นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 686 จิตอาสา หมอห้ามมีความรู้สึกลึกซึ้ง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดโรงพยาบาลเพื่อประชาชน ซุนซือสิงเตรียมยาที่จะใช้เอาไว้แต่เนิ่นๆ และตรวจสอบกล่องยาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีปัญหาใด

หมอที่ตระกูลหยุนส่งมาก็เดินทางมาถึงจวนเฟิ่งก่อนเวลาเช่นกัน ทงจือและทงเหยาได้ไปจัดเตรียมที่โรงพยาบาลเพื่อประชาชนเมื่อวานนี้ และได้ประชาสัมพันธ์เพื่อทุกคนจะได้ให้ความร่วมมือกับเฟิ่งชิงเฉิน

ก่อนรุ่งสาง คนรับใช้ของจวนเฟิ่งได้ออกไปรักษาความสงบเรียบร้อยรออยู่ที่นั่น จำแนกผู้ป่วยตามที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าว: รุนแรง เร่งด่วน เบาและรอได้ ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินปรากฏตัว โรงพยาบาลเพื่อประชาชนก็จะได้เริ่มทำงานทันที

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เหลือเพียงแค่ให้นางเดินทางไป เฟิ่งชิงเฉินจึงตระหนักว่านางจอมปลอม อะไรคือความแตกต่างระหว่างการกระทำของนางกับการกระทำของคุณหนูทั่วไปเล่า?

เพียงคำสั่ง คนรับใช้ก็จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อย นางเพียงแค่เดินทางไปเข้าร่วม บางทีความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือนางไม่ได้ไปในนามเท่านั้น นางไปที่โรงพยาบาลเพื่อประชาชนและรักษาคนไข้จริงๆ

แต่ถึงกระนั้น คนที่นางสามารถช่วยได้ก็มีจำกัด หมอมีมือเพียงคู่เดียว นางสามารถช่วยชีวิตคนได้ แต่ไม่สามารถกอบกู้โชคชะตาของใครได้

สำหรับคนที่ไม่มีเงินหาหมอและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลหวาเซี่ย ตั้งแต่โบราณมาไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา นางพยายามหาข้ออ้างในความเห็นแก่ตัวของตนเอง การมีจิตใจอันเป็นกุศลน่ะหรือ ดูเหมือนว่านางจะไม่มีเลย ดังนั้น……อย่าได้ฝืนตัวเองไปเลย ควรเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็นอย่างนั้น จะให้นางอดตายเพื่อไปช่วยคนอื่นอย่างนั้นนางก็ทำไม่ได้

หลังจากที่รับประทานอาหารเข้าไปอย่างเร่งรีบสองสามคำ เฟิ่งชิงเฉินก็ยื่นแก้วเก็บความร้อนไปให้ทงจือและทงเหยา ตอนที่เดินทางออกไปก็ยื่นให้กับซุนซือสิงแก้วหนึ่งด้วย “น้ำร้อนสามารถเก็บอุณหภูมิได้หกชั่วโมง คนเป็นหมอจะต้องดูแลตนเองให้ดี”

“ขอบคุณท่านอาจารย์” แววตาของซุนซือสิงเป็นประกาย แก้มของเขาเป็นสีชมพูเล็กน้อยน่ามองยิ่งนัก ดูเหมือนเขาจะให้ความคาดหวังกับการออกรักษาในวันนี้มาก เฟิ่งชิงเฉินเหลือบมองไปทางซุนซือสิงและไม่ได้โจมตีเรื่องของความกระตือรือร้นของเขา

ผู้ที่เคยไปบริการเพื่อประชาชนมาแล้วครั้งหนึ่ง โดยมากมักจะไม่อยากไปอีกเนื่องจากสภาพจิตใจอาจรับไม่ได้

หากว่าได้เห็นผู้ป่วยจริงๆ ที่ไม่มีแม้แต่เงินจะรักษา ความรู้สึกที่มีนั้นคงไม่ได้ดีใจเพราะสามารถรักษาได้ แต่กลับคิดว่าต้องมีกี่คนบนโลกนี้เป็นดั่งคนไข้เหล่านั้นที่ใกล้จะตายและนางจะช่วยได้อีกสักกี่คน

ใครก็ตามที่เคยมาร่วมงานในโรงพยาบาลเพื่อประชาชนนี้ และเห็นสิ่งที่แต่ละครอบครัวต้องเผชิญเพราะความเจ็บป่วย ก็คงจะไม่คาดหวังเรื่องการรักษาเท่าไรนัก เนื่องจากว่า……

ฉากเหล่านั้นน่ากลัวเหลือเกิน

จิตอาสาคือการทดสอบมโนธรรมอย่างแท้จริง และนางก็ไม่ชื่นชอบความรู้สึกเช่นนั้นเลย ทุกครั้งที่รู้สึกเช่นนี้ราวกับว่ามีก้อนหินนับพันก้อนถาโถมทับอยู่ในจิตใจ มันช่างหนักอึ้ง นางต้องการจะช่วยเหลือทุกคนที่ป่วยบนโลกใบนี้แต่ว่า……

ความสามารถของคนคนหนึ่งนั้นมีขีดจำกัด หมอคนหนึ่งต่อให้เก่งกาจขนาดไหนทั้งชีวิตนี้คนที่นางสามารถช่วยให้รอดพ้นจากอันตรายได้แท้จริงแล้วก็น้อยจนนับนิ้วได้ คนที่สามารถช่วยพวกเขาได้จริงๆนั่นก็คือพวกที่มีอำนาจหรือคนที่นั่งอยู่บนบัลลังค์แห่งนั้น น่าเสียดาย……

ก่อนที่จะได้ก้าวขึ้นไปบนบัลลังค์แห่งนั้น บางทีพวกเขาอาจจะยังมีจิตใจที่เป็นห่วงประชาชนอยู่บ้างเล็กน้อย แต่หลังจากที่ขึ้นไปนั่งบนบัลลังค์นั้นแล้ว สิ่งที่ต้องทำก็คือการต่อสู้เพื่ออำนาจและรวบรวมอำนาจเข้าด้วยกัน ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งอยู่บนบัลลังค์ มีสักกี่คนเล่าที่สนใจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมเสร็จสรรพแล้ว ก่อนออกเดินทางก็ได้พบกับสิ่งไม่คาดฝันเล็กน้อย……เซวียนเส้าฉียืนรอนางอยู่ที่หน้าประตู เมื่อพบว่ามีหิมะเกาะอยู่บนบ่าของเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคงรออยู่นานแล้ว เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ได้แปลกใจว่า “นายท่านน้อย เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”

แต่นางไม่ได้ขับไล่เขาออกไป ในจวนเฟิงนี้เขาจะอยู่ที่ไหนอย่างไรก็ย่อมได้ เพียงแค่อย่าได้เอ่ยปากเรื่องคู่หมั้นอะไรนั้นออกมาเป็นพอ

ทางด้านของเซวียนเส้าฉีเองก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขาไม่ได้หยิบยกเรื่องคู่หมั้นคู่หมายมาบีบบังคับเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อพบว่าเฟิ่งชิงเฉินเดินถือกล่องยาออกมาจึงได้ก้าวเข้าไปเอื้อมมือมารับไว้พูดว่า “ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า”

ท่าทางอันดูเป็นธรรมชาติของเขาทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจปฏิเสธได้เลย นางปล่อยมือออกโดยสัญชาตญาณ เมื่อนางได้สติกลับคืนมาอีกครั้งก่อนพบว่าเซวียนเส้าฉีเดินถือกล่องยาไปที่ข้างรถม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หึๆ การกระทำของเซวียนเส้าฉีดูเหมือนเป็นผู้ช่วยหมอผ่าตัดอย่างไรอย่างนั้น เอาเถอะ ถ้าไม่ใช้ประโยชน์ก็คงจะเสียเปล่า ก่อนหน้านี้เป็นซุนซือสิงที่คอยถือให้นาง แต่บัดนี้ซุนซือสิงก็มีกระเป๋ายาเป็นของตนเอง ดังนั้น……

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาทันที ไม่ว่าเซวียนเส้าฉีทำอย่างไรก็ไม่ปฏิเสธ และไม่ว่านางจะเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็จะทำในสิ่งที่เขาคิด

เซวียนเส้าฉีพยุงเฟิ่งชิงเฉินขึ้นรถม้าไป ขณะที่เขากำลังจะตามไปติดๆ นั้น ซุนซือสิงก็โผล่ออกมาจากที่ใดสักแห่ง และยื่นมือเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์” เขาเข้ามาสอดแทรกระหว่างทั้งสองคนแล้วหันไปยิ้มเป็นการขอโทษให้กับเซวียนเส้าฉี จากนั้นรีบปีนขึ้นรถม้าไปอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์เรื่องของ……”

ซุนซือสิงแทรกตัวขึ้นไปบนรถม้า ท่าทางของเขาดูเร่งรีบราวกับมีเรื่องสำคัญต้องการเอ่ยถาม เซวียนเส้าฉียกมือขึ้นลูบคลำจมูกของตนเบาๆ ก่อนจะขึ้นรถติดตามไป

เหตุใดผู้ช่วยของเฟิ่งชิงเฉินจึงได้เป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อวานเขาก็ยินดีรับของขวัญจากตนไป วันนี้กลับมาสร้างความวุ่นวายเช่นนั้นได้ แต่การกระทำเหมือนเด็กๆ เช่นนี้เขาไม่อยากนำมาใส่ใจ

บนรถม้า ซุนซือสิงนั่งตรงกลางและปิดกั้นเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่ให้เซวียนเส้าฉีมีโอกาสสนทนาเลย หลังของเขาบังเฟิ่งชิงเฉินไว้ เซวียนเส้าฉีจะแอบมองก็ไม่เห็น

เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจความคิดของซุนซื่อสิงดีนางจึงยิ้มรับ เมื่อเห็นว่าซุนซือสิงหยิบยกเรื่องโรคที่มักเกิดในฤดูหนาวขึ้นมาสนทนา นางเองก็ให้ความร่วมมือและสนทนากับเขา……

ทั้งสองคนกำลังสนทนาเรื่องของการเจ็บป่วยอยู่ ไม่มีความคิดอื่นใด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับซุนซือสิงเลย

ท่าทางของเซวียนเส้าฉีดูไม่ได้สนใจกับการกระทำอันชัดเจนของซุนซือสิงเช่นนี้ว่าไม่พออกพอใจหรืออย่างใด จนกระทั่งเดินทางถึงโรงพยาบาลเพื่อประชาชน เซวียนเส้าฉีจึงได้เดินถือกล่องยาตามเฟิ่งชิงเฉินไปและลงจากรถม้า ดูไม่เหลือท่าทีของนายท่านน้อยเลย ทงจือมองไปและอ้าปากไม่รู้จะพูดสิ่งใดดี

ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ทงจือเลือกที่จะเปิดโรงพยาบาลเพื่อประชาชนบริเวณประตูเมือง เมื่อเฟิ่งชิงเฉินลงจากรถม้านางก็ได้แต่ตกตะลึง

สำหรับนางแล้วนั้นทางเข้าเมืองเป็นจุดเริ่มต้นของความอัปยศอดสู เฟิ่งชิงเฉินไม่ค่อยรู้สึกดีกับสถานที่นี้เท่าไรนัก แต่นางก็ไม่ต้องการใช้วิธีนี้มาชะล้างความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นที่นางโดนทำร้าย

ทงจือรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนักเพราะเกรงว่า เฟิ่งชิงเฉินจะตำหนิที่ตัดสินใจไปเองโดยพลการ แต่เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ข้างรถม้าไม่ขยับเขยื้อน นางก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่ออธิบายเหตุผล

“คุณหนูเจ้าคะ สถานที่แห่งนี้คุณชายซูเป็นคนเลือกให้ ร้านโจ๊กของคุณชายซูก็เปิดอยู่ที่นี่ด้วย คุณหนูดูเถิด……อยู่ที่นั่นมีคนรอต่อแถวนานแล้วเจ้าค่ะ”

ทงจือเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาบางขึ้น จนกระทั่งท้ายที่สุดนางก็ก้มหน้าลง เฟิ่งชิงเฉินเหลือบมองถงจื้อด้วยแววตาเฉยเมย นางรู้ว่าทงจือหวังดีต่อนางแต่ก็ไม่ควรตัดสินใจเองเช่นนี้

“ข้าหวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีก” การที่ให้สิทธิในการจัดการนั้นไม่ได้หมายความว่านางจะสามารถรับบงการชีวิตของตนได้มีเพียงเสด็จอาเก้าคนเดียวนางก็ปวดหัวมากพอแล้ว นางไม่ต้องการเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่บ้าคลั่งวนเวียนอยู่รอบชีวิตนางเช่นนี้

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ทงจือถอนหายใจด้วยความโล่งอก นั่นหมายความว่าคุณหนูไม่โกรธนางแล้ว

เซวียนเส้าฉีและซุนซือสิงที่อยู่ด้านหลังล้วนต่างเข้าใจทั้งสองคนไม่กล่าวสิ่งใดออกมาและให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนตัดสินใจ เมื่อพบว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้อารมณ์เสียหรือหงุดหงิดพวกเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

เมื่อตอนที่อยู่ตรงประตูเมือง เฟิ่งชิงเฉินเคยพบเรื่องอะไรมาบ้างพวกเขาล้วนรู้ดี ก่อนหน้านี้เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินมาที่ประตูเมืองนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้…… เฟิ่งชิงเฉินจะล้างความอพยพอดสูตรงประตูเมืองนี้ด้วยตัวของนางเอง

เฟิ่งชิงเฉินได้ยินเสียงผู้ประสบภัยตะโกนดังมาว่า “ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน พ่อพระแม่พระมาเกิดแท้ๆ เมื่อมีโจ๊กถ้วยนี้ พวกเราก็จะอิ่มท้อง ดีกว่าน้ำเปล่าที่ทางการแจกจ่ายเสียด้วยซ้ำ”

“มีโจ๊กมีหมั่นโถว คราวนี้พวกเราไม่อดตายไม่อดตายแล้ว”

“นี้สิจึงจะเป็นคนดีจริงๆ พวกคนเหล่านั้นแสร้งทำเป็นคนดีแต่ทุกครั้ง ก็แจกจ่ายเพียงแค่น้ำเปล่า”

“ให้ตายสิ สิ่งที่ทางการส่งออกมาให้พวกเรานั้นคนกินได้หรือ เหม็นมากทีเดียว”

“ไม่รู้ว่านายท่านคนใดที่ใจดียิ่งนัก จัดหาโจ๊กอย่างดีมาให้พวกเราคราวนี้พวกเรารอดแน่แล้ว”

“ไม่รู้สิข้าเห็นคนจากร้านค้าตระกูลซูเดินทางมา แต่เห็นว่าไม่ใช่นายท่านซู”

“โอ้ พ่อพระเป็นคนดีเหลือเกินในโลกนี้ยังมีคนดีเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ แม้แต่ทำความดียังไม่ต้องการเอ่ยชื่อ”

……

เมื่อยิ่งเข้าใกล้ก็ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของโจ๊กดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนล้วนสรรเสริญว่าเขาเป็นคนดี และสถานการณ์ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก

ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีรอยยิ้มอันแจ่มใสปรากฏบนใบหน้า

ชาวบ้านทุกคนล้วนเป็นคนเรียบง่ายและซื่อสัตย์ ขุนนางเหล่านั้นเพียงแค่ให้พวกเขาเล็กน้อยพวกเขาก็เห็นเป็นดั่งเทพเจ้า หากว่าบรรดาขุนนางคืนความยุติธรรมให้แก่พวกเขาได้แน่นอนว่าทุกคนก็คงสรรเสริญขุนนางเหล่านั้นด้วย

สิ่งที่พวกเขาต้องการมีเพียงเล็กน้อยนั่นก็คือกินอิ่มนอนหลับมีเสื้อผ้านุ่งห่ม แต่ความต้องการเล็กน้อยเหล่านี้กลับถูกเอาเปรียบอย่างไร้ความปราณีจากขุนนางเหล่านั้น

ผู้คนที่แจกจ่ายโจ๊กทำงานอย่างขยันขันแข็ง และผู้ที่มาเข้าแถวไม่ว่าจะหิวโหยเพียงใดก็ล้วนไม่มีใครแทรกแถวเข้ามา มีเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งอายุประมาณสิบกว่าขวบสวมเสื้อผ้าขาดๆ รองเท้าเปลือยเปล่า ร่างกายสั่นไหวด้วยความหนาวเหน็บแต่ก็พยายามยืนอยู่บนพื้น มองไปทางโจ๊กร้อนๆ

ที่นั่นมีสิ่งที่พวกเขาต้องการอยู่

ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายความสุขบนใบหน้านั้น เผยออกมาว่าพวกเขาต้องการซาลาเปาและโจ๊กกลับไปกินประทังความหิว

ผมของชายชราคนหนึ่งที่หงอกขาว เขาสวมเสื้อกระสอบใบหน้าโผล่ใบหน้าออกมาที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งดวงตาอันขุ่นมัวเหล่านั้นแสดงรอยยิ้มจางๆ ออกมาเมื่อเห็นหม้อต้มโจ๊กราวกับเด็กที่เห็นขนมลูกกวาด

ผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออุทกภัยเหล่านี้ ใบหน้าพวกเขาค่อยๆ สดใสขึ้น ท่ามกลางความหนาวเหน็บเย็นชาดวงตาคู่นั้นดูฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยโจ๊กและซาลาเปาร้อนๆ

ฉากนี้ช่างน่าประทับใจเหลือเกิน อยากจะให้มันหยุดอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นพวกเขารู้สึกมีความสุขเนื่องจากเพียงโจ๊กหนึ่งถ้วยเฟิ่งชิงเฉินก็ยืนตกตะลึงอยู่ที่นั่นไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

พวกเขามีแรงจูงใจในการทำความดี เมื่อเห็นฉากนี้หัวใจก็รู้สึกเหมือนถูกโจมตีทำให้อยากร้องไห้

เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนแรกที่ได้สติกลับคืนมา นางเคยเห็นสถานการณ์อันร้ายแรงมามากมายนับไม่ถ้วน หัวใจของนางเย็นชาว่าคนทั่วไปเสมอ

เมื่อหันไปหาเซวียนเส้าฉีด้วยใบหน้าที่ตกใจและซุนซือสิงกับทงจือน้ำตาคลอ เฟิ่งชิงเฉินเดินไปที่ด้านข้างของซุนซือสิงและเคาะหัวของเขา “เจ้าโง่ ร้องไห้ทำไม”

ซุนซือสิงเจ้าโง่ผู้นี้ เกิดมาพร้อมหัวใจแห่งความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เขาจะทนได้อย่างไรเมื่อเห็นภาพเช่นนั้น แต่ถ้าเขาทนไม่ไหวเมื่อเห็นสถานการณ์ในโรงพยาบาลเพื่อประชาชน เขาจะรักษาผู้ป่วยอย่างสงบได้อย่างไร

หมอห้ามมีความรู้สึกมากเกินไปต่อทุกเรื่อง ความรู้สึกจะส่งผลต่อการทำงาน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท