ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 464 ยั่วยุเขา
กัวซื่อเฉิงและเจิ้งซือเย่มองไปยังกู้โม่หานเป็นครั้งคราว ทั้งคู่ดูเป็นกังวล
แต่กู้โม่หานกลับยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ดวงตาเรียวคู่งามของเขาเย็นชาไร้ความรู้สึก ทำให้คนคาดเดาได้ยาก
หลังจากธูปได้หมดไปหนึ่งดอก ท่านอ๋องเจ็ดก็ถูกคนในวังพาเข้ามายังท้องพระโรง
“ลูก ทวายบังคมเสด็จพ่อ”
กู้จิ่งซานมองไปยังกู้โม่หลิงและพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่ต้องพิธีรีตองไป เฟิ่งจงฉวนคงบอกเจ้าแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในศาลระหว่างทางมานี้ ข้าเห็นเจ้าว่างๆวันๆอยู่แต่ในจวนไม่ยอมออกมา ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่า เจ้ามีผู้ที่เหมาะสมที่จะมาดำรงตำแหน่งว่างหรือไม่”
กู้โม่หลิงทำดูไม่รู้เรื่อง “เสด็จพ่อ ลูกอ่านแต่ตำราปัญญาชนอย่างสุดหัวใจ และไม่รู้อะไรอีกมาก กลัวว่าถ้าตอบออกมาไม่ดีจะทำให้เสด็จพ่อขุ่นเคืองพระทัย”
กู้จิ่งซานพอใจกับทัศนคติของเขามากและเอ่ย “เจ้าพูดออกมาเถิด ข้าจะไม่ว่าอะไรเจ้า ”
กู้โม่หลิงขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นลูกก็ขอพระราชอานุญาติพูดออกมา”
มีตำแหน่งว่างของเจ้าหน้าที่ศาล 5 ตำแหน่ง และกู้โม่หลิงได้แนะนำคนมากกว่าสิบคน มีทั้งคนของกู้โม่หานและอ๋องเฉิง และขุนนางธรรมดาๆ บางคน พูดสั้นๆ ก็คือ เขาเอาคนจากทุกแห่งพูดออกมาหมด
ข้าราชบริพารทุกคนที่ฟังแล้วต่างก็พยักหน้า ฮ่องเต้ยิ่งฟังก็ยิ่งพอใจมากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตามกู้โม่หานจ้องไปที่ท่านอ๋องเจ็ดผู้มากฝีปาก ดวงตาของเขากลับเย็นชาลง
กู้โม่หลิงเป็นอ๋องเจ็ดที่เกียจคร้าน แต่เขาสามารถรู้สถานการณ์ของศาลทั้งหมดและสถานการณ์ของขุนนางได้เป็นอย่างดี
หากจะกล่าวว่า กู้โม่หลิงไม่มีความคิดใด ๆ จะเป็นไปหรือ?
ในที่สุด หลังจากที่ท่านอ๋องเจ็ดแนะนำจนเสร็จแล้ว เขาก็ทำความเคารพจฮ่องเต้ทันที
“เสด็จพ่อ คนที่ลูกรู้จักก็มีเพียงเท่านี้ และพวกเขาล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ได้รู้จักผ่านการประชุมบทกวีเกี่ยวกับเหล้าชา แต่นี่เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของลูก การแต่งตั้งใครก็ตามต้องเป็นไปตามราชบัญชาของเสด็จพ่อ”
กู้จิ่งซานหัวเราะพลางเอ่ย “พูดได้ดีมาก และยังคลายความกังวลของข้าได้”
ในใจเขาพอจะรู้เรื่องตำแหน่งราชการที่ว่างนี้ไว้อยู่แล้ว คำถามทั้งหมดในวันนี้เป็นเพียงการหลอกล่อตอนนี้เขากำลังถามกู้โม่หลิงและก็มั่นใจว่ากู้โม่หลิงไม่มีความตั้งใจที่จะยึดอำนาจจากเขา
จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะมีเพียงลูกคนนี้ที่สามารถควบคุมไว้ในกำมือได้
ในอดีตกู้โม่หลิงถูกขอให้ทำราชกิจของจักรวรรดิเขาก็ไปทำ และตอนนี้เขาถูกขอให้แบ่งปันความกังวลเขาก็พูดแบบนั้นเพื่อคลายความกังวลเช่นกัน
คนที่ต้องถูกกระตุ้นเพื่อเคลื่อนไหว ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อเขา
สายตาของฮ่องเต้กวาดตามองขุนนางทั้งหมด
“สิ่งที่ท่านอ๋องเจ็ดพูดก็มีเหตุผล และสิ่งที่อ้ายชิงพูดก็เป็นความจริงเช่นกัน ให้ สวี่อ้ายชิงรับผิดชอบฮู่ปู้ ตำแหน่งงานว่างที่เหลือจะเป็นของ เจิ้งอ้ายชิงหวังอ้ายชิง เฉินอ้ายชิงและหลี่อ้ายชิง”
“เจ้าหก เรื่องนี้ฝากเจ้าไปจัดการด้วย ”
ในบรรดาเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งย้ายมาใหม่ห้าคน มีสองคนมาจากกู้โม่หาน คนหนึ่งมาจากโรงเรียนระดับกลาง และอีกสองคนมาจากเขา
กู้จิ่งซานรู้แก่ใจดีว่าวันนี้เสียงของกู้โม่หานจะดังมาก เขาไม่สามารถเมินเฉยต่อเสียงนี้ได้และจำเป็นต้องสร้างสมดุลของการกระจายอำนาจ
ดวงตาของกู้โม่หลิงมืดลงเล็กน้อย
กู้โม่หานตอบอย่างใจเย็น “ขอรับ ลูกรับพระบัญชา”
หลังเล็กประชมเช้า กู้โม่หานก็ขึ้นรถม้ากลับจวนท่ามกลางคำชม ก่อนจะกลับเขาเหลือบมองไปที่กู้โม่หลิงซึ่งถูกรายล้อมไปด้วยขุนนางมากมาย ดวงตาของเขาเย็นชาลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ปิดม่านรถม้าลง
วันนี้ไม่เพียงทำให้อำนาจในราชสำนักมีเสถียรภาพเท่านั้น แต่ยังทำให้เขาเห็นสถานการณ์ในวังได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
กู้โม่หลิงนั้นไม่ใช่ท่านอ๋องเกียจคร้านธรรมดาอย่างแน่นอน การลอบสังหารเขาที่สำนักอู๋หยิ่งก่อนหน้านี้ … นายใหญ่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นกู้โม่หลิงหรือไม่
เขาปิดตาลงครึ่งหนึ่ง ไปที่ค่ายทหารก่อนสั่งคำไปแล้วก็กลับไปยังจวน
ในขณะนี้ ในลานที่หน้าประตูของจวนอ๋องอี้ อวี๋เฟิงและพ่อบ้านกาวกำลังอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเด็กหญิงตัวน้อยทั้งสอง
ทั้งพ่อบ้านกาวและอวี๋เฟิงมองไปที่สองสาวพี่น้องด้วยความหวาดหวั่น คิ้วของพวกเขาขมวดจนแทบจะบิดเป็นเกลียว
“โธ่ นายน้อยทั้งสอง ช้าลงหน่อยเถิด! เดี๋ยวจะทรงหกล้ม!”
“วู้ฮู้! บินเลย!”
“พี่อวี๋เฟิงเจ้าดูดีดีนะ พวกเรายังทำแบบนี้ได้ด้วย!”
“บ่าวเห็นแล้ว นายน้อยทั้งสองค่อยๆเถิด…”
ทันทีที่กู้โม่หานเดินเข้าไปในวัง เขาก็ได้ยินการสนทนาของคนทั้งสี่คน
เขาขมวดคิ้วอย่างสงสัยและรีบเร่งฝีเท้า จากระยะไกลเขาเห็นเกี๊ยวน้อยและซาลาเปาน้อยนั่งอยู่บนม้าไม้ที่เขามอบให้เมื่อสองสามวันก่อนอย่างมีความสุข
มุมปากของกู้โม่หานโค้งขึ้นเล็กน้อย โดยคิดว่าคนตัวเล็กกำลังนั่งอยู่บนม้าไม้ของเขา แต่หลังจากเข้าไปใกล้จนเห็นได้ชัด สีหน้าของ กู้โม่หานก็เปลี่ยนไปในทันที เขายืนอยู่ที่นั่นด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
สิ่งที่พวกเขาเล่นไม่ใช่ของเล่นที่เขาสั่งทำเป็นพิเศษ แต่เป็นของเล่นดัดแปลง
ที่ด้านข้างของม้าไม้มีปีกเสริมสองปีกซึ่งทำจากไม้และแบ่งออกเป็นหลายส่วน ในขณะนี้ พวกมันสามารถแกว่งไกวเป็นจังหวะ และใต้ขาม้าไม้เดิมที่เป็นไม้โค้งก็โดนถอดออก และเปลี่ยนเป็นขาม้าที่ทำจากไม้สี่ขาอย่างเสมือนจริง ในแต่ละรายละเอียดล้วนยึดข้อต่อไว้แล้วทั้งสิ้น
พร้อมกับการกระพือปีก ม้าไม้ก็ลอยขึ้นอย่างไร้เหตุผลจริง ๆ ม้าไม้ลอยขึ้นทั้งสี่ข้างและควบทนายอยู่บนอากาศ
เกี๊ยวน้อยนั่งอยู่ข้างหน้า ถือเชือกหนังที่ดูทำอย่างประณีตไว้ในมือ เพื่อควบคุมทิศทางของม้าไม้ ยิ้มจนเห็นฟันแทบจะมองไม่เห็นตา
ข้างหลังเธอ มีซาลาเปาน้อยที่ตอนนี้สีหน้าดูกระวนกระวายเล็กน้อย แต่ก็ยังกอดเกี๊ยวน้อยแน่นอย่างมีความสุขและส่งเสียงโห่ร้องไม่หยุด
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร มันอันตราย ลงมาเร็วๆ” กู้โม่หานขมวดคิ้ว พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยับยั้งความเหลือเชื่อของตนเอง และรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อพ่อบ้านกาวและอวี๋เฟิงเห็นเขาก็รีบทำการคำนับ “ท่านอ๋อง”
อวี๋เฟิงมองดูสองสาวพี่น้องที่กำลังเล่นอย่างมีความสุข “นายน้อยบอกว่าพวกเขาอยากจะอวดของเล่นใหม่ของพวกเขาให้ท่านดู และพวกเขาก็อยู่ที่นี่ตอนกลางตั้งแต่เช้าถึงเย็น บ่าวก็ไม่กล้าที่จะหยุดพวกเขา”
ในขณะนี้ เมื่อเกี๊ยวน้อยเห็นกู้โม่หานก็เชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ และเจ้าเด็กน้อยก็ส่ายขยับไปมา “ฮึ วันนั้นมีบางคนพูดว่าไม่เชื่อว่าม้าไม้จะมีชีวิตได้ ดูสิ ตอนนี้เห็นแล้วรึยัง ท่านโม่ช่างน่าทึ่งจริง ๆ!”
ซาลาเปาน้อยแอบชำเลืองมองกู้โม่หานและพูดขึ้นว่า “ท่านโม่และท่านปู่หมิงใช้เวลาสี่วันในการสร้างม้าไม้บินได้”
โม่หลี่มีความสามารถเช่นนั้นจริงหรือ? !
ยังร่วมมือกับโม่หวิ่นหมิงอีกด้วย?
สีหน้าของกู้โม่หานดูไม่สบอารมณ์เล็กน้อย และดวงตาเรียวยาวลึกมองไปที่ม้าไม้ที่สดใสนั้น แม้ว่าเขาจะไม่รู้วิธีกลไก แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่าม้าไม้ตัวนี้ใช้ความคิดมากมาย เรียกได้ว่าแยบยลและจัดการได้ยาก
ในเมื่อทุ่มเทความพยายามมากมายขนาดนี้เพื่อลูกสาวของเขาโม่หลีและโม่หวิ่นหมิง ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับเขาหรืออย่างไร!
กู้โม่หานก็ส่งเสียงเย็นชาเช่นกัน “ต้องใช้เวลาถึงสี่วันในการสร้างสิ่งนี้ และยังต้องขอให้คนมาช่วย ดูๆแล้วโม่หลีก็ไม่ได้จะมีดีอะไรสักเท่าไหร่ ”
เกี๊ยวน้อยจ้องมองนายใหญ่ด้วยดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ไม่ดีอะไรตรงไหนกัน ท่านโม่น่าทึ่งมาก! ดูสิ ม้าไม้ตัวนี้ไม่เพียงบินได้ แต่ยังวิ่งบนพื้นดินได้ด้วย!”
ขณะที่เธอพูด เธอกดกลไกเล็ก ๆ ที่หลังคอม้าไม้ด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
ทันใดนั้น ปีกทั้งสองก็หยุดกระพืออย่างช้า ๆ และตกลงบนพื้นอย่างนิ่มนวล
“ม้าน้อยหมายเลขหนึ่ง ไปเลย!” เกี๊ยวน้อยยกคิ้วขึ้นอย่างมีความสุข สองขาของนางบีบข้างท้องม้าเบาๆ
ม้าไม้ดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาทันที อุ้มสองสาวพี่น้องควบม้าไปรอบตำหนัก
“นายน้อย!” อวี๋เฟิงและพ่อบ้านกาวหน้าซีดด้วยความตกใจ และรีบลุกขึ้นเพื่อไล่ตาม
สีหน้าของกู้โม่หานมืดลงและดวงตาของเขามีความตกใจเล็กน้อย
แคว้นซีเหย่อยู่ในฐานะแคว้นใหญ่ด้านอาวุธ ได้ผลิตอาวุธและอาวุธปิดล้อมขนาดใหญ่มาโดยตลอด
สำหรับกลไกเปิดปิดไม้ สำหรับแคว้นซีเหย่อนับว่าไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้กู้โม่หานจึงไม่เคยรู้สึกว่าสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้สามารถทำสิ่งที่สั่นสะเทือนโลกได้
แต่เมื่อเขาเห็นมันในวันนี้ เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าตนเองประเมินความสามารถของโม่หลีและโม่หวิ่นหมิงต่ำไป…