ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 498 รู้ตัวตื่น
นางเองก็อยากจะรู้เหมือนกันนั่นแหล่ะ ว่ารอยฟกช้ำดำเขียวพวกนี้มันปรากฏขึ้นมาได้ยังไง แต่นางเองกลับไม่มีความทรงจำใด ๆ เลย
ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า จะไม่ทะเลาะยืดเยื้ออะไรกับกู้โม่หานเป็นการชั่วคราว
ทั้งไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องบอกเขาด้วย
หนานหว่านเยียนยกมือขึ้นรวบคอเสื้อตัวเองแน่น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคิดจะทายาอยู่หรือไม่? ถ้าไม่ก็ส่งยามาให้ข้าซะเถอะ”
กู้โม่หานจ้องมองสายตาที่แสดงความห่างเหินของนาง ริมฝีปากบางขยับอึกอัก แต่สุดท้ายก็อดกลั้นเอาไว้ ก้มหน้าลงทายาให้นาง
ช่างเถอะ
เดิมทีพวกเขาก็ทะเลาะกันจนต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีความสุขแล้ว เพราะฉะนั้นก็อย่าเพิ่งไปยั่วโมโหนางเลยจะดีกว่า รอให้ผ่านไปอีกสักสองสามวันค่อยถามใหม่ก็ได้…..
ในเวลาเดียวกัน ณ. เรือนจิ้งฉาน
หลังจากพักฟื้นร่างกายมาหลายวัน ในที่สุดหยีเฟยก็ตื่นขึ้นมาได้เสียที
แต่นางยังคงพูดไม่ได้ ทั้งยังไม่สามารถขยับตัวได้ จึงต้องนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงทั้งอย่างนั้น สายตาจับจ้องไปที่เสาคานที่อยู่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะ สีหน้าสงบนิ่งจนยากที่ใครจะมองออกได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
หยุนอี่ว์โหรวนั่งอยู่ข้างเตียงของหยีเฟย คอยเช็ดแขนเช็ดขาให้หยีเฟยอย่างระมัดระวัง
เมื่อเช้า หลังจากที่นางร้องห่มร้องไห้กลับมาถึงเรือนแล้ว ก็ได้ยินข่าวที่ว่าหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานทะเลาะกันใหญ่โต แต่ไม่นานพวกเขาก็ออกจากจวนไป เห็นว่ายังต้องไปต้อนรับคณะทูต
ในตอนแรกนางยังหงุดหงิดคับแค้นใจแทบแย่ แต่พอได้ยินว่าหยีเฟยรู้ตัวตื่นขึ้นมาแล้ว นางก็อยากจะมาดูสักหน่อย เพราะถึงอย่างไรหยีเฟยก็เป็นแม่แท้ ๆ ของกู้โม่หาน ดังนั้นถ้านางขยันแวะมาทำตัวเอาหน้ากับเสด็จแม่บ่อย ๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีกับตัวนางเอง
หวังหมัวมัวที่อยู่อีกด้านยังถึงกับร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจ ทั้งเห็นว่าหยุนอี่ว์โหรวดูใส่ใจห่วงใยแม่สามีขนาดนี้ ก็อดรู้สึกเห็นใจไม่ได้ พูดขึ้นว่า “พระชายารองหยุน จะอย่างไรก็ให้ข้าน้อยทำเองเถอะนะ”
หยุนอี่ว์โหรวยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางพูดว่า “หวังหมัวมัวยุ่งมาตั้งนานขนาดนี้ คงจะเหนื่อยแทบแย่แล้ว ถ้าอย่างไรก็ให้โหรวเอ๋อร์ทำเองดีกว่า เพราะจะว่าไป โหรวเอ๋อร์ก็ไม่สามารถช่วยอะไรเสด็จแม่ในเรื่องอื่นได้เลย”
“ครั้งก่อนที่ข้าไปคุกเข่าภาวนาในห้องพระทั้งคืน เสด็จแม่ก็ไม่ดีขึ้นเลย โหรวเอ๋อร์ยังคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองคงจะไม่จริงใจพอ คิดไม่ถึงว่าวันนี้เสด็จแม่จะฟื้นขึ้นมาได้ โหรวเอ๋อร์ก็รู้สึกปลื้มปริ่มยินดีนัก แม้ว่าโหรวเอ๋อร์กับท่านอ๋องจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันอยู่บ้าง แต่…..พูดโดยสรุปก็คือ โหรวเอ๋อร์ได้ช่วยท่านอ๋องทำหน้าที่เป็นตัวแทนลูกที่แสดงความกตัญญูต่อท่านแม่ แค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว”
แม้ปากจะพูดแบบนี้ แต่ในใจของนางจริง ๆ ไม่ต้องให้พูดหรอก ว่ารู้สึกชิงชังคั่งแค้นขนาดไหน
เห็น ๆ อยู่ว่านางสร้างโอกาสได้แล้วตั้งมากมาย เพื่อใช้ยืนยันข่าวเรื่องที่ว่านางกับกู้โม่หานร่วมหอกันแล้ว แต่ทำไมกู้โม่หานกลับไม่ยอมเข้าใกล้นางเลย ยังถึงขั้นที่ไม่อยากพบหน้านางแม้เพียงสักครั้งด้วยซ้ำ
หวังหมัวมัวเห็นว่าหยุนอี่ว์โหรวอ่อนโยนถึงขนาดนี้ ก็รู้สึกชื่นชมมาก “ท่านอ๋องคงแค่เข้าใจท่านผิดไปชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้นเอง แต่รอให้นานวันไปจนได้เห็นน้ำใจที่แท้จริงแล้ว ไม่ช้าก็เร็วท่านอ๋องก็คงจะกำจัดความบาดหมางใจที่มีต่อท่านไปได้แน่”
“อื้ม” หยุนอี่ว์โหรวตอบรับอย่างเชื่อฟัง จากนั้นก็มองไปที่หยีเฟยที่นอนอยู่บนเตียง ยกยิ้มอ่อนโยน
“เสด็จแม่เจ้าคะ หวังว่าท่านจะฟื้นตัวจนกลับมาหายดีได้โดยเร็ว ท่านอ๋องยังมีเรื่องมากมายที่อยากจะคุยกับท่าน โหรวเอ๋อร์ก็ด้วยนะเจ้าคะ”
ชั่วเวลานี้เอง สาวใช้คนหนึ่งก็เดินจ้ำเท้าเข้ามา แล้วพูดกับหวังหมัวมัวว่า “หวังหมัวมัว ท่านอ๋องกับพระชายากลับมาถึงจวนแล้ว ตอนนี้อยู่ที่หน้าประตูแล้วเจ้าค่ะ!”
ได้ยินดังนั้น ร่างกายของหยุนอี่ว์โหรวก็แข็งทื่อไปชั่วขณะ แต่ก็กลับคืนสู่สภาวะปกติได้ในไม่ช้า
หวังหมัวมัวเดินออกไปด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี เดินไปพลางพูดไปพลางว่า”ข้าน้อยจะออกไปต้อนรับท่านอ๋องกับพระชายา เพื่อบอกข่าวดีนี้กับพวกเขา พระชายารองหยุนโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่นะเจ้าคะ!”
หวังหมัวมัวเพิ่งจะเดินลับไป แววตาของหยุนอี่ว์โหรวก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที มือจิกทึ้งผ้าเช็ดหน้าด้วยท่าทางไม่ยินยอมพร้อมใจ…..
ในจวน หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานลงจากรถม้า ทั้งสองเพิ่งมาถึงทางแยกบนถนน ก็ได้ยินเสียงกระหืดกระหอบของหวังหมัวมัวตะโกนเรียกดังแว่วมา
“ท่านอ๋อง! พระชายา! หยีเฟยเหนียงเหนียงตื่นแล้วเจ้าค่ะ ! ครั้งนี้ตื่นนานมากเลยทีเดียว น่าจะเป็นการตื่นยาวแน่แล้วเจ้าค่ะ!”
หยีเฟยตื่นแล้วอย่างนั้นรึ?
หนานหว่านเยียนชะงักฝีเท้าทันที หันไปมองกู้โม่หานแวบหนึ่ง
สีหน้าของกู้โม่หานเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันมามองหนานหว่านเยียนเหมือนกัน จากนั้นก็เดินตรงดิ่งไปที่เรือนพักของหยีเฟย “พวกเราจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
หนานหว่านเยียนมีท่าทีลังเลไปชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ยังเดินตามเขาไป
หวังหมัวมัวไม่ได้สังเกตเห็นบรรยากาศที่ดูกระอักกระอ่วนระหว่างพวกเขาสองคนเลย นางรีบยิ้มยินดี แล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ”
ระหว่างทางที่เดินมา นางไม่อาจซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นยินดีไว้ได้ เล่าว่าพอพวกกู้โม่หานเพิ่งออกจากจวนไปเมื่อเช้า หยีเฟยก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
หนานหว่านเยียนยิ้มให้เป็นครั้งคราว สีหน้าสงบนิ่งเหมือนในยามปกติ แต่กู้โม่หานกลับลอบกำหมัดแน่น ในใจอัดแน่นไปด้วยความคิดต่าง ๆ ที่ประเดประดังเข้ามาไม่หยุด
ครั้งก่อนตอนที่เสด็จแม่เห็นหนานหว่านเยียน ก็เกิดสภาวะอารมณ์ถูกเร้าอย่างรุนแรง แล้วถ้าครั้งนี้ก็เป็นแบบนั้นอีกล่ะ……
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหนานหว่านเยียนก็ไม่ดีเอาเสียเลย หากเพราะเรื่องนี้ เป็นสาเหตุที่เร่งให้นางอยากไปจากที่นี่ล่ะก็……
ทั้งหมดมาถึงเรือนจิ้งฉานอย่างรวดเร็ว
หลังจากเข้าไปในเรือนแล้ว หวังหมัวมัวก็พบว่าหยุนอี่ว์โหรวหายไปแล้ว แววตาพลันสั่นไหววูบ
เมื่อสาวใช้เห็นคนทั้งหมด ก็รีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วพูดว่า “หวังหมัวมัว พระชายารองหยุนเพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี้เจ้าค่ะ นางบอกว่า —”
นางมองไปที่กู้โม่หานกับหนานหว่านเยียน พูดเสียงเบาว่า “พระชายารองบอกว่า นางกลัวว่าถ้าตัวเองรั้งอยู่ที่นี่ จะทำให้ท่านอ๋องกับพระชายาไม่พอใจเจ้าค่ะ”
หวังหมัวมัวเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “เข้าใจแล้ว”
หยุนอี่ว์โหรวแวะมาที่นี่ด้วยหรือ?
สีหน้าของหนานหว่านเยียนเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันที แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
กู้โม่หานขมวดคิ้วแน่นจนเป็นปม เขาเพิ่งพูดเมื่อเช้าว่าเขาไม่อยากเห็นหน้าหยุนอี่ว์โหรวอีก เดาว่านางก็คงจะเข้าใจจุดนี้ดี ถึงได้เป็นฝ่ายรีบชิงหลบหน้าไปก่อน
แต่ตอนนี้ เขาไม่มีเวลาพอจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องของหยุนอี่ว์โหรว เจ้าตัวสาวเท้าขึ้นไปข้างหน้า เดินไปที่ข้างเตียงของหยีเฟย แล้วจับมือนาง “เสด็จแม่ ลูกกลับมาแล้ว”
สายตาของหยีเฟยกวาดมองไปที่ใบหน้าของกู้โม่หานแค่ไม่กี่ครั้ง จากนั้นก็เบนไปหาหนานหว่านเยียนที่กำลังเดินมาหานาง…..