ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ – บทที่ 721 ต้องการ

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 721

สิ้นเสียงพูด ในตำหนักก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกเลย เงียบสนิทประหนึ่งว่าสามารถได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตกพื้นอย่างไรอย่างนั้น

กู้โม่หานพยายามข่มอารมณ์โกรธไว้ หนานหว่านเยียนเองก็อารมณ์เดือดพล่านไม่แพ้กัน พร้อมที่จะเผาไหม้ทุกเวลา

เกี๊ยวน้อยโดนหนีบอยู่ตรงกลางพลางหันมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าที่ลำบากใจ

ทำยังไงดี ทำยังไงดี เสด็จแม่กับเสด็จพ่อไม่เพียงแต่จะไม่คืนดีเท่านั้น ทว่าตอนนี้กลับดูแย่ลงกว่าเดิมอีก

“เสด็จแม่ เสด็จพ่อ…พวกท่านยังไม่ทานอาหารมิใช่หรือ เดี๋ยวค่อยปรึกษาหารือกันดีกว่ากระมัง?”

หนานหว่านเยียนเงียบปากด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว พลางก้มหน้าทานอาหาร ไม่มองใบหน้าที่น่าทุบของกู้โม่หานต่อ

จะสมบูรณ์ได้อย่างไร ทว่าตั้งแต่วินาทีที่นางตัดสินใจไม่รักเขาแล้ว ก็เท่ากับว่าจะไม่มีทางสมบูรณ์แบบอีกต่อไป

ช่างเถิด ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว นางจะต้องยับยั้งชั่งใจตัวเอง ไม่ให้เกี๊ยวน้อยเป็นห่วงอีก เสวนากับเขามีแต่จะทำให้นางโมโหเท่านั้น ทั้งยังไม่เป็นผลดีต่อเด็กในท้องของนางอีกด้วย

กู้โม่หานเองก็ไม่สืบสาวราวเรื่องต่อ เขาดื่มสุราเข้าไปสองจอกด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

หลังมื้ออาหาร เกี๊ยวน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ท้องของนางอิ่มจนกลมป่อง มือข้างหนึ่งของนางลูบท้อง ส่วนมืออีกข้างยันขอบเก้าอี้ไว้ พลางสะอึกและเรอออกมาด้วยท่าทีที่เกียจคร้าน

นางตบท้องเบาๆ พลางเอียงศีรษะหันไปมองหนานหว่านเยียน จากนั้นก็ยิ้มขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา “เสด็จแม่ดูนี่ กลมเหมือนลูกเตะหนังหรือไม่”

เมื่อเห็นท่าทีของบุตรสาวน่ารักน่าชังขนาดนี้ อารมณ์ของหนานหว่านเยียนจึงดีขึ้นไม่น้อย “เจ้าน่ะ เวลาทานอิ่มแล้วก็มักจะชอบตบท้องแบบนี้ ประเดี๋ยวของที่กินเข้าไปก็จะอาเจียนออกมาจนหมด”

เกี๊ยวน้อยได้ยินแล้วก็หัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ กู้โม่หานมองดูสองแม่ลูกที่กำลังคุยเล่นกัน อารมณ์จิตใจของเขากลับรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

หลังจากที่เซียงอวี้และเซียงเหลียนเก็บโต๊ะอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็พากันถอยออกจากตำหนักไป เวลานี้ภายในตำหนักใหญ่จึงเหลือพวกเขาเพียงสามคนเท่านั้น

หนานหว่านเยียนเห็นกู้โม่หานไม่กระดิกตัวแม้แต่นิดเดียว นางจึงขมวดคิ้วแน่น สีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท หากไม่มีธุระอันใดแล้ว พระองค์ก็เชิญเสด็จกลับไปเถิด หม่อมฉันจะสอนหนังสือให้เกี๊ยวน้อย”

หนานหว่านเยียนไล่แขกชัดเจนขนาดนี้ กู้โม่หานจะไม่เข้าใจได้อย่างไรกัน

แต่เขากลับเอาแต่จ้องมองนาง ราวกับว่าคนที่ทะเลาะกับนางบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขาอย่างไรอย่างนั้น

“เรื่องพวกนี้ข้าจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอให้งานเลี้ยงวันเกิดของเกี๊ยวน้อยผ่านไปก่อน ค่อยทบทวนบทเรียนให้กับนาง ถึงเวลานั้น ข้าจะให้ท่านมหาบัณฑิตเป็นคนมาสอนนางด้วยตัวเอง”

พูดจบเขาก็เอื้อมมือไปลูบศีรษะของเกี๊ยวน้อยเบาๆ พลางฉีกยิ้มกว้าง “เจ้าว่าดีหรือไม่?”

ทันทีที่เกี๊ยวน้อยได้ยินว่าหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดของนางผ่านไปแล้ว ก็จะต้องเรียนหนังสือกับตาเฒ่า ใบหน้าที่ท่วมท้นไปด้วยความสุขของนางก็บึ้งตึงขึ้นมาทันที

แต่เมื่อเห็นว่าวันนี้กู้โม่หานพบเจออุปสรรคไม่หยุดไม่หย่อน นางจึงทำได้เพียงฝืนยิ้มเจื่อนๆ พลางตอบกลับไปว่า “ก็…ก็ดีเพคะ”

นางเกลียดเรื่องการเล่าเรียนเป็นที่สุด!

แต่หากให้นางไปฝึกวรยุทธ์กับท่านน้าและท่านอาจารย์คนอื่นๆ นางจะยินดีเป็นอย่างมาก

เมื่อหนานหว่านเยียนเห็นกู้โม่หานหน้าด้านเช่นนี้ นางไม่อยากจะเสียเวลาไปต่อล้อต่อเถียงกับเขา จึงจูงมือของเกี๊ยวน้อยทำท่าจะกลับไปยังห้องบรรทม

พลางปฏิเสธด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทคงจะเข้าใจผิดแล้ว หม่อมฉันหมายความว่าหม่อมฉันและลูกมีเรื่องที่จะต้องทำ อีกประเดี๋ยวก็ถึงเวลาเข้านอนแล้ว”

“ดึกขนาดนี้ ฝ่าบาทควรกลับไปยังที่ที่ฝ่าบาทควรกลับเถิด”

นางไล่เขาขนาดนี้แล้ว หากเขายังรั้นที่จะอยู่ต่อ เช่นนั้นก็แสดงว่าหน้าของกู้โม่หานหนากว่ากำแพงเสียอีก

กู้โม่หานเองก็ไม่ได้ทำให้หนานหว่านเยียนผิดหวังเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นนางและบุตรสาวลุกขึ้น กู้โม่หานก็รีบลุกขึ้นตาม ภายใต้แสงเทียน ร่างที่สูงโปร่งของเขาแลดูผอมไปเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ลดทอนความหล่อเหล่าของเขาลงแต่อย่างใด

สายตาของเขาจับจ้องไปยังหนานหว่านเยียน พลางพูดขึ้นพึมพำ

“ในเมื่อเจ้าจะสอนหนังสือเกี๊ยวน้อย เช่นนั้นข้าอยู่ช่วยเจ้าสอนไม่ดีกว่าหรือ?”

หนานหว่านเยียนขมฟันแน่น พลางจ้องกู้โม่หานตาเขม็ง

เขาจงใจใช่หรือเปล่า ตั้งใจจะหาเรื่องนางทั้งคืนเลยหรืออย่างไรกัน!

แต่นางก็ไม่มีกะจิตกะใจจะไปทะเลาะกับเขาจริงๆ นางจึงหมุนตัวพาเกี๊ยวน้อยตรงไปยังห้องบรรทมโดยที่ไม่เหลือบมองเขาแม้แต่น้อย

นางนั่งอยู่ข้างโต๊ะ และไม่ได้สนใจเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ในมือถือตำราพลางสอนเกี๊ยวน้อยอย่างตั้งใจ “เจ้าดูตรงนี้…”

เกี๊ยวน้อยเองก็นั่งอยู่ข้างๆ นางอย่างว่าง่าย ถึงแม้จะฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่นัก ทว่าขอแค่มีเสด็จแม่อยู่ข้างกาย ก็รู้สึกดีใจมากแล้ว นางมีความมุ่งมั่นที่จะเรียนเป็นอย่างมาก คอยพยักหน้าเพื่อบอกกับหนานหว่านเยียนว่านางเข้าใจแล้ว

ประกายแสงเทียนรำไรประหนึ่งลูกไฟกระทบไปยังขอบชายคาที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์ หนานหว่านเยียนและเกี๊ยวน้อยนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ลมที่พัดอยู่ด้านนอกเบาบ้างแรงบ้างสลับกันไป เป็นภาพบรรยากาศที่สงบและงดงามอย่างยิ่ง

กู้โม่หานรินน้ำมาให้หนานหว่านเยียนและเกี๊ยวน้อย วางไว้ที่ข้างๆ ของทั้งสอง “จิบน้ำให้ชุ่มคอเสียหน่อย”

หนานหว่านเยียนยังคงเพิกเฉยต่อเขา นางเล่านิทานให้เกี๊ยวน้อยฟังราวกับว่าไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างไรอย่างนั้น

เกี๊ยวน้อยหันไปมองนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แอบหันไปมองแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่แล้วนางก็กลับไปตั้งใจฟังนิทานต่อ ไม่เบี่ยงเบนความสนใจแต่อย่างใด

กู้โม่หานเห็นแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ หมุนตัวกลับไปนั่งข้างๆ ดังเดิม

จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือมาหนึ่งเล่ม นิ้วมือที่เรียวยาวค่อยๆ พลิกหน้าหนังสืออย่างช้าๆ ทว่าเขากลับไม่ได้อ่านมันเลย ดวงตาสวยงามที่เย็นชาของเขาไม่ได้ละสายตาจากหนานหว่านเยียนแม้แต่เสี้ยววินาที

ดวงจันทร์กระจ่างจนแทบมองไม่เห็นดวงดาว ลมยามค่ำคืนพัดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เฉียดผ่านหนังสือที่อยู่ในมือของกู้โม่หาน เสียงกระดาษของหนังสือค่อยๆ พลิกจากช้าเปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้ากวีบทหนึ่ง

“มิร่ำไห้ จากลาไปไร้สุ้มเสียง

มิพูดจา ใจสื่อใจอิงแอบถวิลหา

มิมีผู้อื่นใดล่วงรู้นอกจากพวกข้าทั้งสอง

กรงลุ่มลึกล่ามขังนกเดียวดายในค่ำคืนอันมืดมิด ดาบคมกริบฟาดฟันกิ่งไม้คู่แตกหักพังสลาย น้ำในสายธารจะขุ่นหมองก็ยังมีวันใสสะอาด เส้นผมที่ดำขลับก็ยังมีวันที่ขาวโพลน มีเพียงการพลัดพรากที่มิได้ล่ำลาเท่านั้น พวกข้าจึงจะจำนนมิมีวันได้พบพาน”

กู้โม่หานไม่ได้ตระหนักถึงมันเลยแม้แต่น้อย เขาเอาแต่จ้องมองหนานหว่านเยียนด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ค่อยๆ สลักรูปลักษณ์ของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าลงไปยังส่วนลึกของหัวใจอย่างช้าๆ

ห้วงเวลานี้ แสงสว่างของไฟยามค่ำคืนแลดูไม่มีค่าพอให้สนใจแต่อย่างใด ภายใต้สายตาของฮ่องเต้หนุ่ม มีเพียงตะเกียงไฟที่อยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น ที่สว่างไสวเรืองรองเหนือสิ่งอื่นใด

กู้โม่หานไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเมาสุราหรือเปล่า แก้มที่ขาวหมดจดของเขาค่อยๆ ร้อนขึ้นเรื่อยๆ มุมปากของเขาโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่กลับปนไปด้วยความขมฝาดที่ไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด

ดวงตาเขาหลุบต่ำ อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตอนที่เขาและหนานหว่านเยียนลอยโคมไฟดอกไม้ด้วยกัน

เขาไม่เคยเชื่อเรื่องเทพเจ้า ยิ่งไม่เชื่อว่าเทพเซียนจะประทานพรให้กับเวไนยสัตว์

เขาเชื่อแค่ว่าคนคนหนึ่งหากต้องการสิ่งใด จะต้องอาศัยตนเองไปต่อสู้ดิ้นรนเพื่อที่จะได้มันมาเท่านั้น

แต่พอเวลาผ่านไปนานวันเข้า ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ไม่ทางที่เขาจะเอาชนะใจของหนานหว่านเยียนได้ จึงเริ่มที่จะลังเลและสั่นคลอน

หากใต้หล้านี้มีเทพเจ้าจริง เช่นนั้นเขาก็ขอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าหนทางนี้จะขมขื่นหรือยากเย็นเพียงใด ขอเพียงแค่ปลายทางเป็นดั่งที่เขาต้องการ ข้างกายมีภรรยาและลูกๆ คอยอยู่เคียงข้าง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกันกับเขา จะลำบากยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนเขาก็ไม่หวั่น ไม่ว่าโทษทัณฑ์อันใดเขาก็รับได้ทั้งหมดทั้งสิ้น

เขาไม่ได้โลภ เพียงแต่ต้องการ…มีจะบ้านก็เท่านั้น

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้

Status: Ongoing
หนานหว่านเยียน อัจฉริยะแห่งวงการแพทย์ ข้ามภพมาเป็นพระชายาอัปลักษณ์ผู้ถูกทอดทิ้งแห่งจวนอ๋องอี้ แต่ด้วยมันสมองของอัจฉริยะ และความแข็งแกร่งฉบับสาวยุคใหม่ เธอจะพลิกเกมกลับมาแก้แค้นไอ้พวกเศษสวะให้สิ้นซาก!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท