นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 193 ม้าตกใจ ซื่อจื่อเข้ามาช่วย

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 193 ม้าตกใจ ซื่อจื่อเข้ามาช่วย

ผู้คนที่มามุงดูชี้ไปที่เฟิ่งชิงเฉิน แต่นางทำราวกับว่าไม่เห็นมัน ในขณะที่ม้าป่าพุ่งเข้ามาชนนั้น เฟิ่งชิงเฉินกระโดดหลบไปทางซ้ายโดยคิดว่าหากไม่ตายก็คงขาหักแขนหัก วันนี้คงไปหาลู่เส้าหลินไม่ได้เสียแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่า…

นางจะตกลงไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่น

“หือ?”

เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้น “ท่านซื่อจื่อ?”

ปัง… ม้าป่าชนรถม้า ด้วยแรงกระแทกของม้าป่า เชือกที่ผูกม้าไว้กับรถม้าก็ขาดสะบั้นลง รถม้าถูกม้าป่าชนจนกระเด็นจนกลายเป็นเศษไม้ ม้าป่าตัวนั้นก็ชนกำแพงตาย

ดีล่ะ ฆาตกรตายเสียแล้ว

“ทำไมเจ้าจึงก่อเรื่องได้ตลอดเลยนะ?” ตี๋ตงหมิงกัดฟันด้วยความโกรธในขณะที่เขามองเฟิ่งชิงเฉินในอ้อมแขน

ถ้าไม่ใช่เพราะหวังจิ่นหลิงขอให้เขาดูแลเฟิ่งชิงเฉินก่อนจะออกไปข้างนอก ไม่เช่นนั้นเขาคงคร้านจะใส่ใจเกี่ยวกับชีวิตของหญิงผู้นี้จริงๆ

นางไม่รู้หรือว่าช่วงนี้คนของเจิ้นกั๋วกงกำลังหาเรื่องนางอยู่ ตอนนี้ยังจะออกมาอีก กลัวว่าตนเองจะมีชีวิตยืนยาวเกินไปหรืออย่างไร

ถ้าวันนี้ไม่ได้เจอเขา แม้ไม่ตายก็คงพิการ กระโดดลงจากรถม้าที่กำลังเคลื่อนที่ยังจะมีจุดจบที่ดีอีกหรือ?

“ความซวยถูกสวรรค์บันดาล นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางผลักตี๋ตงหมิงออกไปและคำนับให้เขาอย่างสงบ

“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”

สงบและไม่เกรงกลัวเลย ตี๋ตงหมิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมท่าทีที่ไม่มีความตกใจของเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่เหนือคนทั่วไป ไม่น่าแปลกใจที่ปู่ของเขาจะชื่นชมนางมาก

อุบัติเหตุงั้นหรือ? ตี๋ตงหมิงเหลือบมองที่รถม้าที่หักและคนขับรถม้าที่นอนหมดสติอยู่กลางถนนด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยแวบวาบในดวงตาของเขา

“ความซวยถูกสวรรค์บันดาล นี่เป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางผลักตี๋ตงหมิงออกไปและคำนับให้เขาอย่างสงบ

คนพวกนั้นไร้ยางอายจริงๆ พวกเขาลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับสาวน้อยโดยไม่รู้สึกขายหน้าแต่อย่างใด

แต่ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินกล่าวว่ามันเป็นอุบัติเหตุก็ให้มันเป็นอุบัติเหตุก็แล้วกัน

“เจ้าฉลาดไม่เบานี่ จิ่นหลิงเป็นห่วงเจ้าโดยเปล่าแท้ๆ” ตี๋ตงหมิงเข้าใจแล้วว่าทำไมหวังจิ่นหลิงจึงมาขอให้เขาดูแลเฟิ่งชิงเฉินและบอกเพียงว่าหากเจอเจ้าก็ช่วยเสียหน่อย

หญิงผู้นี้ไม่ใช่หญิงไร้ความสามารถที่ทำเป็นเพียงการร้องไห้คร่ำครวญหรือรู้จักเพียงขอความช่วยเหลือจากบิดาและพี่ชายของนางเท่านั้น

“จะกังวลโดยเปล่าประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ท่านซื่อจื่อปรากฏตัว วันนี้ชิงเฉินต้องแย่แน่”

นางหวงแหนชีวิตของนางมาก สถานการณ์เมื่อครู่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง นางจะไม่กลัวได้อย่างไร นางก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

เพียงแต่กลัวแล้วอย่างไร? นางสามารถกอดตี๋ตงหมิงแล้วร้องไห้บอกว่านางกลัวเพียงใดและน่าสงสารเพียงใดงั้นหรือ?

ไม่!

นางเป็นหัวหน้าตระกูลเฟิ่ง คุณหนูของจวนเฟิ่งสามารถร้องไห้ได้ แต่เมื่อต้องรับผิดชอบนางก็ไม่สามารถร้องไห้ได้ อีกอย่างตี๋ตงหมิงไม่ได้เป็นอะไรกับนาง ไม่ได้มีหน้าที่ปกป้องนาง ที่เขาช่วยเหลือนางนั้นเป็นเพราะเห็นแก่หน้าของหวังจิ่นหลิง

เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินรู้ตัวดี ตี๋ตงหมิงก็คร้านจะพูดมาก เขาเพียงเอ่ยเตือนว่า “ไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้ากลับ ช่วงนี้ไม่มีธุระอะไรก็อย่าออกมา”

เขาจะไม่กล้าหาเรื่องจวนเจิ้นกั๋วกงและเขาก็ไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความกล้าหาญขนาดนี้ได้อย่างไร จึงได้ประกาศตนเป็นศัตรูกับคนของจวนเจิ้นกั๋วกงซ้ำๆ

เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าโดยไม่ได้ปฏิเสธ นางเพียงขอให้ตี๋ตงหมิงรอครู่หนึ่งให้นางช่วยทำแผลให้คนขับรถเสียก่อน

เมื่อครู่นางสำรวจดูแล้ว อาการบาดเจ็บของคนขับรถไม่ร้ายแรงนัก เขาเป็นคนที่เคยอยู่ในสนามรบยังพอมีความสามารถในการป้องกันตัว แต่เขาถูกกระแทกจนหมดสติและอาจแขนหัก

เฟิ่งชิงเฉินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เพียงแค่เวลาหนึ่งก้านธูปนางก็ทำแผลอย่างง่ายๆ ให้เขาเสร็จเรียบร้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ตี๋ตงหมิงเห็นฝีมือของเฟิ่งชิงเฉิน

ไม่นับครั้งนั้นที่จวนซู่ชิงอ๋อง เขาถูกลงโทษให้วิ่งอยู่ข้างนอก ต่อมาเขาก็ได้ยินเพียงว่าเฟิ่งชิงเฉินให้ยาแก่ปู่ของเขาและให้หมอหลวงฝังเข็มอีกเล็กน้อย ปู่ของเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก เช่นนั้นไม่นับว่านางมีฝีมือนัก

เมื่อเห็นฝีมือการทำแผลของเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้ ตี๋ตงหมิงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ความเร็วและฝีมือการทำแผลของเจ้าดีกว่าหมอในกองทัพเสียอีก เจ้าไปเรียนมาจากไหน?”

ถ้าเฟิ่งชิงเฉินยังคงจดจ่ออยู่กับการทำแผล เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ตอบด้วยปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ว่า “สนามรบ”

นางจัดการเสร็จแล้วก็ถอดถุงมือออก เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน “ทำสองสามครั้งงก็ทำเป็นแล้ว”

“คนในตระกูลเจ้าจะมีคนบาดเจ็บและป่วยมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ?” นี่คือสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินมารักษาใครมาก่อน เหตุใดนางจึงได้มีฝีมือล้ำเลิศถึงเพียงนั้น?

ฝีมือแพทย์ดีอาจบอกได้ว่าร่ำเรียนมาแต่เด็ก แต่การจัดการบาดแผลอย่างคล่องแคล่วนี้ หากไม่มีประสบการณ์จริงนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้นัก

เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าในใจตี๋ตงหมิงกำลังคิดอะไรอยู่และอยากจะถามอะไร แต่นางก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พลางย้อนถามกลับอย่างข้องใจ “ทำไมต้องเป็นมนุษย์ด้วย ข้าฝึกกับสัตว์ไม่ได้หรือ?”

ซุนซือสิงที่อยู่ภายใต้มือนางก็กำลังเรียนกับสัตว์ ดังนั้นนางจึงไม่กังวลเลยว่าคำพูดนี้จะเปิดโปงตนเอง

เอ่อ…สัตว์งั้นหรือ

ตี๋ตงหมิงรู้สึกหนาวสั่นในทันที หากลั่วอ๋องรู้เข้า เขาจะรู้สึกว่าในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เขาเป็นเพียงกระต่ายหรือหมูหรืออะไรเทือกนั้นหรือไม่

แน่นอนว่าความคิดนี้ผุดขึ้นมาเพียงชั่วครู่ แต่ตี๋ตงหมิงฉลาดมากและไม่ได้ถามออกมา เขากลับนึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง

เขามองดูเฟิ่งชิงเฉินอย่างประเมิน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่านางมีความสามารถ

หวังจิ่นหลิงชื่นชมนางมากถึงเพียงนี้และเมื่อดูความชำนาญในการจัดการบาดแผลของเฟิ่งชิงเฉิน นางน่าจะมีความสามารถอยู่บ้าง มิสู้ให้นางลองดูเสียหน่อย…

ให้รักษาม้าที่ตายแล้วเหมือนม้าเป็น!

หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินเก็บของเสร็จแล้ว นางก็เหลือบมองคนขับรถม้าที่ยังหมดสติอยู่และพูดกับตี๋ตงหมิงว่า “ท่านชาย โปรดขอให้คนของท่านช่วยข้าพาเขากลับไปที่จวนเฟิ่งได้หรือไม่”

แม้ว่าตี๋ตงหมิงจะไม่ชอบนางนัก แต่เมื่อเห็นแก่หวังจิ่นหลิง ตราบใดที่ไม่ใช่คำขอที่เกินไปก็คงไม่มีปัญหา เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจเรื่องนี้เช่นกัน

อาการบาดเจ็บของคนขับม้าไม่ได้ร้ายแรง พอดีให้ซุนซือสิงได้จัดการ ได้เวลาที่เขาจะฝึกมือแล้ว

ตี๋ตงหมิงพยักหน้า “ตกลง แต่ว่า…”

ตี๋ตงหมิงชะงักไป เฟิ่งชิงเฉินก็ตามต่อไปอย่างชาญฉลาด “แต่ว่าอะไร?”

ในโลกนี้ไม่มีอาหารฟรี เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดว่านางมีอะไรให้ตี๋ตงหมิงต้องนึกถึง

ตี๋ตงหมิงก้าวเข้าไปกระซิบข้างหูของเฟิ่งชิงเฉิน “ช่วยข้าดูคนผู้หนึ่งหน่อย”

“คนป่วยหรือ?” นอกจากผู้ป่วยแล้วนางยังจะดูอะไรได้อีก

ตี๋ตงหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ใช่”

บรรดาหมอทุกคนต่างก็บอกว่าไม่ได้ป่วย แต่เขานอนติดเตียงมาหลายปี อาการนี้ก็นับว่าเป็นโรคเช่นกัน ให้รักษาม้าที่ตายแล้วเหมือนม้าเป็น ใครใช้ให้หวังจิ่นหลิงเอาแต่พึมพำอยู่ข้างหูเขาทุกวันว่าเฟิ่งชิงเฉินดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้

“ตกลง ช่วยข้าพาคนไปส่งที่จวนเฟิ่ง พาเขาไปหาซุนซือสิงและบอกเขาว่านี่คือการสอบของเขา” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าอย่างง่ายดาย

หน่วยองครักษ์เสื้อโลหิตจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ซู่ชินอ๋องซื่อจื่อไม่ได้สามารถมีโอกาสผูกมิตรได้ตลอดเวลา

แม้ว่าคนที่นางไม่ต้องการจะรักษาจะเป็นคนที่มีอำนาจ แต่ในโลกที่ประชาชนไม่มีสิทธิมนุษยชน มีเพียงการรักษาผู้มีอำนาจเท่านั้นที่จะทำให้ยืนหยัดได้อย่างมั่นคงและมีเพียงการรักษาผู้มีอำนาจเท่านั้นที่จะสามารถสร้างรายได้ได้

ปล้นคนรวยช่วยคนจนต้องปล้นคนรวยก่อน

คนสองคนใกล้ชิดกันมากเช่นนี้ในที่สาธารณะเดิมก็ไม่เหมาะสมอยู่แล้ว แต่ผู้หญิงมีรูปโฉมงดงาม บุรุษสูงสง่าน่าเกรงขาม ทำให้ดูเหมือนภาพวิวบวกกับความใจกว้างและซื่อตรงของทั้งสองก็ยิ่งทำให้จิตใจคิดดีไม่ได้เลย

เมื่อลูกน้องของตี๋ตงหมิงจูงม้าของเขา ตี๋ตงหมิงใช้แรงดึงเฟิ่งชิงเฉินขึ้นไปบนหลังม้า ทุกคนก็ส่งเสียงโห่ร้อง…

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท