นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 167 ตงหลิงจิ่วอุ้มนาง!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 167 ตงหลิงจิ่วอุ้มนาง!

เย่เย่โมโหมากจนต้องการจะตอบโต้ แต่เขาก็กลัวอาวุธที่ซ่อนอยู่ในมือของเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้นเขาจึงยอมล่าถอยอย่างไม่เต็มใจ ในใจแอบรู้สึกเสียดายว่าหากรู้อย่างนี้เขาน่าจะพาคนมามากกว่านี้อีกสักหน่อย

หากพลาดโอกาสไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว!

ทันทีที่เย่เย่จากไป เฟิ่งชิงเฉินก็ก้าวไปข้างหน้าและเปิดใช้งานกล่องเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ นางกลัวว่าตงหลิงจิ่วจะเป็นอะไรไป แต่เมื่อผลการตรวจออกมา เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกหน้าแตกในทันที

จริงๆ เลย…

ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ นางเคยเห็นเป็นดังพระเจ้า แต่ในขณะนี้นางเพิ่งตระหนักได้ว่าเขาก็เป็นมนุษย์ เป็นคนธรรมดาเท่านั้น

ตงหลิงจิ่วแพ้น้ำหอม

ฮ่าๆๆๆ …

ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาของตงหลิงจิ่วที่มองนางอยู่เย็นชาเกินไป นางก็อยากจะหัวเราะออกมาเสียงดัง แต่ถึงกระนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็กลั้นหัวเราะจนตัวสั่น

“เฟิ่งชิงเฉิน ถ้าเจ้าอยากหัวเราะก็หัวเราะออกมา” ใบหน้าของตงหลิงจิ่วบึ้งตึง ใบหูของเขาแดงเล็กน้อย

“ข้า ข้า ข้าไม่หัวเราะ แค่กๆ แพ้น้ำหอมเป็นเรื่องปกติจะตายไป”เฟิ่งชิงเฉินพยายามกลั้นหัวเราะ พยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำเป็นเคร่งขรึม

ตงหลิงจิ่วคร้านจะพูด เขารู้ว่าตอนนี้หากต้องการแสดงท่าทางน่าเกรงขามต่อหน้าผู้หญิงคนนี้คงไม่น่าจะเป็นไปได้นัก

“ช่วยพยุงข้าขึ้นหน่อย” เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกแม้เพียงครู่เดียว กลิ่นคลื่นเหียนของศพและกลิ่นฉุนของน้ำหอมผสมปนเปกันแปลกประหลาดอย่างยากจะพรรณนา

ในทำนองเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ต้องการอยู่ที่นี่เช่นกัน เดิมทีนางคิดจะฉีดยาให้ตงหลิงจิ่วเพื่อบรรเทาความอ่อนแอและอาการไม่สบายของเขาในตอนนี้ แต่ทว่า…

เฟิ่งชิงเฉินคิดอย่างชั่วร้าย ท่าทาง “อ่อนแอ” ของตงหลิงจิ่วดูเป็นมนุษย์มากกว่าเสียอีก

วันนี้ตงหลิงจิ่วเกือบจะใช้นางเป็นสาวรับใช้ นางจึงปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหน่อย อย่างไรก็ตามโรคภูมิแพ้อะไรพวกนี้ก็ไม่ทำให้ตาย เขาจะได้เข้าใจว่าเขาต้องไม่ทำให้หมอขุ่นเคืองใจ โดยเฉพาะหมอผู้หญิง…

ต่อมา เมื่อเฟิ่งชิงเฉินและตงหลิงจิ่วพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตงหลิงจิ่วก็มีเหงื่อแตกพลั่กเป็นระยะ เขากล่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินใจแคบ เขาช่วยนางแก้ปัญหายุ่งยากมามากมาย นางไม่รู้จักบุญคุณยังไม่เท่าไหร่ นางกลับถึงขั้นมองเขาทุกข์ทรมานต่อหน้าต่อตาโดยไม่ช่วย

สตรีช่างน่ากลัวจริงๆ เขาต้องอยู่ห่างจากผู้หญิงเข้าไว้…

ทั้งสองขี่ม้าด้วยกันโดยอาศัยแสงจันทร์และคบเพลิงฉุกเฉิน ทั้งสองเดินไปตามถนนสายเดิมโดยไม่รีบเร่งออกจากป่า

แม้ว่าจะมีกระเป๋าอยู่ตรงกลาง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองได้อยู่ใกล้ชิดกันมากเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยและในเวลาเดียวกันนางก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่สะพายกระเป๋ามาขวางทาง

แน่นอนว่าเป็นเพียงความตื่นเต้นเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรตอนนี้ร่างกายของตงหลิงจิ่วก็อ่อนแอมากซึ่งเป็นสิ่งที่นางกำลังกังวลอยู่

ตงหลิงจิ่วแพ้กลิ่นฉุน ภายใต้การร่วมมือซูหว่านและเย่เย่ นอกจากจะน่าขำแล้ว บนตัวเขายังมีผื่นขึ้นตามร่างกายอีกด้วย

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพบเข้าก็ตกใจและแอบเสียใจอยู่ในใจเล็กน้อย นางใจแคบเกินไป แต่ในเวลานี้หากมีแพทย์ที่น่าสงสัย ตงหลิงจิ่วต้องคิดมากแน่ เฟิ่งชิงเฉินจึงตัดสินใจที่จะแสร้งโง่ให้ถึงที่สุด หากเขาไม่เอ่ยปาก นางก็จะไม่มีทางเปิดปากพูดก่อน

แม้ว่าเขาจะไม่อายเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของเขา แต่ตงหลิงจิ่วก็อดทน ไปเซ้าซี้ก็มีแต่จะทำให้น่ารำคาญ

เกิดความเงียบขึ้นตลอดทาง ปราศจากความอบอุ่นในป่า ทั้งสองล้วนคิดเรื่องของตนเอง

ความเงียบแบบนี้ดูเหมือนจะทำให้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองกว้างขึ้น เฟิ่งชิงเฉินรู้อยู่ในใจว่าตงหลิงจิ่วรู้สึกว่านางรู้มากเกินไปแล้ว แต่ทว่า…

นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคืนนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นมากมาย ทำให้นางรู้ความลับเรื่องที่เขามีวิทยายุทธ์เยี่ยมยอดและแพ้น้ำหอม

เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดีว่าการรู้มากเกินไปไม่ดีอย่างที่ตงหลิงจิ่วได้กล่าวไว้ว่ามีเพียงคนตายเท่านั้นที่จะไม่เปิดเผยความลับ

ระหว่างทางเฟิ่งชิงเฉินหวาดระแวงเพราะกลัวว่าเขาจะคิดสังหารนาง

นางรักตงหลิงจิ่ว แต่ในสายตาของเขา นางไม่ใช่อะไรเลย การสังหารก็ง่ายเพียงแค่ยกมือขึ้นเท่านั้น

เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ทั้งกังวลและยุ่งยากใจ

ความบ้าผู้ชายทำร้ายนาง หากนางไม่มาก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่อย่างไรนางก็มาแล้ว ตงหลิงจิ่วก็อารมณ์ไม่ดีคงจะคิดว่านางเป็นตัวถ่วงกระมัง

เฮ้อ… เฮ้อ… เฮ้อออ!

ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจก็เกิดเสียงความโกลาหลแว่วมาจากในป่าและมีคบเพลิงวับแวมไปมา

“มีใครมาหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินถามตงหลิงจิ่วที่อยู่ข้างหลังนาง

“มาตามหาพวกเรา” ตงหลิงจิ่วหลับตา เฟิ่งชิงเฉินหันกลับไปและพบว่าเขามีผื่นขึ้นที่คอ

ทั้งแดงทั้งใหญ่ไม่ต้องมองก็รู้ว่าไม่สบายและคันมาก แต่ถึงตอนนี้ชายคนนี้ก็ยังไร้อารมณ์และสงบไม่เปลี่ยนราวกับแม้ภูเขาไท่ซานถล่มลงต่อหน้าเขาก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้

ราวกับว่าผื่นไม่ได้ขึ้นอยู่บนตัวเขา

เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าควรชื่นชมหรือรู้สึกเป็นทุกข์ดี

“ท่านแม่ทัพ ที่นี่มีรอยเท้าม้า พวกองค์ชายเก้าต้องไปทางนี้แน่”

“ไป ไล่ตามพวกเขาไป”

“เป็นอวี่เหวินหยวนฮั่ว” เฟิ่งชิงเฉินก็โล่งใจเมื่อรู้ว่าใครกำลังมา

ปลอดภัยแล้ว!

แต่แล้วนางก็มองไปที่ตงหลิงจิ่วอย่างกังวล เขาคงจะไม่ฆ่านางเพราะว่าเขามีกำลังเสริมมาช่วยและพบว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะเก็บนางไว้แล้วหรอกนะ

ตึกตักๆ เฟิ่งชิงเฉินหวาดกลัวจนหัวใจเต้นแรง

แม้ว่าตงหลิงจิ่วจะหลับตาลง แต่เขาก็รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดอะไรอยู่ ในใจเขาทั้งรู้สึกโกรธทั้งรู้สึกขบขัน

ก่อนหน้านี้ที่ปล่อยนางไปเป็นเพราะไม่อยากให้นางเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องยุ่งวุ่นวายเหล่านี้ แต่สตรีโง่เขลาผู้นี้ยืนกรานที่จะเข้ามามีส่วนร่วม ตอนนี้เพิ่งจะกลัวงั้นหรือ จริงๆ เลย…

งี่เง่า!

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ นั่งลง!” ตงหลิงจิ่วลืมตาขึ้นทันที ดวงตาสีดำราวกับคริสตัลสีดำ ลึกล้ำและลึกลับทำให้ผู้คนลุ่มหลง

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เตรียมระวัง เพียงแค่เหลือบมอง หัวใจของนางก็ถูกสายตาคู่นั้นกระชากออกไปและไม่สามารถเอากลับคืนมาได้

ท่าทางตะลึงงันของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ตงหลิงจิ่วชอบใจ เขาเอื้อมมือมาเคาะหน้าผากนาง

“โอ๊ย เจ็บ…” เฟิ่งชิงเฉินรีบเอามือกุมหน้าผากของนางไว้

ต้องบอกว่าเขาลงมือไม่ยั้งแรงเอาเสียเลย เจ็บยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเฉินมองตงหลิงจิ่วอย่างเศร้าสร้อย

นี่เป็นการฆาตกรรม!

เมื่อมองไปที่หน้าผากแดงบวมของเฟิ่งชิงเฉิน ตงหลิงจิ่วก็รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขารีบหันหน้าหนีและพูดอย่างเคร่งขรึม “นั่งลง พอพบอวี่เหวินหยวนฮั่วให้เจ้าบอกว่าพวกเราพบกับนายน้อยแห่งเย่เฉิง คนเหล่านั้นเสียชีวิตภายใต้เงื้อมมือของเขา”

เฟิ่งชิงเฉินมีสีหน้ายินดีเมื่อรู้ว่าตงหลิงจิ่วจะไม่ฆ่านาง ทั้งร่างจึงผ่อนคลายลง

“เข้าใจแล้ว…” นางลากเสียงยาว แอบแฝงไปด้วยแววออดอ้อนจางๆ

ตงหลิงจิ่วไม่ได้ว่าอะไร เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินมัน มือหนึ่งถือบังเหียน อีกมือหนึ่งโอบเฟิ่งชิงเฉินไว้และขี่ม้าไปทางกลุ่มของอวี่เหวินหยวนฮั่ว

อ๊ะ…

ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินแข็งทื่อ นางก้มหน้ามองมือใหญ่ของเขาที่เอวของนางจนแทบลืมหายใจพลางรู้สึกร้อนวาบที่เอว หัวใจของนางราวกับว่ากำลังจะกระโดดออกมา

ตงหลิงจิ่วกอดนาง ตงหลิงจิ่วที่ไม่เคยชอบอยู่ใกล้ผู้ใดกำลังกอดนาง!

นะ น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง!

เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างโง่งมพลางจ้องไปยังมือที่เอวของนาง อย่างไรก็ไม่สามารถหุบยิ้มได้

ทุกอย่างดูราวกับอยู่ในความฝัน!

มุมริมฝีปากของตงหลิงจิ่วก็ยกขึ้นเล็กน้อย ความเร็วของขี่ม้าก็ช้าลงมากเช่นกัน

ปล่อยให้สตรีโง่เขลาผู้นี้มีความสุขอีกสักหน่อย

นางช่างมีความสุขง่ายดายนัก!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท