ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 411
หวงไท่โฮ่วโมโหจนทั่วทั้งร่างกายสั่นไหว นางโมโหจนทนไม่ไหวยกมือขึ้นเพื่อที่จะตบลงไปบนใบหน้าของนาง
นางอดทดเอาไว้ ก่อนเอ่ยออกมาอย่างผิดหวังจนถึงขีดสุด “เจ้ายังจำได้ไหมในตอนที่อาเจี๋ยคลอดออกมา เจ้ากอดเขาเอาไว้แล้วเอ่ยกับข้า ในใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่จะสำคัญไปกว่าเขาแล้ว เจ้ายังเอ่ยว่านี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่สวรรค์ประทานให้แก่เจ้า”
กุ้ยไท่เฟยยิ้มเย็น ใช่แล้ว เพราะคลอดเขาออกมา ฝ่าบาทจึงได้แต่งตั้งนางให้เป็นกุ้ยเฟย จริง ๆ แล้ว เขาเป็นของขวัญที่ดีที่สุด
แต่ว่าแววตามีความคิดถึงอาลัยเผยออกมา เป็นความคิดถึงอาลัยที่มีต่อชายผู้นั้น เขาตลอดชีวิตนี้ไม่เคยที่จะรับรู้ว่านางรักเขามากเพียงใด
หวงไท่โฮ่วเมื่อพบว่านางมีความอบอุ่นแผ่ออกมา คิดว่าสามารถพูดจนนางเข้าใจได้ จึงได้เอ่ยต่อไป “ยังจำได้หรือไม่? ก่อนที่อาเจี๋ยจะมีอายุครบสามขวบ ใครก็ไม่ต้องการ ต้องการเพียงเจ้าและซือจู แม้แต่ข้าก็ยังกอดได้เพียงครั้งคราว ในตอนนั้นเจ้ายังบอกว่าเขาดื้อรั้น เกรงว่าทั้งชีวิตนี้คงจะหนีหายจากเจ้าผู้เป็นมารดาไปไม่ได้แน่”
มีน้ำตาค่อย ๆ ไหลออกมา แต่กลับเป็นป้าซือจู
คิดถึงในปีนั้น ท่านอ๋องนั้นตัวติดกันแจ และยังว่านอนสอนง่าย ยังเชื่อฟังคำสั่งสอน อายุยังไม่ครบสามขวบปีก็รู้จักเก็บของกินอร่อยไว้ให้ท่านแม่และป้าซือจูแล้ว
หวงไท่โฮ่วยังคงเอ่ยต่อไป “องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนทรงมีพระโอรสมากมาย แต่คนที่พระองค์รักใคร่มากที่สุดคืออาเจี๋ย หากไม่ใช่ว่าราชวงศ์จะต้องเรียงตามลำดับแล้ว ตำแหน่งของจักรพรรดินี้คงจะเป็นของเขาเป็นแน่ แต่ว่าเด็กคนนี้เคยใส่ใจต่อสิ่งเหล่านี้หรือ? เพื่อจะปกป้องขุนเขาของเสด็จพี่ของเขา เขาทุ่มเทอย่างไม่ลดละความพยายาม ยอมแม้แต่ต้องต่อสู้จนนองเลือดมาหลายครั้ง เพื่อขับไล่อำนาจเหล่านั้น เจ้าที่เป็นมารดา จะไม่ภาคภูมิใจกับเขาบ้างหรือ?”
ราชวงศ์ต้าโจวนั้นสืบทอดบัลลังก์โดยการเรียงตามลำดับอายุ แต่ไม่ได้ดูที่คุณธรรม นี่ก็เป็นสิ่งที่นางโกรธเกลียด
ในปีนั้นองค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนทั้งรักทั้งทรงทะนุถนอมมู่หรงเจี๋ย นางคิดว่าพระองค์จะทรงยินยอมละทิ้งกฎเกณฑ์นี้ เพื่อสืบทอดบรรลังค์โดยคุณธรรม ความสามารถแทนอาวุโส แต่ว่านางประเมินความรักที่องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนมีต่อมู่หรงเจี๋ยสูงเกินไป พระองค์ไม่มีแม้แต่ความคิดที่จะแต่งตั้งให้เขาเป็นองค์รัชทายาท
ยังคงจำได้ในปีนั้น อาเจี๋ยมีอายุได้หกขวบปี พระองค์นำพวกนางสองแม่ลูกตามเสด็จล่าสัตว์
วัยเยาว์ที่อายุยังน้อยอย่างอาเจี๋ย สามารถยิงธนูฆ่าหมาป่าไปได้หนึ่งตัว นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงราชวงศ์ ศิลปะการต่อสู้เยี่ยงนี้ก็ยากนักที่จะพบเห็นได้
ในตอนนั้นพระองค์ทรงเบิกบานใจยิ่งนัก ยังโอบกอดเขาไว้กลางลานแล้วหมุนไปหลายต่อหลายรอบ จากนั้นก็เอ่ยกับข้าราชบริพานที่ตามเสด็จล่าสัตว์ว่า “บุตรชายของข้าผู้นี้ วันข้างหน้าจะต้องกลายเป็นกำลังสำคัญเป็นแน่”
นางในตอนนั้นก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย มองเห็นพระองค์ดีพระทัยเป็นอย่างมาก นางยังตื่นเต้นจนน้ำตาคลอเบ้า
นางรู้สึกว่าฝ่าบาทอาจจะตัดสินใจอะไรออกมาก็เป็นได้
ดังนั้นในคืนที่นางรับใช้ฝ่าบาทนั้น จงใจทำราวกับไม่ได้ตั้งใจที่จะเอ่ยถึงกฎเกณฑ์การแต่งตั้งองค์รัชทายาทของราชวงศ์
พระองค์ทรงตบลงบนใบหน้าของนาง และพูดกับนางด้วยความโมโห “ข้าไม่มีทางที่จะแต่งตั้งอาเจี๋ยให้เป็นรัชทายาท ราชวงศ์มีกฎเกณฑ์อยู่ จะต้องแต่งตั้งให้แก่โอรสองค์โตก่อน ต่อให้จะไม่มีกฎเกณฑ์ข้อนี้ ข้าก็ไม่มีวันแต่งตั้งให้อาเจี๋ยเป็นรัชทายาท เพราะว่าเสด็จแม่ของเขาใจคิดการใหญ่เกิน ร่างกายของข้าไม่ค่อยจะดีนัก หากว่าแต่งตั้งอาเจี๋ยแล้ว บุตรและมารดาต่างล้วนยังแข็งแรง จะก่อให้เกิดหายนะขึ้นมาได้ นอกซะจากว่า เจ้าจะยินยอมถูกฝังไปพร้อมกันกับข้า”
รอยตบและคำพูดที่โหดร้ายนี้ นางยังจำได้จนถึงทุกวันนี้
นางที่มีใจเดียวรักมั่นต่อชายผู้นั้น เดิมคิดว่าเขานอกซะจากความโปรดปรานที่องค์จักรพรรดิมีให้ตนแล้ว ยังมีรักแท้ปะปนอยู่ด้วย กลับคิดไม่ถึงว่า ในใจของเขานั้น ตนกลับเป็นเพียงแค่คนที่มีจิตใจทะเยอทะยาน
ไม่ผิด นางยอมรับว่าตนมีใจคิดทะเยอทะยาน แต่ทว่าทำไมชายหนุ่มนั้นมีได้ทะเยอทะยานได้ แต่หญิงสาวกลับไม่ได้? ในตอนนั้นหวงไท่โฮ่วจะไม่มีใจคิดทะเยอทะยานหรือ? หากไม่ใช่ว่ามีข้าราชบริพานในราชสำนักคอยถ่วงดุลอำนาจอยู่ นางก็คงจะสถาปนาตนเป็นจักรพรรดินีไปแล้ว
“ภาคภูมิใจ ภาคภูมิใจอย่างไรกัน? เขาในวันนี้สามารถมาถึงตำแหน่งผู้สำเส็จราชการแทนองค์จักรพรรดิ ได้ดูแลเมืองแทน ล้วนแล้วแต่เป็นเสด็จพี่ที่แต่งตั้งให้” กุ้ยไท่เฟยเอ่ยออกมา
หวงไท่โฮ่วเมื่อได้ฟังคำของนาง น้ำเสียงอ่อนโยน แต่ละคำล้วนแต่ทิ่มแทง
นางถอนหายใจเบา ๆ “ตอนนี้เจ้าเป็นถึงกุ้ยไท่เฟย สำราญใจไปกับความรุ่งโรจน์มั่งคั่งร่ำรวย เจ้ายังจะมีที่ใดไม่พอใจอีก?”