ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 517 กรีธาทัพไปถามโทษ
หนานชิงชิงมีหยกห้อยเอวนี้?
หนานหว่านเยียนก็ไม่คาดคิด พร้อมขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
งั้นที่ผ่านมา เหมือนนางจะจำขึ้นมาได้ว่า ท่านแม่ของเจ้าของร่างเดิมก็มีหยกห้อยเอวอันนี้ แสดงว่าไม่ได้จำผิด
น่าจะเป็นฮูหยินเฉิงเซี่ยงที่บ้าคลั่งคนนั้น ตอนที่ยึดเอาสิ่งของส่วนตัวของท่านแม่เจ้าของร่างเดิมมา จึงได้เอาหยกห้อยเอวของแม่เจ้าของร่างเดิมไปด้วยมั้ง
ส่วนโม่หลี….จะต้องเกี่ยวข้องกับท่านแม่ของเจ้าของร่างเดิมแน่ ไม่อย่างนั้นจะไม่เอาหยกห้อยเอวออกมาให้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา
“นี่เป็นหยกห้อยเอวของข้า ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นมีไหม”
“อืม ข้าอาจจะจำผิดไปก็ได้” กู้โม่หานระงับความคาดเดาไว้ในใจ แต่ก็ยังค่อนข้างสงสัย
หยกห้อยเอวสีแดงแบบนี้พบเห็นไม่บ่อย โดยเฉพาะลวดลายบนนั้น ไม่เหมือนลวดลายในแคว้นซีเหย่ ดังนั้น เขาจึงค่อนข้างจดจำหยกห้อยเอวในมือหนานชิงชิงอันนั้น
เวลานี้มีองครักษ์สามคนเดินเข้ามาในเรือนซีเฟิง ถวายความเคารพหนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานอย่างนอบน้อมว่า “ข้าน้อยถวายบังคมท่านอ๋องพระชายา”
ตอนที่อวี๋เฟิงออกไปจัดการศพของพ่อบ้านกาว พวกเขาก็ถูกสั่งให้ไปค้นภายในห้องของพ่อบ้านกาว เวลานี้ก็คือกลับมารายงาน
การมาขององครักษ์ทั้งสามคนนี้ ทำลายบรรยากาศความสงบ กู้โม่หานก็จัดการอารมณ์ของตนเองแล้ว มองดูพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ค้นเจออะไรบ้าง?”
องครักษ์ทั้งสามคนต่างมองหน้ากัน ตรงกลางคนนั้นล้วงเอากระดาษแผ่นหนาออกมา พร้อมยื่นให้กับกู้โม่หานอย่างเคารพ
“เรียนท่านอ๋อง ภายในห้องพ่อบ้านกาว พวกเราไม่ได้ค้นเจอหลักฐานอะไรที่น่าสงสัย มีเพียง….”
“มีเพียงค้นพบกระดาษพวกนี้ ดูแล้วก็ไม่เหมือนจดหมาย เขียนเต็มไปด้วยภาษาแคว้นอื่น”
ภาษาแคว้นอื่น?
กู้โม่หานกับหนานหว่านเยียนต่างอึ้ง สายตาแฝงไปด้วยความไม่คาดคิด
นิ้วเรียวยาวของกู้โม่หาน รับกระดาษพวกนั้นมา เห็นบนกระดาษเขียนบันทึกไว้ด้วยภาษาแคว้นต้าเซี่ย เส้นเลือดบนหลังมือนูนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“ออกไปเถอะ”
“ขอรับ ท่านอ๋อง” พวกองครักษ์ถอยออกไป กู้โม่หานก้มหน้า แววตาเต็มไปด้วยท่าทียากที่จะคาดเดา พร้อมพูดขึ้นว่า “นี่คือภาษาแคว้นต้าเซี่ย ที่แท้เขาเป็นคนของแคว้นต้าเซี่ยมาตลอด”
หากพ่อบ้านกาวเป็นคนแคว้นต้าเซี่ย งั้นเขามีเหตุผลเพียงพอที่จะสงสัยว่า คนที่อยู่เบื้องหลังพ่อบ้านกาว จะต้องเป็นคนของแคว้นต้าเซี่ย
แต่หากพ่อบ้านกาวเป็นไส้ศึกของแคว้นอื่น แล้วทำไมจะต้องปลอมตัวมาอยู่ข้างกายเขา ตั้งแต่เขาอายุยังน้อย เขาต้องการอะไร?
ต่อให้เขากลายเป็นเทพสงครามแล้ว คนที่อยากได้ชีวิตเขามีมากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็ไม่น่าจะใช่แคว้นต้าเซี่ย….
ทั้งๆที่นั่นคือ แคว้นของเสด็จแม่
แคว้นของเสด็จแม่ จะทำร้ายเขาได้อย่างไร….
“ภาษาแคว้นต้าเซี่ย?” หนานหว่านเยียนตกตะลึง มองดูกระดาษในมือกู้โม่หานอย่างงุนงง จ้องมองดูอักษรบนนั้นอย่างไม่เข้าใจ
“แต่พ่อบ้านกาว ไม่ใช่คนแคว้นซีเหย่หรือ? เขาจะเป็นคนแคว้นต้าเซี่ยได้อย่างไร?”
“ข้าก็ไม่เข้าใจ แต่ทุกอย่างเมื่อเชื่อมโยงกัน พ่อบ้านกาวต้องเกี่ยวข้องกับทางด้านแคว้นต้าเซี่ยอย่างแน่นอน” กู้โม่หานบดขยี้กระดาษพวกนั้นอยู่เงียบๆ กลายเป็นผงร่วงหล่นลงพื้น
“จากท่าทีที่พ่อบ้านกาวยอมตาย แต่ก็ไม่ยอมแพ้ ข้าก็สามารถพอเดารู้บ้างว่า คนที่สั่งเขามา สถานะไม่ธรรมดาแน่”
หนานหว่านเยียนมองดูใบหน้ากู้โม่หานที่ค่อยๆดุร้าย คิ้วดำค่อยๆขมวดแน่น นางก็ไม่ค่อยรู้เรื่องสถานการณ์ของแต่ละแคว้น ว่าเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู
แต่ว่าแคว้นต้าเซี่ย นางได้ยินมาเป็นครั้งที่สองแล้ว
ครั้งแรกคือคืนวันแต่งงาน ฉินมู่ไป๋สองพี่น้องกับกู้จิ่งซานอยากร่วมมือกัน โจมตีแคว้นต้าเซี่ย
ดูเหมือนว่า แคว้นต้าเซี่ย แคว้นซีเหย่ ตลอดจนแคว้นเทียนเซิ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสามแคว้นนี้ ไม่ง่ายขนาดนั้น
“อย่าเพิ่งคิดถึงพ่อบ้านกาวอีกเลย เขาตายไปแล้ว…ไม่สามารถคุกคามต่อเราได้อีกต่อไป และก็จะไม่มีทางทำร้ายคนข้างกายเจ้าได้อีก”
“ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยึดอำนาจ ไม่รู้ว่าเรื่องยึดอำนาจ เจ้าดำเนินการเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”
คำพูดนี้มีเหตุผล กู้โม่หานไม่มีเวลามานั่งเศร้าโศกเสียใจ ยังมีคนอีกมากมายต้องการชีวิตของเขา หรือรอคอยเห็นตัวตลกของเขา ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องแข็งแกร่งขึ้นมา ถึงจะสามารถปกป้องคนที่เขาอยากปกป้อง
เขาขมวดคิ้ว พร้อมหันมามองหนานหว่านเยียน
“ข้ากำลังเตรียมการอยู่ เรื่องนี้ต้องค่อยๆ ดำเนินไปอย่างระมัดระวัง ร้อนใจไม่ได้ อีกอย่าง ตอนนี้เรามีสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าต้องทำ”
หนานหว่านเยียนถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจว่า “เรื่องอะไร?”
กู้โม่หานคิดถึงป้ายคำสั่งเสวียนอู่ที่เซียวลี่เอามาให้เขาเมื่อหลายวันก่อน รอบกายเปล่งไปด้วยรัศมีแห่งความชั่วร้าย เยือกเย็นและน่าสะพรึงกลัว
“เรื่องลอบฆ่าที่ทะเลสาบเนี่ยเมื่อหลายวันก่อน ถึงข้าจะสั่งจับสำนักอู๋หยิ่ง แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่จบ”
“เสด็จพ่อให้พวกข้าเข้าวังไปในวันนี้”
“เข้าวัง?” หนานหว่านเยียนแสดงท่าทีมืดลง อารมณ์ที่แปลกประหลาดปรากฏในสายตา พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมถึงได้กะทันหันขนาดนี้? เรื่องลอบฆ่านั้น เจ้าสืบเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
“ก็ไม่กะทันหัน ข้ารับข่าวได้ตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ว่าเจ้าให้ข้ามาดูเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ข้าจึงยังไม่ได้บอกเจ้า” กู้โม่หานไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ดึงมือนาง เดินตรงออกไปพร้อมพูดขึ้นว่า “ผลจากการสืบ ขึ้นรถม้าแล้ว ข้าค่อยบอกเจ้า พวกเจ้าเข้าวังไปก่อน”
“ได้”
หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานออกมาจากจวนอ๋อง แล้วขึ้นรถม้า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกิดเรื่องเกี่ยวกับพ่อบ้านกาวหรือเปล่า บรรยากาศระหว่างพวกเขาจึงไม่ได้แข็งกระด้างเหมือนที่ผ่านมา
อย่างน้อย หนานหว่านเยียนก็อดทนยอมเชื่อฟังกู้โม่หาน ไม่กระทบกระทั่งกับเขาง่ายๆ
พอเพียงเขาไม่เอาเรื่องหยุนอี่ว์โหรวมากระตุ้นนาง พวกเขาสามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างสงบ ตอนนี้สนใจเพียงเรื่องยึดอำนาจ ยึดอำนาจสำเร็จแล้วนางก็จากไปได้ ไม่อยากทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากอีกต่อไป ยิ่งก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแปลกๆ
รถม้าพุ่งไปยังพระราชวังอย่างรวดเร็ว ภายในรถม้า กู้โม่หานล้วงเอาป้ายคำสั่งเสวียนอู่ยื่นให้กับหนานหว่านเยียน
เขาพูดอธิบายป้ายคำสั่งเสวียนอู่เชื่อมโยงกับการลอบสังหาร สีหน้าหนานหว่านเยียนแย่ขึ้นมาทันที
คนที่มีส่วนร่วมในการลอบฆ่าในวันนั้น ไม่ได้มีเพียงสำนักอู๋หยิ่ง ยังมีกองทัพเสวียนอู่ภายใต้อำนาจฮ่องเต้?
หนานหว่านเยียนจุกแน่นอก รู้สึกกลัวจนตัวสั่นเป็นลูกนก
คิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้สุนัขผู้นี้จะบ้าคลั่งมากถึงขนาดนี้
เพื่อกำจัดกู้โม่หาน ถึงขั้นยอมลงมือกับคนของแคว้นเทียนเซิ่ง เขาไม่กลัวที่จะก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้นจริงๆหรือ?
นางพูดขึ้นมาอย่างยากที่เชื่อว่า “เจ้ามั่นใจว่าเรื่องนี้ เขาเป็นคนทำจริงหรือ?”
กู้โม่หานหรี่ครึ่งตาหันไปมองทางด้านนอกหน้าต่าง พร้อมพูดด้วยท่าทีเย็นชาอย่างผิดปกติว่า “ใช่หรือไม่ใช่ เดี๋ยวลองก็รู้”
หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว เม้นริมฝีปาก พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้นก็ลองดู”
หากเป็นฝีมือกู้จิ่งซาน งั้นวันนี้ที่กู้จิ่งซานเรียกพวกเขามา จะต้องพูดเพื่อเอาตัวรอดให้ตัวเองพ้นผิด
ปัดความผิดให้ผู้อื่น กรีธาทัพไปถามโทษ…..