ยากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 795
“บัดนี้แวะพำนักอยู่ในศาลาพักม้า”
“เยียนเอ๋อร์ ไม่ว่ารักว่าเจ้ากับฝ่าบาทจะไม่ลงรอยอะไรกัน ก็ปล่อยผ่านไปสักระยะหนึ่งก่อนเถิด วันพรุ่งนี้คณะทูตของต้าเซี่ยเดินทางเข้าวังหลวงแล้ว เจ้ากับฮ่องเต้ต้องแสดงให้พวกเขาได้เห็นถึง พลังอำนาจและความน่าเกรงขามของราชวงศ์แคว้นซีเหย่เรา!”
คณะทูตแคว้นต้าเซี่ยมาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ?!
หนานหว่านเยียนพลันเบิกตากว้างด้วยความตระหนกทันใด
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อใดกัน? ไหนท่านน้าบอกว่าติดต่อกันไม่ได้มิใช่หรือ เหตุใดบัดนี้แม้แต่คนในวังหลวงยังทราบว่าคณะทูตจากต้าเซี่ยมาถึงแล้ว ทว่ากลับกันท่านน้ามิได้รับข่าวความคืบหน้าแม้แต่น้อย?
“เยียนเอ๋อร์?” ไทฮองไทเฮาเห็นหนานหว่านเยียนกำลังใจลอย ก็ส่งเสียงเรียกนางเบา ๆ
หนานหว่านเยียนดึงสติกลับมาทันใด เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองตอบสนองโจ่งแจ้งเกินไป ก็รีบผุดรอยยิ้มอันอ่อนโยนและอบอุ่นขึ้น “เข้าใจแล้วเพคะ วันพรุ่งนี้ข้าจะจัดการทุกสิ่งให้เพียบพร้อม เสด็จย่าอย่าได้กังวลใจเลย”
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วันหนึ่งคณะทูตจากต้าเซี่ยก็ต้องมาถึง!
หวังว่าตอนที่กู้โม่หานทราบฐานะที่แท้จริงของนางแล้ว จะไม่ตระหนกตกใจแล้วกัน
และนางเอง ท้ายที่สุดก็ต้องจากที่แห่งนี้ไปเช่นเดียวกัน…
กู้โม่หานและเสิ่นอี่ว์มาถึงห้องทรงพระอักษรแล้ว
กู้โม่หานวันนี้นับว่าอารมณ์ดีนัก เดินตรงไปนั่งข้างโต๊ะทันที นิ้วเรียวยาวเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ ยกปลายคางขึ้นแทนคำพูดบอกเสิ่นอี่ว์ “เรื่องใด ว่ามา”
เสิ่นอี่ว์เอ่ยทันใด “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้รับข่าวมา ความว่าคณะทูตแคว้นต้าเซี่ยบัดนี้เดินทางมาถึงศาลาพักม้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เดิมพวกเขาต้องการเข้าวัง แต่เพราะวันนี้ท่านมิได้ประทับอยู่ที่วังหลวง กระหม่อมจึงส่งคนไปแจ้งให้พวกเขารับทราบแล้ว พรุ่งนี้เช้า จะไปรับพวกเขาเข้าวังหลวงอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”
เสิ่นอี่ว์ถวายรายงานด้วยสีหน้าราบเรียบ ทว่าในใจกลับประหม่าอยู่เล็กน้อย
ว่ากันว่าคนที่ถูกส่งไปพบคณะทูตวันนี้ ไม่เห็นท่านผู้นั้นนำหน้า ท่าทางลึกลับยิ่งนัก ทำให้พวกเขารู้สึกสงสัยเล็กน้อย
คณะทูตแคว้นต้าเซี่ยมาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ?
กู้โม่หานเลิกคิ้วเล็กน้อย นัยน์ตาสวยงามที่ดำขลับดุจหมึกฮุยโม่ ฉายประกายประหลาดใจขึ้นมาแวบหนึ่ง
เขาหวนคิดถึงทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนแม่ทัพวันนี้ ก่อนนัยน์ตาจะหรี่ลงเล็กน้อย จังหวะที่ปลายนิ้วเคาะหน้าโต๊ะพลันกระชั้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้น กู้โม่หานเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งด้วยเสียงเรียบ “ข้าทราบแล้ว เจ้าจงไปสั่งให้คนเตรียมความพร้อมให้ดี นี่เป็นเป็นครั้งแรกที่แคว้นต้าเซี่ยส่งคณะทูตมาเยือนแคว้นซีเหย่ จะสะเพร่าไม่ได้เด็ดขาด”
เสิ่นอี่ว์ผงกศีรษะด้วยความนอบน้อม “กระหม่อมเข้าใจแล้ว พ่ะย่ะค่ะ!”
เขาเพิ่งคิดว่าจะออกไป กลับเห็นกู้โม่หานกำลังจมดิ่งในห้วงความคิด คล้ายว่ายังมีบางอย่างที่พูดไม่หมด เขาจึงเอ่ยปากถามไปประโยคหนึ่ง “ฝ่าบาท ยังมีเรื่องใดประสงค์รับสั่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
กู้โม่หานคิดถึงบรรดาสาวใช้และบ่าวรับใช้กลุ่มนั้นที่หอย่างหมิงวันนี้ ก็เอ่ยถามขึ้นคล้ายมีความคิดบางอย่าง
“คราแรกที่เจ้าไปสืบเรื่องโม่หวิ่นหมิง ได้ทราบหรือไม่ว่าเบื้องหลังฐานะของเขามีสิ่งใดผิดปกติ?”
พวกคนที่หอน้ำชากลุ่มนั้นดูมิใช่คนธรรมดา แต่ละคนมีวิทยายุทธชั้นสูง หากเป็นสามัญชนทั่วไปไม่มีทางเรียกใช้คนกลุ่มนี้ได้โดยเด็ดขาด หากจะบอกว่าเบื้องหลังโม่หวิ่นหมิงผู้นั้นไร้อิทธิพลอำนาจ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเขาก็ไม่มีวันเชื่อ
เสิ่นอี่ว์กลับมองกู้โม่หานอย่างประหลาดใจ
“ฝ่าบาท ตอนแรกกระหม่อมทำหน้าที่ตามพระบัญชาของท่านทุกประการ สืบเรื่องท่านน้าและพระมารดาผู้ให้กำเนิดฮองเฮาเหนียงเหนียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ก็พบเพียงว่าพระมารดาของฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นเศรษฐีคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่มาถึงแคว้นซีเหย่ใหม่ ๆ ก็สร้างแรงสั่นสะเทือนให้คนมาสนใจไม่น้อย ส่วนท่านปู่หมิงคนนั้น ก็พบว่าอยู่ด้วยกันกับพระมารดาของฮองเฮาเหนียงเหนียงที่เมืองหลวงนี้พ่ะย่ะค่ะ ตอนนั้นเขายังอายุน้อยมาก มิได้มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ เป็นน้องชายบุญธรรมที่เรียบร้อยเชื่อฟังคนหนึ่งเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เรื่องเหล่านี้ ฝ่าบาทก็ทราบตั้งแต่แรกแล้วมิใช่หรือ วันนี้เหตุใดอยู่ดีๆ ถึงได้ถามขึ้นมาอีก?
หรือฝ่าบาทจะเห็นบางสิ่งไม่ชอบมาพากลแล้ว?
“ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ…” กู้โม่หานหลุบตาลง พึมพำประโยคนี้ออกมาด้วยเสียงเบาหวิว ทว่าสายตากลับดุดันน่าเกรงขามไร้ความอ่อนโยน
“เจ้าจงสั่งคนไปจับตาดู ‘หอย่างหมิง’ ในเมืองหลวงไว้ ไม่ว่ามีสิ่งใดผิดไปจากปกติ จงเร่งกลับมารายงานข้าทันใด”
“และทุกคนที่เข้าออกภายในนั้น จงเพิ่มกำลังตรวจสอบและเฝ้าจับตาดูอย่างเข้มงวด”
ไม่ทราบว่าเหตุใด นับแต่ออกจากหอย่างหมิงมาวันนี้ ในใจเขามีความรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงบางอย่างอยู่ตลอด
บางทีสั่งให้คนเฝ้าจับตาดูไว้สักหน่อย อาจจะพอทำให้จิตใจสงบลงได้บ้าง
เสิ่นอี่ว์เห็นสีหน้าของเขาเคร่งขรึมน่าเกรงขาม ก็สนองพระบัญชาด้วยความเคร่งขรึมเช่นกัน “กระหม่อมรับทราบขอรับ จะส่งคนไปเฝ้าจับตาดูเดี๋ยวนี้ ขอฝ่าบาทโปรดวางใจ!”
สิ้นเสียง เสิ่นอี่ว์ก็ล่าถอยออกไป
จากนั้นภายในห้องทรงพระอักษรก็กลับมาเงียบสงัดลงอีกครั้งกู้โม่หานพลิกอ่านหนังสือฎีกาในมือ ทว่าภาพบางอย่างกลับปรากฏขึ้นในความคิดหลายครั้ง เป็นภาพในวันนี้ที่เขาได้เล่นสนุกกับหนานหว่านเยียนและเจ้าซาลาเปาน้อยที่นอกวังหลวง
เสียงเรียกอ้อแอ้น่าเอ็นดูของบุตรี ไหนจะดวงหน้าเปื้อนรอยยิ้มที่ยากจะได้เห็นสักครั้งของหนานหว่านเยียน คล้ายกับว่าสลักลึกอยู่ในจิตใจของเขาก็ไม่ปาน บุรุษเผลอกระตุกมุมปากยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หากได้ใช้ชีวิตอบอุ่นหวานชื่นเช่นนี้ไปทุกวัน จะดีแค่ไหนกันนะ
ขณะเดียวกันท้องฟ้ายามนี้มืดสนิทแล้ว ภายในห้องทรงพระอักษรเองจุดตะเกียงให้แสงสว่างแล้ว ลำแสงสาดสะท้อนบนดวงหน้าคมคายขาวสะอาดของกู้โม่หาน คล้ายกับถูกปกคลุมด้วยหมอกเมฆหนาทึบชั้นหนึ่ง งามล้ำจนสะกดให้คนเคลิบเคลิ้มหลงใหล
เฉินกงกงที่เข้ามาส่งพระกระยาหารค่ำเมื่อครู่เห็นเขาผุดยิ้มเช่นนั้น ในใจพลันสงบลงไม่น้อย
หากยังไม่ทราบ ตอนที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงยังไม่กลับมา ห้องทรงพระอักษรในแต่ละวัน หากมิใช่ภูเขามีดก็เป็นทะเลเพลิง! วันนี้สถานการณ์นับว่าดีขึ้นมากทีเดียว
เฉินกงกงถวายถวายพระกระยาหารค่ำด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มทะเล้น “ฝ่าบาท ท่านควรเสวยพระกระยาหารค่ำ วันนี้ห้องพระเครื่องต้น ตั้งใจปรุงน้ำแกงเห็นหูหนูขาวแช่เย็นถวายฝ่าบาทเป็นพิเศษด้วย บ่าวตักมาให้ท่านได้ลิ้มรสถ้วยหนึ่งด้วยพ่ะย่ะค่ะ?”
กู้โม่หานเพิ่งรู้สึกตัวว่าบัดนี้ดึกมากแล้ว หัวคิ้วพลันขมวดขึ้นเล็กน้อย “เดี๋ยวข้ากินเอง ไปที่ห้องพระเครื่องต้นก่อน”
สิ้นเสียงเขาก็เตรียมลุกขึ้นทันใด มิหนำซ้ำยังตั้งใจเอ่ยถามประโยคหนึ่งขึ้นมา “ทางฮองเฮา มีรับสั่งว่าต้องการเสวยสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่?”
เฉินกงกงเข้าใจในทันที ที่แท้ฝ่าบาทประสงค์จะลงมือทำอาหารให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงด้วยพระองค์เอง
ทันใดนั้นเขาพลันเอ่ยขึ้นด้วยความประหม่า “ฝ่าบาท บังเอิญจริงเชียว ฮองเฮาเหนียงเหนียงเพิ่งจะไปร่วมเสวยพระกระยาหารค่ำที่ตำหนักไทฮองไทเฮาแล้วเมื่อครู่นี้เอง เหตุนี้ จึงมิได้รับสั่งสิ่งใดที่ห้องพระเครื่องต้นเลยพ่ะย่ะค่ะ….”
เสด็จย่าให้หนานหว่านเยียนไปร่วมเสวยพระกระยาหารหรือ?
คิ้วรูปดาบของกู้โม่หานเคร่งขรึมลง แต่ในเมื่อหนานหว่านเยียนเสวยพระกระยาหารค่ำแล้ว เขาก็มิได้ดึงดัน เพียงแต่สะบัดแขนเสื้อก็นั่งลงดังเดิม “จัดอาหารเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!” เฉินกงกงรับคำอย่างยินดี ก่อนจะจัดแจงปรนนิบัติกู้โม่หานเสวยพระกระยาหาร
อีกด้านหนึ่ง ขณะที่หนานหว่านเยียนกำลังเสวยพระกระยาหารค่ำร่วมกับไทฮองไทเฮา ก็ได้ยินไทฮองไทเฮาเอ่ยเรื่องหนึ่งลอย ๆ ขึ้นมา
กล่าวว่าหยุนอี่ว์โหรวบัดนี้ถูกไทฮองไทเฮาลงโทษกักบริเวณในตำหนักเย็นที่อยู่ห่างไกลและกันดาร มีองครักษ์คอยเปลี่ยนเวรเฝ้าจับตาดูตลอดทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดพัก ไม่มีทางรอดพ้นจากสายตาของนางไปไหนได้อย่างเด็ดขาด
หนานหว่านเยียนได้ยินเช่นนั้น ก็เสวยพระกระยาหารค่ำอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะทูลลากับไทฮองไทเฮา และจากนั้นก็กลับตำหนักหยูซิน
ขณะที่หนานหว่านเยียนกลับตำหนักบรรทม เกี๊ยวน้อยเสวยพระกระยาหารค่ำเรียบร้อยและเข้าบรรทมแล้ว ฟังว่าดรุณีน้อยท่องจำตำราทั้งวัน เหตุนี้ถึงได้ง่วงเหงาหาวนอนตั้งแต่หัววัน
นางเข้าบรรทมกับเกี๊ยวน้อยครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้เซียงอวี้และเซียงเหลียนปรนนิบัติต่อ ส่วนตนเองก็ลุกไปเตรียมตัวอาบน้ำชำระร่างกาย
เหน็ดเหนื่อยมาหนึ่งวันเต็มแล้ว นางอ่อนเพลียเต็มที ยามนี้ตั้งใจจะอาบน้ำชำระร่างกายสดชื่นสักหน่อยก่อนแล้วรีบเข้าบรรทมเร็วขึ้นสักนิด ไว้พรุ่งนี้มาถึงเมื่อใด จะได้ไปต้อนรับคณะทูตที่เดินทางมาจากแคว้นต้าเซี่ย
ไม่ทราบว่า เสด็จพี่ตระเตรียมมารับนางกลับไปในวันรุ่งขึ้นเลยหรือเปล่า…
ภายในอ่างแช่ตัว ไอร้อนลอยกรุ่นทั่วผิวน้ำ หนานหว่านเยียนหย่อนกายลงในน้ำร้อน เอนหลังพิงขอบอ่าง พลางหลับตาลงอย่างสบายใจ
“เซียงอวี้ ช่วยนวดไหล่ให้ข้าหน่อย”
“เพคะ เหนียงเหนียง” เซียงอวี้รับคำด้วยเสียงแผ่วเบา หนานหว่านเยียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังประชิดเข้ามา หลังจากนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงฝ่ามืออบอุ่นที่กอบกุมหัวไหล่ของนางไว้ บีบนวดไล้ขึ้นมาอย่างแช่มช้าบนลำคอสองข้างของนาง
ดวงหน้าขาวบริสุทธิ์ไร้ตำหนิของนางปรากฏความสบายใจ แช่กายลงในอ่างน้ำ ส่งเสียงครางฮือในลำคอออกมาอย่างสบายใจ
แรงนวดนั้นกำลังดี หนานหว่านเยียนรู้สึกว่าวันนี้เซียงอวี้พัฒนาขึ้นมาก แทบจะเทียบชั้นอาจารย์เฉพาะทางได้แล้ว
ทว่านางกลับไม่เคยสังเกต ในยามที่นางส่งเสียงครางเบาๆ ออกมา สองมือบนหัวไหล่ของนางกำลังสั่นไหวเบาๆ โดยไม่อาจสังเกต ฝ่ามือของคนผู้นั้น ยังค่อย ๆ ร้อนผ่าวขึ้นมาทีละน้อย
หนานหว่านเยียนเปลี่ยนท่าทางอย่างสบายใจ ยกสองขาเรียวเนียนนุ่มขึ้นจากผิวน้ำ ก่อนจะวางพาดไว้ข้างอ่างเบาๆ
แรงบนหัวไหล่คล้ายกับหนักขึ้นกะทันหัน แต่กระนั้นก็ยังสบายมาก หนานหว่านเยียนหลับตา ก่อนจะเอ่ยปากชื่นชมอย่างใส่ใจ “เซียงอวี้ ฝีมือเจ้านับวันยิ่งพัฒนาขึ้นจริงๆ มีความสามารถนี้ติดตัว จะเปิดร้านสักร้านหนึ่งในเมืองหลวง ก็เป็นเรื่องสบาย ๆ เชียว”
คนด้านหลังมิได้ตอบโต้ หนานหว่านเยียนพลันฉุกคิดขึ้นได้ว่าอีกไม่นานตนเองก็ต้องจากที่แห่งนี้ไป และจากนี้ ก็คงไม่ได้เจอกับพี่หญิงน้องหญิงสองคนอีกแล้ว
ทว่าทั้งพี่หญิงและน้องหญิงซื่อสัตย์และจริงใจกับนางมาตลอด หากว่านางต้องไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพี่หญิงน้องหญิงทั้งสองนี้จะต้องไปปรนนิบัติรับใช้ผู้ใด
นางเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาออกไป “เซียงอวี้ เจ้ากับเซียงเหลียน เคยคิดอยากจะออกจากวังบ้างหรือไม่?”
ยามนี้ คนด้านหลังพลันชะงักงันไป แต่กระนั้นก็ยังไม่ส่งเสียงตอบใดกลับมา
หนานหว่านเยียนอดสงสัยไม่ได้ ในจังหวะที่ลืมตาขึ้นและหมายจะหันศีรษะกลับไปมอง ข้างใบหูพลันมีเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าดังขึ้นมา…