ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 499
หวงไท่โฮ่วเมื่อได้ฟังคำประโยคนี้ ในใจนั้นก็รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก “จิ้นกั๋วกง คำพูดนั้นเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้ไม่ผิดนัก แต่ทว่า หากว่าต้องการจะเผาทำลายหมู่บ้านนั้นทิ้ง ก็จะหมายถึงว่าจำต้องเผาทำลายชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้าศิลาหลายร้อยชีวิต มีบางคนที่เป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ พวกเขายังมิได้ติดโรคร้ายนี้”
จิ้นกั๋วกงเอ่ยตอบกลับในทันที “หวงไท่โฮ่ว หากว่าต้องเผาทำลายชีวิตผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ ผู้ใดก็ไม่ยินยอม แต่แล้วจะมีวิธีการใดอีก? จนถึงทุกวันนี้ หมอหลวงและสำนักฮุ้ยหมินยังคิดถึงวิธีการรับมือกับโรคระบาดในครั้งนี้ไม่ได้ ราษฎรต่างก็เริ่มที่จะมีการคาดเดากันแล้วว่า นี่ไม่ใช่โรคระบาดอะไรทั้งนั้น แต่เป็นผีสาง ว่าเป็นเพราะสวรรค์กำลังลงทัณฑ์ต้าโจวอยู่ คำพูดซุบซิบเหล่านี้หากว่าแพร่ออกไปในทุกท้องที่แล้ว จะต้องทำให้เกิดความโกลาหลในหมู่ราษฎรเป็นแน่ หากว่ามีผู้ที่ใจคิดการใหญ่จะต้องอาศัยช่วงโอกาสนี้ลงมือเป็นแน่ ทำลายขุนเขาของต้าโจวทิ้งเสีย เมื่อถึงตอนนั้น ขุนเขาของตระกูลมู่หรงก็จะอันตรายแล้ว”
ราชครูเหลียงเองก็ไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ จึงได้เอ่ยออกมา “หวงไท่โฮ่ว หม่อนฉันก็เห็นด้วยกับวิธีการที่จิ้นกั๋วกงเอ่ยออกมาพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้มิอาจยืดเยื้อได้อีกต่อไปแล้ว หากว่ายืดเยื้อออกไป ก็ไม่รู้ว่าจะส่งผลกระทบให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก หากว่าเกิดความโกลาหลขึ้นในต้าโจวแล้ว ก็ยากที่จะรับรองได้ว่าทางด้านเป่ยโม่นั้นจะไม่ลงมือ”
หวงไท่โฮ่วโบกมือออกไป “ราชครูพูดออกมาเกินจริงไปเสียแล้ว เป่ยโม่และต้าโจวของเราได้ทำการตกลงตามข้อสัญญากันแล้ว”
ราชครูเหลียงเอ่ยออกมา “ไท่โฮ่ว นี่มันผ่านมาเท่าไหร่แล้ว มีจักรพรรดิกี่พระองค์มาแล้วที่ทำผิดข้อสัญญา? ท่านคงกลัว แต่ว่าคงจะมิอาจนับออกมาได้ ขุนเขาของต้าโจวพวกเรานั้นสวยงามเพียงใดกัน มีทั้งทุ่งกว้างและูเขาสูงใหญ่ ในสายตาของต่างเมืองนั้น ก็เป็นดังเนื้อหมูติดมัน ต่างก็คอยที่จะเฝ้าดูกันอยู่ ทุกวันนี้ต้าโจวของพวกเรา หากเป็นเพราะว่าโรคระบาดนี้ก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้น ก็จะเป็นโอกาสอันดีของพวกเขาที่จะบุกรุกเข้ามา พวกเขาจะมามัวสนใจอันใดกันว่ามีสัญาหรือไม่มีสัญญากัน?”
ใต้เท้าชุยเองก็เอ่ยขึ้นมา “ที่ราชครูเอ่ยออกมานั้นไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่ว่าการเผาทำลายหมู่บ้านทิ้งสุดท้ายแล้วก็ยังไม่ใช่ทางออกที่ดี เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนมากมายนัก เผาหมู่บ้านศิลาทิ้ง แล้วทหารในกองทัพเล่า? แล้วผู้คนบนถนนซีเป่ยเล่า? ล้วนจะต้องถูกเผาทิ้งไปด้วยกันหรือไม่?”
ราชครูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “หากว่าเมื่อถึงตอนที่ไม่มีวิธีการใดแล้ว ก็ต้องทำเป็นทางเลือกสุดท้าย อย่างไรเสีย ก็ดีกว่าปล่อยให้โรคระบาดแพร่กระจายไปทั่ว”
พรรคพวกของราชครูนั้น ค่อย ๆ ทยอยกันส่งเสียงออกมา “กระหม่อนขอให้หวงไท่โฮ่วแลท่านอ๋องทรงประทานคำสั่งลงมาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เผาหมู่บ้านศิลาทิ้งเสีย เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรที่เกิดขึ้นด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
การคุกเข่าลงในครั้งนี้ เป็นเหล่าขุนนางที่คุกเข่าลงมากกว่าหนึ่งในสาม เป็นเหมือนดั่งการข่มขู่
มู่หรงเจี๋ยมองลงมายังศีรษะที่เป็นจุดดำ ๆ อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย แววตามีพายุกรุ่นโกรธที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
เซียวเซียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ราชครูนั้นแต่ละคำล้วนแต่เอ่ยว่าไม่มีทางเลือก ช่างทำให้ในใจของผู้คนดูเหน็บหนาวเสียจริง เพียงแต่ไม่รู้ว่าหากเป็นราชครูที่ติดโรคระบาดนี้เข้า ผู้อื่นเอ่ยว่าต้องการจะเผาทำลายท่านทิ้งเสีย ท่านจะรู้สึกอย่างไรกัน?”
ราชครูเอ่ยตอบกลับด้วยความยุติธรรมในทันที “หากว่าตัวข้านั้นติดเชื้อโรคระบาดนี้เข้า ก็จะสามารถทำร้ายผู้อื่นได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าก็คงขอร้องออกไปด้วยตนเองว่า ให้เผาข้าให้ตายเสีย หลีกเลี่ยงมิให้อยู่บนโลกนี้แล้วทำร้ายผู้อื่นต่อไป”
เซียวเซียวเอ่ย “ถึงจะเป็นเช่นนั้นจริง แต่มันก็ยังมิได้เกิดขึ้นกับตัวของราชครู? แต่ถ้าหากเมื่อเกิดขึ้นแล้ว เกรงก็แต่ว่าราชครูจะไม่มีทางเอ่ยออกมาเยี่ยงนี้”
ราชครูมองมายังเซียวเซียว “ท่านแม่ทัพใหญ่เซียวคำพูดนี้ของท่านช่างทำให้ข้านั้นผิดหวังเสียจริง ท่านที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ในราชสำนัก เป็นถึงหูตาขององค์จักรพรรดิ แต่กลับเอ่ยประโยคที่เห็นแก่ตนเองออกมาได้เสียอย่างนั้น หากว่าผู้คนในต้าโจวล้วนแต่เป็นเยี่ยงท่าน ที่เอาแต่สนใจแต่ชีวิตของตน ต้าโจวของข้าคงจะได้ล่มสลายไปนานแล้ว”
เซียวเซียวยิ้มเย็นขึ้นมา “ความหมายของราชครูก็คือ ต้าโจวที่สามารถมีความมั่นคงรุ่งเรือง และสงบสุขได้เช่นทุกวันนี้แล้วนั้น ไม่ใช่เป็นเพราะเหล่าทหารหานตามแนวชายแดนใช้เลือดใช้ชีวิตสร้างแนวป้องกันชาติเอาไว้ แต่เป็นเพราะว่ามีผู้ที่มีใจเยี่ยงราชครูเช่นนั้นหรือ?”
หวงไท่โฮ่วเมื่อได้ฟังทั้งสองที่เริ่มจะทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเอ่ยถาม “อาเจี๋ย เจ้ามีความเห็นเช่นไรบ้าง?”
นางเป็นเพียงสตรีที่มีจิตใจอ่อนโยน เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ของบ้านเมือง อย่างไรเสียก็ยังคงต้องฟังความเห็นจากเขา
มู่หรงเจี๋ยกลับมองไปยังทางด้านของมหาเสนาบดีเซี่ย “มหาเสนาบดีเซี่ยมีความเห็นว่าอย่างไรกัน?”
มหาเสนาบดีเซี่ยราวกับว่าคาดไม่ถึงว่า มู่หรงเจี๋ยจู่ ๆ ก็เอ่ยถามตนออกมา จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “กระหม่อม กระหม่อมคิดว่า การเผาทำลายหมู่บ้านนั้นอาจจะไม่ได้ผลพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นแล้วต้องใช้วิธีการใดถึงจะได้ผลกันเล่า?” มู่หรงเจี๋ยเอ่ยถามออกมาอีกครั้ง
มหาเสนาบดีเซี่ยจึงได้ส่งเสียงเอ่ยออกมา “กระหม่อมคิดว่า มีเพียงแต่หาวิธีการที่จะควบคุมรักษาโรคระบาดได้เท่านั้น จึงจะเป็นกลยุทธที่ดีที่สุดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้นกั๋วกงยิ้มเย็นออกมา “มหาเสนาบดีเซี่ย คำพูดเช่นนี้ ผู้ใดจะมิอาจเอ่ยออกมาได้กัน? แม้แต่หมอหลวงและสำนักฮุ้ยหมินล้วนแต่ไม่มีวิธีที่จะเยียวยา ไม่ อย่าได้เอ่ยถึงว่าจะเยียวยาอันใดกัน แม้แต่การระบาดนี้มาจากที่ใดก็ยังมิอาจรู้ได้ แต่ว่าในหมู่ราษฎรนั้นมีการเล่าลือกันไปว่า บุตรสาวของท่านเซี่ยจื่ออันนั้นรู้วิธีการรักษาโรคระบาดชนิดนี้ แต่ว่า ก็ได้ยินมาว่ามหาเสนาบดีนั้นคอยปกป้องบุตรสาวตนอยู่ ตัดใจไม่ได้ที่จะให้นางไปยังพื้นที่ภัยพิบัติ”