นแน่”
สีหน้าของซาลาเปาดูดีอกดีใจ นางตักข้าวใส่ชามให้กู้โม่หานแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณท่านลุงที่เอ่ยชม ข้ากับท่านพี่จะทำอาหารมาต้อนรับท่านลุงให้มากกว่านี้ ท่านลุงจงมาเที่ยวบ่อยๆ นะ”
กู้โม่หานตกตะลึง เขารู้สึกเสียใจในสิ่งที่เพิ่งเอ่ยไปเมื่อสักครู่ จึงได้รีบหุบปากลงทันใด
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องของสามแม่ลูก เขาได้กินหมูตุ๋นน้ำแดงชามใหญ่ลงไปด้วยความขมขื่น
บัดนี้ในกระเพาะอาหารของผู้ชายรู้สึกร้อนดั่งไฟ ใบหน้าแดงเรื่อ เขาอยากจะอาเจียนออกมาหลายครั้งแต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้
มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เป็นเช่นไร เขาคงมิอยากจะสัมผัสมันอีกเป็นครั้งที่สอง!