ยอดหมอหญิงมหัศจรรย์ บทที่ 737
ทุกเรื่องต่างก็เป็นไปในทางที่ดี ความหม่นหมองในใจของทุกคนก็ถือได้ว่าสลายไปแล้ว
หลังจากที่หลิวเย่ว์ออกมาแล้ว จื่ออันก็เอ่ยถาม “เช่นนั้น จะสามารถนำเขาละมั่งโลหิตมอบให้พวกเราได้หรือไม่?”
หลิวเย่ว์เอ่ยออกมาอย่างเขินอาย “ไม่ใช่ของข้าเสียหน่อย เจ้าถามเขาสิ ในปีนั้นเป็นข้าที่ขโมยของเขามา”
“ยอมรับก็ดีแล้ว” ซ่งรุ่ยหยางกลอกตาขาวใส่นาง หลังจากเกิดเรื่องในปีนั้นแล้ว นางขโมยเขาละมั่งโลหิตได้ก็หนีไป
จื่ออันมองไปยังซ่งรุ่ยหยาบ “ฝ่าบาท เช่นนั้นคงต้องถามท่านแล้ว”
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยกับหลิวเย่ว์ “นำให้นางเถิด สถานการณ์ของจ้วงจ้วงไม่ดีนัก ต้องการเขาละมั่งโลหิต ถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้”
หลิวเย่ว์เอ่ย “อยู่ในโรงเตี้ยม พวกเจ้าให้ใครก็ได้ตามไปเอามากับข้า?”
“เซียวท่า!” จื่ออันร้องเรียกออกมา
“มาแล้ว!” เซียวท่าเดินเข้ามา “อยู่นี่แล้ว”
“เจ้าตามหลิวเย่ว์ไปเอาเขาละมั่งโลหิต ซูชิงเจ้าไปรับเซี่ยหลินจากเรือนฟังเสียงฝน ข้าจะรอดูให้สถานการณ์ของอ๋องเหลียงแล้วค่อยตามไป” จื่ออันเอ่ย
“ตกลง!” ทั้งสองคนออกจากจวนพร้อมกัน แล้วแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่
ซ่งรุ่ยหยางไม่ได้ตามออกไป เขามองไปยังซุนกงเยี่ยน เอ่ยสั่งออกมาด้วยท่าทีเย็นชา “เจ้ากลับไปที่พักก่อน หากว่าไม่มีคำสั่งของข้าแล้ว ห้ามออกจากที่พักแม้แต่ก้าวเดียว”
ใบหน้าของกงซุนเยี่ยนดูมืดมน “กระหม่อมทูลลา!”
กงซุนเยี่ยนมีองค์รักษ์สองนายคุมตัวไปส่ง กงซุนเยี่ยนนั้นมีวรยุทธ์สูง เป็นเพียงคนข้างกายคนเดียวที่เก่งทั้งบุ๊นและบู๊ มีสายสัมพันธ์เป็นสหายกันมาตั้งแต่เล็ก เดิมทีควรเป็นคนที่รู้ใจเขามากที่สุด ทว่าเขากลับหักหลังเขา
อี๋เอ๋อร์ที่หลบอยู่ด้านหลังของจื่ออันตลอดเวลา แอบลอบมองไปยังซ่งรุ่ยหยาง ในใจมักจะมีความรู้สึกแปลกประหลาด
ซ่งรุ่ยหยางยิ้มเอ่ยทัก “เข้ามา”
อี๋เอ๋อร์เดินเข้าไป เอ่ยเสียงเบา “มาแล้ว”
ซ่งรุ่ยหยางมองมายังนาง และแน่นอนว่าในใจย่อมต้องเกิดความรู้สึกประหลาดบางอย่างขึ้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ เขาก็ยังไม่เคยมีลูกมาก่อน และเพราะเหตุนี้ เคยถูกเสด็จพ่อดุด่ามาแล้วหลายครั้ง ในฐานะที่เป็นรัชทายาท หน้าที่ของเขาก็คือสืบสันติวงศ์ ทว่าโชคดีที่ถึงแม้ว่าจะถูกเสด็จพ่อดุด่า แต่กลับไม่เคยบีบบังคับเขา
“อี๋เอ๋อร์ เจ้าบอกข้ามา ท่านแม่ของเจ้าพูดกับเจ้าถึงข้าว่าอย่างไรบ้าง?” ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยถาม
อี๋เอ๋อร์เอ่ย “ท่านแม่บอกข้าว่าท่านพ่อตายไปแล้ว?”
“ตายแล้ว?” สีหน้าของซ่งรุ่ยหยางดูหงุดหงิดเล็กน้อย “นางบอกหรือไม่ว่าตายไปอย่างไร?”
“ถูกสุนัขกัดตาย” อี๋เอ๋อร์เมื่อเห็นว่าเขาดูไม่ค่อยจะพอใจนัก ก็ไม่กล้าที่จะโกหก “นางบอกว่าท่านไปแย่งข้าวสุนัขกิน ก็เลยถูกสุนัขกัดจนตาย”
ซ่งรุ่ยหยางกัดฟันเอ่ยออกมา “นางช่างมีหน้าเอ่ยถึง”
อี๋เอ๋อร์เอ่ยปลอบ “ท่านอย่าได้โมโหไปเลย ท่านแม่บอกว่าในตอนที่ท่านตายไปนั้น ก็กินอิ่มแล้ว ถือได้ว่าเป็นผีที่กินอิ่มตาย”
“ไม่ใช่ว่าไปแย่งข้าวสุนัขกินหรอกหรือ? แล้วจะกินอิ่มได้อย่างไร?” ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจนัก
“ท่านแย่งมาได้ แต่ว่าต่อสู้แพ้ไป”
จื่ออันและหลิวหลิ่วที่ได้ยินจากด้านข้าง ต่างพากันหัวเราะขึ้นมา
ใบหน้าของซ่งรุ่ยหยางดูบิดเบี้ยว “กลับไปจะต้องทุบตีนางสักยกใหญ่”
อี๋เอ๋อร์รู้สึกสับสนเล็กน้อย “เช่นนั้นท้ายที่สุดแล้ว ท่านมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? สุนัขไม่ได้กัดท่านจนตายหรอกหรือ?”
จื่ออันอาศัยโอกาสก่อนที่ซ่งรุ่ยหยางจะคลุ้มคลั่งขึ้นมา ดึงอี๋เอ๋อร์ออกไป ยิ้มแล้วเอ่ย “อี๋เอ๋อร์ ท่ามแม่ของเจ้าหลอกเจ้าแล้ว ท่านพ่อของเจ้าไม่ได้แย่งข้าวสุนัข และก็ไม่ได้ถูกสุนัขกัด”
อี๋เอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ไม่ ท่านแม่ไม่มีทางหลอกข้า อีกทั้งเรื่องนี้นางเองก็เอ่ยออกมาตั้งหลายครั้ง นางจะต้องคิดว่าท่านพ่อถูกสุนัขกัดจนตายไปอย่างแน่นอน”
“นางหวังเพียงแต่ให้ข้าถูกสุนัขกัดตาย” ซ่งรุยหยางเองก็คร้านที่จะโมโหแล้ว หากว่าโมโหไปก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
อี๋เอ๋อร์มองมายังเขา ก่อนจะมองไปยังจื่ออัน รู้สึกยากที่จะเข้าใจได้ว่าในปีนั้นเกิดอะไรขึ้น