นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 976 รบกวน,เสพสุขไปกับช่วงเวลาปัจจุบัน
ทันทีที่โจ่วอันก้าวเข้ามาในห้องผ่าตัด เฟิ่งชิงเฉินพูดความต้องการของนางให้โจ่วอันได้รับรู้ แน่นอนว่านางไม่ได้สังเกตเห็นความขมขื่นหรือความขืนใจของโจ่วอันเลยแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริง ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินสังเกตเห็นนางก็ไม่สนใจ เวลานี้คนที่นางสามารถพึ่งพาได้มีเพียงแค่โจ่วอัน ไม่ว่าโจ่วอันจะเต็มใจหรือไม่ เขาก็ต้องทำ นางสามารถล่อลวงโจ่วอันมาจากซีหลิงได้ แน่นอนว่านางก็สามารถล่อลวงให้โจ่วอันทำสิ่งอื่นได้
“โจ่วอัน เจ้าลองดู เจ้าสามารถหาวัสดุสำหรับทำหลอดนี่ได้หรือไม่” เฟิ่งชิงเฉินหยิบหลอดพลาสติกออกมาแล้วส่งให้โจ่วอัน
ไม่ว่าจะเป็นการเจาะเลือด การถ่ายเลือด หรือการหยดเลือด สายยางยาวนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี เมื่อเทียบกับอุปกรณ์อื่น ๆ มันค่อนข้างง่าย หากโจ่วอันไม่สามารถทำสิ่งนี้ขึ้นมาได้ก็อย่าหวังถึงเรื่องอื่น
โจ่วอันรับหลอดนั้นมาดู ลูบหลอดตั้งแต่ต้นจนปลาย เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงมองไปที่โจ่วอันอย่างกระตือรือร้น รอให้โจ่วอันพูดอะไรออกมา ตอนที่โจ่วอันดึงสายตาของเขากลับมา เฟิ่งชิงเฉินรีบถามออกไปด้วยความร้อนรนว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? เป็นอย่างไร? เจ้าสามารถทำมันขึ้นมาได้หรือไม่?”
ซุนซือสิงยืนอยู่ข้างเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาที่ชัดเจนของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความจริงจัง ทำให้ผู้คนอยากจะหยิกแก้มของเขา
แคก แคก……โจ่วอันกระแอมออกมา ดึงสายตาของตนเองกลับมา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “มันยากที่จะพูด สิ่งที่โปร่งใสนี้ หากแค่วิเคราะห์วัสดุและทำขึ้นมาคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากทำให้โปร่งใส่เช่นนี้ เกรงว่ามันจะยากเกินไป”
หลอดที่ยาวถึงเพียงนี้หากใช้มือทำขึ้นมาคงเหนื่อยแย่ เฟิ่งชิงเฉินเองก็รู้ถึงข้อนี้เช่นกัน แต่การปฏิรูปอุตสาหกรรมก็เป็นกระบวนการทีละขั้นตอน ภูมิปัญญาของมนุษย์นั้นไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มต้นด้วยงานฝีมือ และค่อย ๆ พัฒนาไปสู่อุตสาหกรรม แบบนั้นไม่ใช่หรือ?
“เจ้าลองพยายามดู ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จ แน่นอนว่าหลอดนี้ หากทำออกมาไม่ดีก็ไม่เป็นอะไร ต่อไปเจ้าลองดูว่ามีดเล่มนี้ เจ้าสามารถหาเหล็กดี ๆ ทำมีดเช่นนี้ออกมาได้หรือไม่?” โจ่วอันรู้สึกว่ามันพูดยาก ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ทันทีที่มาถึงเฟิ่งชิงเฉินก็คิดว่าเขาสามารถทำได้ทุกอย่างและหยิบยื่นมันให้กับเขา
ใบมีดของมีดผ่าตัดส่วนใหญ่จะเป็นแบบใช้แล้วทิ้ง ซึ่งมีเป็นการสูญเสียอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินหวังว่าโจ่วอันจะสามารถสร้างมีดผ่าตัดที่เหมาะมือออกมาได้ เช่นนั้นนางจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องจรรยาบรรณแพทย์ของตัวเอง
“ข้าไม่ใช่ช่างหลอม” โจ่วอันผลักไสออกมาด้วยความไม่พอใจ เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะกล่าวอะไรออกมา แต่ซุนซือสิงก็ก้าวออกมาและพูดขึ้นมาก่อนว่า “แต่พี่โจ่วอัน ไม่ว่าอะไรท่านก็สามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่แน่ว่าท่านอาจจะหลอมมันขึ้นมาสำเร็จก็เป็นไป พี่โจ่วอัน หากท่านไม่ลองทำดูแล้วท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าท่านทำไม่ได้?”
ใบหน้าของซุนซือสิงเต็มไปด้วยความจริงจัง โจ่วอันพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นิสัยแห่งความคลั่งไคล้การค้นคว้าของเขาที่ซ่อนอยู่ระเบิดออกมา “ซือสิงพูดถูก ไม่ลองลงมือทำแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองสามารถทำได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะสามารถสร้างมันขึ้นมาสำเร็จในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้”
“ข้าเชื่อใจในตัวของพี่โจ่วอัน ท่านจะต้องทำได้อย่างแน่นอน พี่โจ่วอัน ท่านลองดู ขวดใบนี้ดูดีใช่หรือไม่ ท่านอาจารย์บอกว่ามันเป็นขวดแก้ว ด้านในสะอาดมาก มีไว้บรรจุยาโดยเฉพาะ พี่โจ่วอัน ท่านว่าท่านสามารถหลอมมันออกมาได้หรือไม่?” ซุนซือสิงหยิบขวดแก้วขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจและมอบให้โจ่วอันราวกับสมบัติ
โจ่วอันมองดูอย่างระมัดระวัง หลังจากดูอยู่พักหนึ่งเขาก็ทุบขวดแก้วนั้น นำเศษที่แตกขึ้นมา พลิกไปพลิกมาอยู่เป็นเวลานาน หลังจากนั้นถึงบอกกับซุนซือสิงว่า เขาเคยทำสิ่งที่คล้ายกับมันมาก่อน แต่ไม่ได้งดงามและดูใสสะอาดถึงเพียงนี้ หากลองกลับไปทำดูอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะทำได้ตามความต้องการของเขา
ซุนซือสิงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกาย มองไปยังใบหน้าของโจ่วอันด้วยความนับถือ โจ่วอันเองก็รู้สึกภูมิใจ เล่าเรื่องตอนที่เขาสร้างสิ่งที่คล้ายแก้วในตอนนั้นออกมาให้ซุนซือสิงฟัง
ซุนซือสิงรับฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ค่อย ๆ หยิบของบนโต๊ะมาให้โจ่วอันทีละชิ้น พูดคุยเกี่ยวกับวัสดุในการสร้างสิ่งต่าง ๆ ทั้งสองพูดคุยกันด้วยความเข้าใจโดยปริยาย และลืมไปแล้วว่ามีเฟิ่งชิงเฉินอยู่ตรงนั้นด้วย
เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ตรงนั้น ดูทั้งสองคุยกันอย่างมีความสุขมาก ตอนแรกนางก็ยังพอเข้าใจ แต่ภายหลังนางรู้สึกว่ามันช่างน่าเศร้า บ้าที่สุด……นางไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น งานฝีมือคืออะไร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นางไม่สามารถเข้าใจได้
เอาละ ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ถูกเมิน และในฐานะผู้ที่ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องอุตสาหกรรม เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเศร้าและโกรธ นางทำได้เพียงออกไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้โจ่วอันและซุนซือสิงได้พูดคุยกันก็เพียงพอแล้ว
ตุบ ตุบ ตุบ นางเดินไปหาเสด็จอาเก้า
“ชิงเฉิน? เหตุใดเจ้าถึงได้มาเวลานี้?” เสด็จอาเก้าผลักงานที่อยู่ตรงหน้าออก เงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่หน้าประตูด้วยความสงสัย
เวลานี้เฟิ่งชิงเฉินควรจะอยู่ในห้องผ่าตัดถึงจะถูก เหตุใดนางถึงได้มาหาเขา หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นงั้นหรือ?
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ?” เสด็จอาเก้ารีบทิ้งงานที่อยู่ตรงหน้าและยืนขึ้นทันที
“เสด็จอาเก้า ศิษย์ของข้าไม่ต้องการข้าแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามาในห้องด้วยใบหน้าแห่งความเศร้าใจ
“ไม่ต้องการเจ้าแล้ว? หมายความว่าอย่างไร?” เจ้าบ้าซุนซือสิงนั่นคงไม่คิดที่จะกราบไหว้ผู้อื่นเป็นอาจารย์ใช่ไหม หากเป็นเช่นนั้นจริง เขาจะสั่งให้สายลับของเขาไปจัดการกับเจ้าเด็กบ้านั่น
แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้ากำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นพูดเรื่องที่ตนเองกำลังเสียใจออกมา มองมายังเสด็จอาเก้าด้วยใบหน้าที่น่าสงสาร “เรื่องราวมันก็เป็นเช่นนี้ เมื่อศิษย์ของข้ามีโจ่วอันอยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องการอาจารย์อย่างข้าแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกเศร้าใจอย่างแท้จริง เพียงแค่ไม่กี่วันที่ผ่านมา นางเหมือนจะลดความสำคัญของเสด็จอาเก้าลง ดังนั้นนางจึงใช้เหตุผลนี้ในการปลอบใจเสด็จอาเก้า
หากเฟิ่งชิงเฉินไม่พูดออกมาชัดเจนถึงเพียงนี้ เสด็จอาเก้ายังสามารถคิดปลอบใจตัวเองได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินคิดถึงเขา แต่เฟิ่งชิงเฉินอธิบายออกมาเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถปลอบใจตัวเองได้อีกต่อไป
ความกังวลในดวงตาของเขาสงบลง เสด็จอาเก้าจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉิน และในที่สุดก็หยุดอยู่ที่ใบหน้าอันเศร้าโศกของเฟิ่งชิงเฉิน
“เจ้าเสียใจอย่างนั้นหรือ? ศิษย์ของเจ้าไม่สนใจเจ้า เจ้าจึงนึกถึงข้า เจ้ารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เช่นนั้นข้าเรียกว่าอะไร?” เขาต่างหากที่เป็นคนที่ถูกเมิน แต่เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เนื่องจากเขาเป็นคนขอร้องให้เฟิ่งชิงเฉินรักษาองค์รัชทายาท เฟิ่งชิงเฉินจึงมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องอาการป่วยขององค์รัชทายาท
“เจ้ายุ่งมาไม่ใช่หรือ ช่วงเวลาปกติข้าจึงไม่อยากรบกวนเจ้า ผู้ชายเห็นงานเป็นสิ่งสำคัญ ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าไม่ชอบผู้ชายขี้อ้อน ขี้งอแงราวกับผู้หญิง” เฟิ่งชิงเฉินดึงแขนเสื้อของเสด็จอาเก้าพร้อมกับอธิบายออกมา สุดท้ายนางก็ต้องการบอกว่านางไม่ผิด
“เจ้านี่มัน……อะไรก็เป็นเหตุเป็นผลไปเสียหมด” เสด็จอาเก้าเห็นเฟิ่งชิงเฉินทำตัวเหมือนลูกสะใภ้ตัวน้อย เขานำมือออกไปลูบศีรษะของนาง “ก็ได้ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ว่าง ข้าก็ไม่ได้โกรธอะไรเจ้า ส่วนลูกศิษย์ของเจ้า เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว” หรือพูดอีกอย่างคือ เจ้าไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกับเขาทั้งวัน
“เรื่องศิษย์ของข้าก็คงเป็นเช่นนั้น สุดท้ายแล้วเสด็จอาเก้าของข้าก็ดีที่สุด” เวลานี้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ดูโศกเศร้าอีกต่อไป นางยื่นมือออกมาโอบเอวของเสด็จอาเก้า เอนตัวเข้ามาในอ้อมแขนของเขาด้วยความอ่อนโยน
มุมปากของเสด็จอาเก้าเผยให้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ จากนั้นโอบกอดไปด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉิน วางหน้าผากของเขาไว้บนหัวไหล่ของนาง ทั้งสองยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น “ข้าปฏิบัติกับเจ้าอย่างดีมาโดยตลอด”
ในช่วงเวลาแห่งความมั่นคง โลกเต็มไปด้วยความสงบสุข แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่พวกเขาก็รู้สึกมีความสุขกับช่วงเวลาปัจจุบัน
แต่……มีคนที่ไม่อยากเห็นพวกเขามีความสุข ไม่ง่ายเลยว่าที่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินจะมีเวลาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ และในขณะนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากด้านนอก
“มีคนที่ไม่รู้จักบุกเข้ามาจากภายนอก” เมื่อได้ยินเสียงที่ดูร้อนรน เสด็จอาเก้ารู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เขารีบปล่อยเฟิ่งชิงเฉินและพาเฟิ่งชิงเฉินออกมาด้านนอก……