เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก
การที่นางเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ มิว่านางรุกรานใครก็ตามโดยมิได้ตั้งใจก็ล้วนเป็นคนใหญ่คนโต คนที่อยากจะทำให้นางอับอายขายหน้า พวกคนที่ต้องการฆ่านางก็สามารถฆ่าได้โดยมิต้องกังวลการละเมิดกฎหมายเลย
ทั้งตงหลิงจื่อลั่ว ทั้งฮองเฮา ทั้งซูเหวินชิง และบัดนี้ยังมีผู้ตรวจการแห่งซุ่นเทียนฝู่อีก
นางช่างโชคร้ายจริงที่ทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคืองเช่นนี้
อ๊าก……
เฟิ่งชิงเฉินอยากจะฆ่าคนเหลือเกินตอนนี้
โจวสิงมิได้สังเกตความโกรธของเฟิ่งชิงเฉิน บัดนี้ใบหน้าของเขาแดงเรื่อร้อนไปถึงหู ดวงตาของเขาเป็นประกายแต่มิกล้ามองเฟิ่งชิงเฉิน เขาเพียงส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ “ข้า ข้า ข้ามิรู้”
ในเวลานี้ โจวสิงเพิ่งจะนึกได้ถึงเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉินที่หน้าประตูเมืองเมื่อมิกี่วันก่อน
มิใช่ว่าโจวสิงจำมิได้ เพียงแต่การปรากฏตัวที่มั่นใจในตัวเองของเฟิ่งชิงเฉินทำให้มิอาจเชื่อมโยงนางกับ “คุณหนูเฟิ่ง” ที่มีข่าวลือได้เลย
มิมีสตรีคนไหนที่สามารถหัวเราะโลดเต้นได้เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้ เฟิ่งชิงเฉินคนนี้เป็นคนแปลกแตกต่างจริงๆ
โจวสิงพยักหน้าอย่างจริงจังเพื่อยืนยันสิ่งที่เขากล่าว แต่เมื่อเขาเดินมาถึงจุดสุดยอดของชีวิตและมองย้อนกลับไปในอดีต เขาจึงได้ตระหนักว่าการประเมินเดิมของเขานั้นต่ำเกินไป เฟิ่งชิงเฉินมิใช่คนแปลก แต่นางคือสัตว์ประหลาดต่างหาก
เมื่อพบเรื่องเหล่านี้แต่เช้าตรู่ แม้เฟิ่งชิงเฉินจะใจกล้าแค่ไหนก็ต้องระมัดระวัง แต่เมื่อเห็นท่าทางที่เป็นห่วงของตนของโจวสิง เฟิ่งชิงเฉินก็ปลอบเขาว่า “มิต้องกังวลไป มิเป็นไรหรอก ให้พวกเขารอข้าสักครู่ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะออกไป”
แม้จะขายหน้าต่อคนในตระกูลได้ แต่จะทำขายหน้าต่อคนอื่นมิได้
นางปฏิบัติต่อโจวสิงเป็นครอบครัวของนางคนหนึ่ง
“ตกลง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” โจวสิงเหลือบมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างกังวลแล้ววิ่งออกไปรวดเร็วราวกับแมลงวัน
ในเวลาเดียวกัน เขาก็แอบตัดสินใจในใจว่าต้องซื้อบ่าวรับใช้สักคน มิฉะนั้นเขาคงมิกล้ามาที่เรือนด้านในอีก
เฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าของนางเรียบร้อย เมื่อนางมาถึงห้องโถงก็เห็นคนรู้จักเข้าสองคน “อ้าว เป็นพวกเจ้าอีกแล้ว?”
“หึๆ!” เจ้าหน้าที่ทั้งสองยิ้มและลุกขึ้นทันที
สองคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ซึ่งเดินทางมาจวนเฟิ่งในวันนั้นเพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินไปรับศพบ่าวรับใช้
“มีเรื่องใดงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพยายามสงบสติอารมณ์
จะทำเช่นไรได้ เมื่อมองไปที่เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินเดาว่าตนคงเดาผิดไป หากเป็นบิดาของคุณชายเหยียนจริง พวกเขาทั้งสองจะสึภาพเช่นนี้หรือ?
ตงหลิงจื่อลั่ว ข้าขอโทษ ข้าเพิ่งเข้าใจเจ้าผิดไป
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวในใจอย่างเงียบๆ
ฮัดชิ้ว!
ด้านนอกวังหลวง ตงหลิงจื่อลั่วยืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนเอามือถูจมูกของเขา
“ท่านอ๋อง?” ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างหลังเขาหันไปทางด้านข้างเพื่อคุ้มกันอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ทำท่าทางตื่นตระหนก
แม่ทัพอวี่เหวินเอาชนะราชวงศ์หนานหลิงและกลับมาอย่างมีชัย วันนี้เขาได้ย้ายกลับไปมายังราชวงศ์ เสด็จอาเก้าได้นำขุนนางและทหารออกมาต้อนรับเขาที่นอกประตูเมือง
หากมีสิ่งใดผิดพลาดในเวลานี้ขึ้นมาก็จะเป็นการมิเคารพต่อผู้ทำผลงาน หากขุนนางเหล่านั้นมีส่วนร่วมในการยื่นหนังสือคำร้อง แม้แต่องค์ชายคนโปรดของจักรพรรดิก็มิสามารถทำให้เขาพอใจได้
“มิเป็นไร” ตงหลิงจื่อลั่วโบกมือขึ้น เขาคิดในใจว่าตนมิได้เจ็บป่วยแต่อย่างใด คาดว่าคงจะมีคนด่าเป็นแน่
จากนั้นเงาของเฟิ่งชิงเฉินก็ปรากฏขึ้นในใจของตงหลิงจื่อลั่วขึ้นอย่างบังเอิญ
เมื่อตงหลิงจื่อลั่วคิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกว่าความเป็นไปได้สูงนัก ผู้ส่งสารเข้ามารายงานว่ากองทัพของแม่ทัพอวี่เหวินยังอยู่ห่างจากประตูเมืองถึงยี่สิบลี้
ตงหลิงจื่อลั่วรีบยืดกายทำให้จิตใจสงบ
……
เฟิ่งชิงเฉินนั่งอย่างสงบบนที่เก้าอี้ตำแหน่งเจ้าบ้าน นางหยิบถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะและยกดื่ม มิคิดว่าเรื่องที่ขุนนางสองคนนี้เดินทางมาจะเป็นเรื่องใหญ่
โจวสิงพยักหน้าเบาๆ สตรีนางนี้มีจิตใจแข็งแกร่งยิ่งนัก แม้นางจะกังวลว่าผู้ตรวจการแห่งซุ่นเทียนฝู่จะสร้างปัญหาให้กับนาง แต่นางก็ดูมิได้ตกใจเลย
หากเขามีทัศนคติเช่นเฟิ่งชิงเฉินสักหน่อย บางทีเขาอาจจะมิตกต่ำมาถึงจุดนี้
เฮ้อ อนิจจา……เวลาชีวิต
โจวสิงส่ายหัวและถอยห่างออกไปเงียบๆ ในฐานะคนธรรมดา เขายังคงค่อนข้างมีแรงกดดันทางจิตใจที่ต้องพบขุนนาง
“เจ้าบอกว่ามีเรื่องรีบเร่งมิใช่หรือ มีเรื่องใดจะสนทนากับข้าเล่า?” เฟิ่งชิงเฉินเริ่มสนทนาเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทั้งสองมิเอ่ยสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน
เจ้าหน้าที่ทั้งสองมองกันไปมา คนที่ดูมีอายุมากกว่าลังเลและยืนขึ้นว่า “คุณหนูเฟิ่งขอรับ ที่ข้าน้อยเดินทางมาที่นี่ครั้งนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากคุณหนูเฟิ่ง”
“ช่วยหรือ? มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ
แต่ถึงอย่างนั้น ในใจของนางก็อดมิได้ที่จะถอนหายใจออกมา
มองดูแล้ว บิดาของคุณชายเหยียนคงมิกล้าพอที่จะมาหาเรื่องนาง ดังนั้นตงหลิงจื่อลั่วจึงนับว่ามีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าง
ฮัดเช้ย!
ลั่วอ๋องพบกับความเศร้าเข้าอีกครั้ง
สีหน้าของเจ้าหน้าที่ทั้งสองเริ่มเปลี่ยนสี แล้วเล่าออกมาอย่างตะกุกตะกัก
ที่แท้ เมื่อเช้าวันนี้ซุ่นเทียนฝู่ได้รับแจ้งคดีฆาตกรรม ซื่อจ่างจื่อของบ้านรองตระกูลเซี่ยที่มีอายุได้เพียงสองเดือนเสียชีวิตลง ผู้ต้องสงสัยก็คือภรรยาหลวงของบ้านรอง
ที่เรียกว่าซื่อจ่างจื่อก็คือบุตรที่มิได้เกิดมาจากภรรยาหลวง แต่เป็นบุตรชายคนแรกที่เกิดจากอนุภรรยา
บรรดาบ้านใหญ่มิอาจรับได้กับบุตรชายของอนุภรรยา จึงได้เกิดการฆาตกรรมอันน่าสลดใจของครอบครัวใหญ่ขึ้น
แม้ว่าบ้านรองของตระกูลเซี่ยจะมิมีอำนาจใดมากมายนัก แต่ตระกูลเซี่ยก็นับว่าเป็นตระกูลที่มีอายุนับร้อยปี ซึ่งมีอายุมากกว่าราชวงศ์ตงหลิงเสียอีก เพราะก่อตั้งขึ้นไม่ถึงหนึ่งศตวรรษ
แม้ว่าตระกูลเช่นนี้จะค่อนข้างถ่อมตน แต่ก็มีอำนาจมิน้อย มีช่องทางการติดต่อในทุกสาขาอาชีพ นอกจากตระกูลเซี่ยแล้วยังมีตระกูลหวังในราชวงศ์ตงหลิงที่ค่อนข้างเก่าแก่
ทั้งสองตระกูลเซี่ยและตระกูลหวัง ล้วนให้การเลี้ยงดูบุตรชายหญิงมิแตกต่างจากองค์หญิงและองค์ชายเลย
เจ้ากรมคลังแห่งราชวงศ์ตงหลิงก็เป็นคนจากตระกูลเซี่ย หนึ่งในสี่ของเสียนเฟยก็มาจากตระกูลเซี่ย
ดังนั้นเมื่อมีการรายงานคดีเข้ามา ผู้ตรวจการซุ่นเทียนฝู่จึงเริ่มการพิจารณาคดีในทันที แต่หลังจากการพิจารณาคดีอยู่เนิ่นนานก็มิมีผลใดๆ
อนุภรรยายังคงยืนยันว่าคนสุดท้ายที่เห็นเด็กน้อยคือภรรยาหลวง หมอก็ให้การว่าเด็กมีสุขภาพแข็งแรงดี จากการชันสูตรศพพบว่าเด็กขาดอากาศหายใจตาย
จากหลักฐานและพยานทั้งหมดคาดว่าคงจะครบถ้วนแล้ว แต่ภรรยาหลวงมิยอมรับ แม้จะถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆ ก็ตาม สตรีที่อ่อนแอถูกทุบตีเสียจนเหลือลมหายใจเพียงอึดใจเดียว แต่นางก็ยังคงปฏิเสธที่จะรับผิด
ส่วนอนุภรรยาเองก็มิใช่คนที่มิมีภูมิหลัง นางเป็นญาติสายรองของตระกูลหวัง เมื่อเกิดเรื่องขึ้น สาวรับใช้ของนางก็ได้เดินทางไปหาคนในตระกูลหวังมาช่วยเหลือ
บัดนี้บรรยากาศครึกครื้นยิ่งนัก
คดีการเสียชีวิตของคนคนหนึ่งกลายมาเป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างตระกูลหวังและตระกูลเซี่ย
บัดนี้ผู้ตรวจการซุ่นเทียนฝู่ปวดศีรษะยิ่งนัก เขาต้องการจะเข้าไปรายงานเรื่องนี้ในวัง แต่เมื่อนึกได้ว่าวันนี้แม่ทัพอวี่เหวินจะเดินทางกลับราชวงศ์ หากเข้าไปรายงานเรื่องนี้ในตอนนี้ คาดว่าหมวกประจำตำแหน่งที่เพิ่งจะได้รับมาคงจะหลุดจากศีรษะเอาได้
บัดนี้เขาก็มิรู้ว่าต้องทำอย่างไร จู่ๆ ลูกน้องของเขาก็กล่าวถึงเฟิ่งชิงเฉินขึ้นมา และอธิบายรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องเก็บศพวันนั้น
เรื่องนี้ซูเหวินชิงได้กำชับเอาไว้ว่าห้ามเผยแพร่ออกไปเด็ดขาด
แต่คำกำชับอยู่ส่วนกำชับ โอกาสดีเช่นนี้พวกเขาจะปล่อยไปได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ดูเหมือนว่าผู้ตรวจการซุ่นเทียนฝู่จะจับฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ จึงรีบสั่งเจ้าหน้าที่ไปขอร้องให้เฟิ่งชิงเฉินช่วย
เขากำชับย้ำว่าให้สุภาพต่อนาง และเชิญตัวนางมาให้ได้
“ผู้ตรวจการซุ่นเทียนฝู่ของพวกเจ้าแซ่อะไร?” หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็เอ่ยถามคำถามที่มิเกี่ยวข้องกันเลยสักน้อย
แม้ว่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองจะแปลกใจ แต่ก็ยังคงตอบกลับอย่างเหมาะสมว่า “เขาแซ่เว่ย นามว่าเสวียเหลียง……”
“เอาละ มิต้องบอกแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินโบกมือของนางขึ้นทันทีที่ได้ยินว่ามิใช่แซ่หยวน
“ใต้เท้าเว่ย? เขาเป็นผู้ตรวจการแห่งซุ่นเทียนฝู่ตั้งแต่เมื่อไร?”
“เมื่อห้าวันก่อน ผู้ตรวจการซุ่นเทียนฝู่ก่อนหน้านี้คือท่านเหยียน เขาถูกปล่อยตัวออกไป” เจ้าหน้าที่คาดเดาได้ถึงความคิดนางจึงอธิบายในสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการรู้อย่างรวดเร็ว
“อ้อ……” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าแล้วยืนขึ้น ยกมือคำนับไปยังเจ้าหน้าที่ทั้งสอง “ท่านทั้งสอง ข้าเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้แล้ว แต่ข้าต้องขออภัยด้วย ข้ามิอาจช่วยได้ ข้ามิใช่ผู้พิสูจน์ศพ เรื่องของคุณชายรองตระกูลซูนั้นเป็นเพียงความบังเอิญ ท่านทั้งสองขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ ข้าคงมิสะดวกไปส่ง”
นางเป็นศัลยแพทย์ไม่ใช่นิติเวช นางรักษาเฉพาะโรคและช่วยเหลือผู้คน แต่ไม่ได้ดำเนินการชันสูตรพลิกศพ
ผู้คนทั่วไปยังมีชีวิตอยู่ หากเดินทางไปรักษาคงมิมีปัญหา แต่หากว่าตายไปแล้วนางจะไปช่วยอะไรได้?
นอกจากนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้คงทั้งเหนื่อยยากและไร้ผลดี มิว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร นางก็จะทำให้ฝ่ายหนึ่งขุ่นเคืองอยู่ดี
ใต้เท้าเว่ยที่เพิ่งถูกแต่งตั้งใหม่คงมิกล้าทำให้ตระกูลเซี่ยและตระกูลหวัง ดังนั้นจึงปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนเข้ามาจัดการ
เหอะๆ……คิดว่าตัวนางเฟิ่งชิงเฉินเป็นคุณหนูไร้สมองหรืออย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินกลอกตาด้วยความโกรธ
เรื่องในวันนี้ ต่อให้ตายนางก็มิอยากจะเข้าไปพัวพันด้วย หากมิระวังเข้าอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้
น่าเสียดายที่สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มิได้เป็นไปตามที่เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจ……
บทที่ 26 วุ่นวาย
บทที่ 28 น้ำลาย