ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 771
หนานหว่านเยียนรับรู้ได้ถึงความอาลัยอาวรณ์และคิดถึงในน้ำเสียงของเท่เฟย
ขนตาของนางลู่ลงราวกับขนนก “เสด็จแม่ ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขา ท่านก็รู้ดี”
“ไม่เกี่ยวกับการมีลูก มันเป็นความผิดพลาดในอดีตทั้งหมด”
เท่เฟยพยักหน้าเห็นด้วย “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้เป็นความทรงจำเถอะ ไม่ว่าจะขมขื่นหรือไม่ก็ตาม ถือว่าการเดินทางมาแคว้นซีเหย่นั้นไม่สูญเปล่า”
ว่าแล้วจู่ๆ นางก็นึกอะไรออก สีหน้ากลายเป็นไม่พอใจขึ้นมา ตบโต๊ะอย่างแรง
“ข้าแค่นึกไม่ถึงว่า หยุนอี่ว์โหรวนั่นจะชั่วร้ายและสกปรกโสมมถึงเพียงนี้!”
“ตอนแรกข้าแค่รู้สึกว่านางคือดอกบัวขาวน้อยที่ไม่มีใครเทียบ ชอบทำท่ายั่วยวนผู้คน ตำแหน่งของนางไม่น่าจะสูงไปกว่านี้มากนัก แต่ไม่คิดเลยว่า สิบปีที่ผ่านมา นางได้ทำเรื่องไร้มโนธรรมมามากมาย!”
เมื่อพูดถึงหยุนอี่ว์โหรว สีหน้าท่าทางของหนานหว่านเยียนก็ขรึมลงทันที แต่กลับไม่ได้พูดอะไร
เท่เฟยมองไปที่ใบหน้าซีดของหนานหว่านเยียน และได้รู้ว่าตอนนี้หยุนอี่ว์โหรวยังไม่ตาย มันน่าโมโหแค่ไหน
นางเอ่ยปลอบโยน “สะใภ้ของข้า ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจมาก ข้าก็เช่นกัน”
“หากข้าไม่ได้สลบไสลไปหลายปี คงไม่ปล่อยให้โม่หานไปเจอผู้หญิงอันตรายแบบนี้ พูดก็พูดเถอะ ความขัดแย้งระหว่างเจ้ากับโม่หาน น่าจะมาจากฝีมือของหยุนอี่ว์โหรวแน่ๆ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะนาง เจ้ากับโม่หานคงไม่คลาดกันนานหลายปีเช่นนี้”
หยุนอี่ว์โหรวเป็นตัวสร้างปัญหาที่แท้จริง อ้อไม่สิ เป็นแค่ขี้หนูที่ทำลายน้ำแกงทั้งหม้อ
ไม่เช่นนั้น ตอนนี้ลูกชายกับลูกสะใภ้ของนางควรจะรักใคร่ปรองดองกัน
แต่หนานหว่านเยียนกลับส่ายหน้า “เสด็จแม่ ต่อให้ตอนแรกจะไม่มีหยุนอี่ว์โหรว พวกข้าก็อาจจะไม่ได้ลงเอยกัน”
ถ้าไม่ใช่เพราะหยุนอี่ว์โหรว นางอาจไม่มีวันฟื้นความทรงจำของนางได้อีกตลอดชีวิต จะเป็นเด็กสาวที่โง่เขลาและเป็นที่ดูถูก ที่คอยรักกู้โม่หานตลอดไป
เนื่องจากนางเป็นผู้หญิงที่โง่เขลา ก็ย่อมไม่สามารถช่วยอะไรเท่เฟยได้ เมื่อช่วยเหลือเท่เฟยไม่ได้…เขาก็มักจะมองว่านางเป็นคนบาปของจวนเฉิงเซี่ยง เป็นศัตรู และเกลียดชังเสมอ จะไปมีอนาคตที่ดีได้อย่างไร.
เท่เฟยเม้มริมฝีปาก ตั้งใจจะพูดปลอบใจหนานหว่านเยียนสักคำสองคำ แต่กลับไม่รู้จะเริ่มเอ่ยปากจากตรงไหน
ทว่า ยังมีบางสิ่งที่นางต้องพูด ไม่จำเป็นต้องให้มีความเข้าใจผิดต่อไป
“ไม่ว่ายังไงข้าก็จะสนับสนุนเจ้า ให้เกียรติเจ้า แต่ว่า มีบางสิ่งที่ข้าอดพูดไม่ได้ ข้ารู้ว่าคราวนี้เสด็จย่าของเจ้าห้ามไม่ให้ทำอะไรหยุนอี่ว์โหรว เจ้าก็อย่าไปโกรธนางเลย”
“เหล่าไท่ไท่ชอบกังวลเกี่ยวกับอนาคตของลูกหลาน นางก็รู้สึกเสียใจและสงสารเด็กๆ เช่นกัน ครั้งนี้นางพยายามปกป้องหยุนอี่ว์โหรว ไม่ใช่เพราะต้องการทำร้ายเจ้าเลย”
“ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้าว่า ไทเฮาโปรดปรานเจ้ามากแค่ไหน การตัดสินใจเช่นนั้นก็เพื่อประโยชน์ของสถานการณ์โดยรวม เพราะในสมัยโบราณ ทายาทมีความสำคัญมาก ดังนั้น…แต่ข้าคิดว่าในใจนางก็ต้องรู้สึกแย่เหมือนกัน”
ในสมัยโบราณ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนความคิดล้าสมัยได้ด้วยตัวคนเดียว นางเองก็เป็นตัวอย่างที่ดี
นางยัง…ทำได้ไม่ดีเท่าสาวน้อยหว่านเยียนคนนี้ ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ด้วยซ้ำ เป็นคนผักมาสิบกว่าปี ต้องเจ็บปวดแสนสาหัส
ดังนั้น สิ่งเดียวที่นางทำได้เพื่อหนานหว่านเยียน คือพยายามประคับประคอง ให้การอบรมอย่างเต็มที่ ไม่มีทางเลือกอื่น
หนานหว่านเยียนเข้าใจว่าเท่เฟยต้องการช่วยให้ความสัมพันธ์ของนางกับไทเฮาดีขึ้น แต่นางไม่เคยโกรธเคืองหรือตำหนิไทเฮาเลย
“เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล ข้าเข้าใจทุกอย่าง”
“ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่รั้งกู้โม่หานไว้ แล้วมอบหยุนอี่ว์โหรวให้กับครอบครัวเดิมของนางจัดการหรอก”
ไม่ใช่ว่านางใจดี นางแค่ไม่ต้องการทำร้ายจิตใจของเหล่าไท่ไท่ อีกอย่างนางก็ไม่อยากปล่อยหยุนอี่ว์โหรวไป
เท่เฟยได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางยิ้มอย่างมีความสุข พลางตีหลังมือของหนานหว่านเยียนเบาๆ
“ไม่ใช่จะไม่กำจัดนาง แต่หลังจากที่คลอดเด็กแล้ว เจ้าจะทำอะไรกับนางก็ได้! สำหรับเจ้าโม่หาน…”
เท่เฟยชำเลืองมองสีหน้าของหนานหว่านเยียน หลังจากแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้เกรี้ยวกราด จึงอดถอนหายใจไม่ได้ “เขาเหมือนเด็ก ใจดีเกินไป”
“แต่ว่า สาเหตุที่ทำให้เขามีนิสัยแบบนี้ ยังไงก็หนีข้าไม่พ้น”
หนานหว่านเยียนเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมถึงพูดอย่างนั้น?”
เท่เฟยส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างขมขื่น “ตอนเขาเด็กๆ ข้าสั่งสอนเขา ให้เขามีเมตตาต่อคนรอบข้าง ถึงคนอื่นจะคิดไม่ดี ก็จะไม่พูดให้ร้ายกัน เมื่อพวกข้ามีทุนที่จะแสดงความเก่งกล้าสามารถมากพอ ก็ยังไม่สายที่จะสนองคืนกลับไป”
“จะว่าไปแล้วข้าก็ไร้เดียงสาเกินไป ข้ารู้สึกว่าการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ ไม่ว่าจะเป็นในสังคมใดก็สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้ แต่ว่า…”
นางกำมือแน่น “เจ้าไม่รู้หรอก ก่อนที่ข้าจะเกิดเรื่อง กู้จิ่งซานมักจะมาหาโม่หานบ่อยๆ แต่หลังจากที่ข้าเกิดเรื่อง หวางหมัวมัวบอกว่า กู้จิ่งซานก็ไม่เคยสู้หน้าโม่หานได้อีกเลย”
“ไม่ว่าโม่หานจะทำได้ยอดเยี่ยมเพียงใด เขาก็ไม่สนใจใยดี ถึงขนาดจงใจยั่วยุความสัมพันธ์ของโม่หานกับองค์ชายอื่นๆ อยู่เป็นระยะ
“หวางหมัวมัวกล่าวว่า ครั้งหนึ่งโม่หานและเฉิงอ๋องเคยติดตามกู้จิ่งซานไปล่าสัตว์ด้วยกัน โม่หานพยายามขี่ม้าซอกซอนในป่าทึบอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อล่าสัตว์ให้ได้มากขึ้น แล้วส่งกลับไปให้เสด็จพ่อของเขา”
“แต่นึกไม่ถึงว่า ม้าเกิดอาการตกใจและคลุ้มคลั่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ โม่หานตกลงจากหลังม้า กลิ้งลงมาตามเนินเขา”
“ตอนนั้นเขาอายุเพียงสิบขวบ มีบาดแผลมากมาย ไม่ได้กินไม่ได้ดื่ม เสาะหาทางกลับตามลำพังในป่าเขาที่สลับซับซ้อน ถึงกระนั้น เขาก็ยังพยายามจับกระต่ายมาหลายตัว โดยหวังว่าจะสร้างผลงานให้ประจักษ์”
“แต่กู้จิ่งซานน่ะเหรอ พอได้รู้ว่าโม่หานหายไป ก็ไม่ได้ส่งคนไปตามหาเขา จนกระทั่งกลางดึก โม่หานกำลังจะหมดสติ ถึงพบค่ายที่ตั้งมั่นอยู่ในที่สุด”
“เมื่อโม่หานวิ่งไปหากู้จิ่งซานอย่างมีความสุขพร้อมกับเหยื่อเหล่านั้น กู้จิ่งซานไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา แค่พูดเหน็บแนมว่า ‘เป็นถึงองค์ชาย ลืมตัวเสียกิริยาเยี่ยงนี้ ไม่เหมาะสมนัก’”
“สะใภ้ของข้า ตอนนั้นโม่หานอายุเพียงสิบขวบ เด็กคนหนึ่ง แค่อยากทำให้พ่อมีความสุข เขาผิดตรงไหน…”