นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 105 หวังจิ่นหลิงกลับมามองเห็นอีกครั้ง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 105 หวังจิ่นหลิงกลับมามองเห็นอีกครั้ง

มีดสีขาวแทงเข้าไป มีดสีแดงถูกดึงออกมาโดยไม่กะพริบตา

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตั้งใจที่จะเลี่ยงอวี่เหวินหยวนฮั่วเลย

ในเมื่อเขาเป็นเพื่อน มีบางสิ่งที่ให้เขารู้ได้…

เคร้ง…

กระสุนเปื้อนเลือดถูกผ่าออกมา เฟิ่งชิงเฉินหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ออกมาเช็ดเลือดที่ติดอยู่ออก

ปากของอวี่เหวินหยวนฮั่วอ้าค้างเป็นรูปตัว O

หญิงสาวผู้นี้จะรุนแรงเกินไปแล้ว

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้า…”

ไม่น่าขยะแขยงหรือ

เจ้ายังเป็นผู้หญิงอยู่หรือไม่?

มิน่าเล่า ลั่วอ๋องถึงไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ ใครจะกล้าแต่งงานกับหญิงที่ดุร้ายขนาดนี้ หากคืนหนึ่งนอนหลับอยู่ดีๆ เดี๋ยวจะถูกหญิงสาวข้างกายแทงด้วยมีด

เมื่อคิดเช่นนี้อวี่เหวินหยวนฮั่วก็รู้สึกชาไปทั้งตัว

“ฟุ่บ…” เฟิ่งชิงเฉินเอามีดแทงเข้าไปพลางเงยหน้าขึ้นมองอวี่เหวินหยวนฮั่วแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่ทัพอวี่เหวินอยากรู้อะไร? ข้ายินดีที่จะบอก”

นางเคลื่อนไหวโดยไม่ต้องมองมือเลยแม้แต่น้อย

เมื่อมีเสียงดังขึ้น กระสุนก็พุ่งออกมา

อวี่เหวินหยวนฮั่วก้าวถอยหลังราวกับว่าเขาไม่รู้จักเฟิ่งชิงเฉิน

สายตาขององค์ชายเก้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!

หญิงผู้นี้ เขาไปทำให้ขุ่นเคืองไม่ได้เลยเชียว

อวี่เหวินหยวนฮั่วโยนคบเพลิงให้ทหารข้างกายแล้วจึงหมุนตัวจากไป

ในช่วงสามวันนี้ นอกจากเฟิ่งชิงเฉินที่สงบนิ่ง ทุกคนต่างก็กังวลเกี่ยวกับดวงตาของหวังจิ่นหลิงและยังกังวลว่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีกด้วย

คนตายไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเมืองหลวงแห่งนี้สักหน่อย

ด้านนอกจวนเฟิ่งมีผู้คนมาสอบถามข่าวคราวทุกวัน แต่ในจวนเฟิ่งได้รับการคุ้มกันแน่นหนาราวกับถังเหล็กโดยอวี่เหวินหยวนฮั่ว น้ำไม่สามารถเทลงไปได้และเข็มก็ไม่สามารถแทงเข้ามาได้

ด้วยเหตุนี้ฮองเฮาจึงทรงกริ้วจนแทบจะกระอักเลือด

ตอนนี้นางจึงได้เข้าใจว่านางเต้นไปตามทางขององค์ชายเก้าจึงได้ไปร้องไห้กับองค์จักรพรรดิ ไม่เพียงแต่นางจะไม่ได้รับประโยชน์อันใด แต่นางยังปล่อยให้เขาได้ทีให้อวี่เหวินหยวนฮั่วอ้างการเฝ้าระวังมาใช้ปกป้อง

เมื่อสถานการณ์กลายเป็นแบบนี้ ฮองเฮาเองก็คาดไม่ถึง นางกำนัลก็ไม่กล้าพูดอะไรสักคำเพราะกลัวว่าจะถูกลงโทษหากไม่ระวัง

เมื่อเห็นตงหลิงจื่อลั่ว นางกำนัลก็ก้าวเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้นกว่าเดิมถึงสิบเท่า

“ท่านอ๋องมาแล้วหรือ”

“ท่านอ๋อง…”

ดูเหมือนเหล่านางกำนัลจะพบผู้ช่วยชีวิต

ตงหลิงจื่อลั่วโบกมือเป็นสัญญาณให้พวกนางถอยออกไป ใบหน้าหล่อเหลาของเขาดูเหนื่อยล้า

ไม่มีทางอื่น เสด็จแม่และน้องสาวของเขาล้วนไม่ทำตัวให้วางใจ

ไม่สำคัญว่าจะลงมือหรือไม่ แต่ยามที่ลงมือก็ต้องทำลายหลักฐานให้สิ้น หากปล่อยให้อีกฝ่ายจับได้ต้องยุ่งยากมากแน่

เมื่อนึกถึงหลักฐานที่เสด็จอาเก้านำมามอบให้เขา ตงหลิงจื่อลั่วก็รู้สึกได้ถึงความไร้อำนาจอย่างลึกซึ้ง

หากให้เสด็จพ่อรู้เข้า เสด็จแม่และน้องหญิงก็คง?

ตงหลิงจื่อลั่วถอนหายใจและเดินเข้าไปในตำหนักชั้นในเพื่อพูดคุยเสด็จแม่ของเขาให้ดี คนบางคนก็ไม่คุ้มกับการจัดการ ได้ไม่คุ้มเสีย!

ภายใต้ใบหน้าเยือกเย็นของเฟิ่งชิงเฉินและการดูแลเอาใจใส่ของสาวใช้ตระกูลหวัง การฟื้นตัวหลังผ่าตัดของหวังจิ่นหลิงนั้นดีมาก

ในที่สุดวันนี้ก็สามารถแกะผ้าก๊อซออกได้

แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าดวงตาของหวังจิ่นหลิงจะสามารถมองเห็นได้อย่างแน่นอน แต่…

ตระกูลหวังก็ยังคงไม่สบายใจอยู่มาก พวกเขาเปิดศาลบรรพชนตั้งแต่เช้า หวังซู่นำลูกหลานตระกูลหวังจำนวนกว่าร้อยคนไปสักการะขอให้บรรพบุรุษตระกูลหวังดลบันดาลให้เขาสามารถกอบกู้ความรุ่งโรจน์ในอดีตกลับคืนมาได้

ต้องรู้ว่าการเปิดศาลบรรพชนนั้นเป็นงานใหญ่ ตระกูลใหญ่เช่นตระกูลหวังนั้นจะไม่เปิดเว้นแต่จะมีงานใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งตระกูล นอกจากการบูชาประจำปี

จะเห็นได้ว่าตระกูลให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับวันนี้ อย่างไรก็ตามดวงตาของหวังจิ่นหลิงนั้นเกี่ยวข้องกับเกียรติยศและหน้าตาของตระกูลหวังอย่างใกล้ชิด

หลังจากบูชาบรรพบุรุษแล้ว หวังซู่ก็มาที่จวนเฟิ่งแต่เช้าและตรงไปยังห้องพักชั่วคราวของหวังจิ่นหลิง

ในช่วงสามวันที่ผ่านมา หวังซู่นับว่าได้เดินในจวนเฟิ่งจนทั่วแล้ว

ห้องของหวังจิ่นหลิงเต็มไปด้วยผู้คนแล้ว

ซูเหวินชิง หวังชี โจวสิง อวี่เหวินหยวนฮั่ว แม้แต่คุณชายสามแห่งตระกูลเซี่ยก็อาศัยความสัมพันธ์กับหวังชีมาติดตามอย่างใกล้ชิด

ที่จริงเซี่ยซายรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้ยินเรื่องน่าขยะแขยงที่ตระกูลเซี่ยทำกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาไม่อาจแทรกแซงได้ ที่เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ แต่ได้ผลไม่ค่อยดีนัก

แม้แต่หวังชีก็ไม่ได้สนใจเขามากนัก เขาจึงทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องเท่านั้น

แต่เมื่อคิดว่านอกประตูจวนเฟิ่งมีหมอชื่อดังจำนวนมากรออยู่ข้างนอกได้ เซี่ยซานก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย

ต้องรู้ว่าในยามนี้ทั้งเมืองหลวงกำลังให้ความสนใจว่าดวงตาของจิ่นหลิงจะสามารถกลับมามองเห็นได้หรือไม่ แม้แต่ทางวังหลวงก็ให้ความสนใจเป็นพิเศษ

การพนันใต้ดินกำลังบ้าคลั่ง เงินเดิมพันในแต่ละวันแทบไม่ต้องพูดถึง จนถึงวันนี้ฝ่ายที่พนันว่าเฟิ่งชิงเฉินจะสามารถรักษาตาของหวังจิ่นหลิงได้นั้นกลายเป็นสองต่อหนึ่งไปแล้ว

ช่วยไม่ได้ การปรากฏตัวอันน่าเกรงขามของอวี่เหวินหยวนฮั่วและความร่วมมือของตระกูลหวังทำให้ทุกคนมีข่าวลือใหม่ หากไม่ใช่เพราะข่าวการเสียชีวิตของซุนยี่จิ่น อัตราเงินพนันคงเปลี่ยนไปจากนี้

ทันทีที่หวังซู่เข้ามา เขาคำนับอวี่เหวินหยวนฮั่วและให้ทุกคนไม่ต้องคำนับทักทายทันที เขาถามอย่างกังวลว่า “จิ่นหลิง วันนี้เจ้ารู้สึกดีขึ้นไหม?”

ในทุกวันหวังซู่ล้วนพูดเช่นนี้ยามที่เขาเข้ามา

“ดีขึ้นมากแล้วขอรับ ท่านพ่อไม่ต้องห่วง ชิงเฉินบอกว่าดวงตาของลูกฟื้นตัวอย่างดี จะมองเห็นได้ในอีกไม่ช้า” เสียงของหวังจิ่นหลิงสั่นเล็กน้อย

ในเวลานี้ถึงแม้จะสงบ แต่ก็ไม่สามารถรักษาความสงบตามปกติไว้ได้

เขาอยู่ในความมืดมายี่สิบสองปีแล้ว

เขาได้กลิ่นหอมของดอกไม้ แต่ไม่เคยเห็นสีของดอกไม้ วันนี้เขาก็จะได้เห็นมันในที่สุด

แล้วเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร

เฟิ่งชิงเฉินมีบุญคุณในการมอบชีวิตใหม่ให้เขา

“ดีแล้ว ดีแล้ว” หวังซู่พยักหน้า เดินไปรอบๆ ห้องแล้วพึมพำกับตัวเอง

ทุกคนตื่นเต้นกันอยู่แล้ว พอเขาทำท่าทางเช่นนี้พวกเขาก็ยิ่งประหม่ามากขึ้นไปอีก หวังจิ่นหลิงยังได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจเต้นของตนเอง

หลังจากที่ได้เห็นวิธีการเจาะกะโหลกเอากระสุนของเฟิ่งชิงเฉิน อวี่เหวินหยวนฮั่วก็ค่อนข้างนับถือ เขาเป็นคนที่สงบที่สุดในกลุ่ม เขาเพียงแค่พิงกำแพงและหลับตา

หวังซู่เริ่มร้อนใจมากขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัวในเวลาที่กำหนดทุกวัน เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาใกล้เคียงแล้วแต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่มา หวังซู่สั่งหวังชีว่า “เจ้าเจ็ด ไปดูเสียว่าทำไมแม่นางเฟิ่งยังไม่มา”

หวังซู่สุภาพกับเฟิ่งชิงเฉินมากขึ้นเรื่อยๆ

“ตกลง ข้าจะไปดู” หวังชีก็ร้อนใจเช่นกัน เขาเดินออกไปทันทีและชนเข้าเต็มเปากับเฟิ่งชิงเฉินที่เดินเข้ามา

เฟิ่งชิงเฉินตัวเล็กจึงกระแทกเข้ากับหน้าอกของหวังชีจนเจ็บหน้าผาก

“เกิดอะไรขึ้น?” เฟิ่งชิงเฉินลูบหน้าผากของนาง

แต่ตอนนี้ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ หวังชีดึงเฟิ่งชิงเฉินไปที่ข้างเตียงทันที “เฟิ่งชิงเฉิน เร็วเข้า รีบแกะผ้าพันแผลของพี่ชายข้าและดูว่าพี่ชายของข้าสามารถมองเห็นได้จริงหรือไม่”

“หวังชี จำเอาไว้ว่าหากข้าบอกว่าได้ก็ย่อมได้ อะไรคือรีบดูว่าจะมองเห็นได้จริงหรือไม่กัน ครั้งหน้าข้าจะเก็บข้าตรวจ 30%” เฟิ่งชิงเฉินพูดอย่างไม่เกรงใจและสั่งเซี่ยซานที่อยู่ตรงมุม “ใครน่ะ ดึงผ้าม่านขึ้น ดวงตาของคุณชายไม่อาจมองแสงจ้าได้”

นางรู้สึกรังเกียจตระกูลเซี่ย เมื่อเซี่ยซานมาหานางเองก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจก็แล้วกัน

“จิ่นหลิง ใจเย็นๆ ข้าจะแก้ผ้าออก ดวงตาของเจ้าจะได้มองเห็นในเร็วๆ นี้” เฟิ่งชิงเฉินหยิบกรรไกรออกมาแล้วตัดทั้งสองด้านโดยตรง

“ง่ายเช่นนี้ข้าก็ทำได้” หวังชีพึมพำอยู่อีกด้าน แต่ก็โดนบิดาของเขากระทุ้งอย่างแรง

“หุบปาก”

ทั้งห้องเงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงเข็มตก ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็กลั้นหายใจและไม่กะพริบตา

ทหารที่นอกประตูยืดคอจนสุด อยากเห็นข้างในว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง…

“จิ่นหลิง ไม่ต้องตื่นเต้น พอข้าแกะผ้าพันแผลออกแล้วให้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น อาจจะเจ็บบ้างเล็กน้อยในตอนแรกแต่ไม่ต้องกังวล มันเป็นเรื่องปกติ” เสียงของเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อ่อนโยน แต่กลับปลอบโยนหวังจิ่นหลิงที่ไม่สบายใจได้อย่างน่าประหลาด

“ตกลง…”

หวังจิ่นหลิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วลืมตาขึ้นทีละน้อย แต่เพียงได้เล็กน้อยเขาก็ปิดตาลงอีกครั้งทันที

“พี่ใหญ่?”

“จิ่นหลิง”

อวี่เหวินหยวนฮั่วและเซี่ยซานก็รีบเข้ามาเช่นกัน

“หวังจิ่นหลิง เป็นอย่างไรบ้าง? ตาของเจ้ามองเห็นหรือเปล่า?”

หวังจิ่นหลิงยกยิ้มที่มุมปากและค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างเชื่องช้า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้างดงามอย่างที่ข้าจินตนาการไว้เลย”

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท