ตอนที่ 51 ไปนอนก่อนนะ
โม่หันกลับมาถึงบ้านราวๆ สี่ทุ่ม ในมือถืออาหารที่ซื้อมาจากร้านค้าใกล้ๆ สำนักงาน ตอนแรกตั้งใจจะซื้อแค่ในส่วนของซย่าชิงอี แต่สุดท้ายก็ซื้อมาอีกที่จนได้ เขาชักเจริญอาหารมากขึ้นตั้งแต่เธอย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน
เมื่อเดินไปตามทางเดินและเปลี่ยนเป็นรองเท้าเดินในบ้าน เขาก็เห็นเธอในชุดนอนตัวโคร่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นเผยให้เห็นเรียวขาเล็ก ซย่าชิงอีเอนตัวพิงกับโซฟาขณะที่ดูโทรทัศน์อยู่
“นั่งบนพื้นไม่เย็นบ้างเหรอ” เขาวางอาหารลงบนโต๊ะ
ดวงตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าอาหารของเธอมาถึงแล้ว “ไม่เลยค่ะ สบายดีออก” ก้าวเดินมาที่โต๊ะกินข้าวและเปิดกล่องอาหาร “พี่ไม่คิดว่าซื้อมาเยอะเกินไปหน่อยเหรอคะ”
“พี่จะกินด้วย”
อีกฝ่ายมองเขาแวบหนึ่งก่อนฉีกยิ้มกว้าง “ดีเลยค่ะ กินเป็นเพื่อนฉัน มากินด้วยกันนะคะ”
เขาถอดเนกไทด้วยมือเพียงข้างเดียว ปลดกระดุมตรงปลายแขนเสื้อพลางเดินไปที่ห้องนอน “เดี๋ยวก่อน วางไว้บนโต๊ะนั่นแหละ พี่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
ซย่าชิงอีจ้องมองกล่องอาหารที่เปิดทิ้งไว้ “เร็วๆ นะคะ! ”
เมื่อโม่หันเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเสร็จก็พบว่าอีกฝ่ายนั่งลงที่โต๊ะกินข้าวเรียบร้อยแล้ว เธอถือตะเกียบไว้ในมือพร้อมจ้องอาหารตาเป็นมัน
“ลงมือกินกันเถอะ” ยังพูดไม่ทันจบประโยค ซย่าชิงอีก็ขยับตัวไปจัดการอาหารตรงหน้าแล้ว
เห็นท่าทางหิวโหยของเธอแบบนั้น เขาก็หัวเราะกับตัวเองขึ้นมา จากนั้นก็หยิบตะเกียบขึ้นและเริ่มกินเช่นกัน
เวลาที่เธอกินอาหาร เจ้าตัวมักไม่สนใจคนรอบข้างและไม่ค่อยพูดอะไร เอาแต่ตักอาหารเข้าจนเต็มปากแก้ม ดวงตากลมโตเหมือนกับสัตว์ตัวเล็กๆ ที่กำลังหิวโหยอยู่
“ค่อยๆ กินสิ ไม่มีใครมาแย่งเธอกินหรอกนะ”
“ฉันไม่ได้กินข้าวเย็นมานี่คะ หิวมาตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว” เธอมุ่ยหน้า
“ทำไมเธอไม่หาข้าวเย็นกินล่ะ”
“เพราะคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นนั่นแหละค่ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจเลยมาถามฉันเกี่ยวกับคดีอีกครั้งเพราะฉันเป็นคนโทรไปแจ้งเหตุ ฉันเลยไปกินข้าวไม่ได้ยังไงล่ะคะ”
“เธอแค่ต้องบอกทุกอย่างที่เธอรู้กับเขา พี่รู้จักเจ้าหน้าที่หลายคนที่นี่ ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายใจ พี่บอกให้พวกเขาไปหาเธอให้น้อยลงได้นะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักคดีก็น่าจะคลี่คลายแล้วล่ะ”
คนฟังเงยหน้าขึ้นแล้วหรี่ตามองเธอที่กินอาหารอย่างจริงจัง “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
เธอสบตาเขาก่อนพูดขึ้นเสียงเรียบ “มันน่าจะจบในเร็วๆ นี้แหละค่ะ ช่วงหลังมานี้ทางตำรวจไม่ได้ดำเนินการอะไรมากเท่าไหร่”
เขาอยากจะถามให้มากขึ้น แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายจดจ่อกับอาหารตรงหน้าก็ก้มหน้าลงกินอาหารต่อ
หลังจากทั้งคู่กินอาหารเสร็จ เด็กสาวหยิบจานชามไปล้างก่อนค่อยๆ เดินตรงไปยังห้องนอนของอีกคนกระชับพรมผืนนุ่มไว้ในมือเหมือนปกติ ขณะที่เขาหยิบแล็ปท็อปไปที่อีกห้องเพื่อทำงานที่ยังค้างอยู่
“พี่ ฉันไปนอนก่อนนะคะ” เธอตะโกนบอกจากทางประตูห้องนอน
เขาไม่ได้ตอบกลับไป รู้ว่าคงไม่มีทางที่จะไปเปลี่ยนนิสัยที่ชอบมานอนบนพรมในห้องนอนเขาได้ เธอมักจะอ้างเหตุผลต่างๆ นานา เพื่อโน้มน้าวให้ยอมทำตามที่เธอต้องการอยู่เสมอ
และเขาก็รู้ว่าตัวเองเริ่มที่จะยอมรับนิสัยแปลกๆ ของอีกฝ่ายเข้าเสียแล้ว
ตอนที่ 52 อ้อมแขนบนเอวของเธอ
“เธอเก็บของเสร็จหรือยัง กำลังจะสายแล้วนะ! ” เช้าวันถัดมา โม่หันยืนอยู่ข้างรถในชุดสูทสีกรม เขามองนาฬิกาขณะตะโกนบอกซย่าชิงอีที่ค่อยๆ ยืดยาดเก็บของลงกระเป๋าอยู่ในบ้าน
“เสร็จแล้วค่ะๆ ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ! ” เธอถือบางอย่างไว้ในมือขณะที่รื้อของบนโซฟา มองหาหนังสือเรียนที่วางทิ้งไว้
“พี่ เห็นหนังสือของฉันบ้างไหม” เธอหาที่ไหนก็ไม่เจอเสียที
“เมื่อวานพี่วางไว้บนโต๊ะให้ ไม่เห็นเหรอ”
เธอมองตามไปที่โต๊ะ คว้าหนังสือก่อนรีบออกไปที่ประตู เปลี่ยนรองเท้าอย่างรีบเร่ง หยิบกระเป๋าก่อนล็อกประตูบ้านแล้ววิ่งไปหาอีกฝ่าย
“ถ้าเธอตื่นเช้ากว่านี้หน่อยคงไม่ต้องรีบแบบนี้หรอก” เขาเอ่ยขึ้นพลางพิงตัวกับกระจกรถ
“ถึงอยากตื่นฉันก็ตื่นไม่ไหวหรอกค่ะ” เธอพึมพำเมื่อเดินมาถึงตัวเขา วางหนังสือที่ถือไว้ในมือลง ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนหันมาหยิบขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่เธอก้มตัวลง สายตาของเขาบังเอิญมองค้างอยู่ที่เอวซึ่งโผล่พ้นร่มผ้าออกมา อยากจะหันไปอีกทางในคราแรก แต่เขากลับเหลือบเห็นบางอย่างผิดปกติ
ซย่าชิงอีหยิบหนังสือและในจังหวะที่จะยืดตัวขึ้นก็เหมือนมีใครบางคนยืนอยู่ด้านหลัง เธอรู้สึกถึงสัมผัสที่เอว นิ้วนั้นลูบอย่างแผ่วเบาไปตามผิวของเธอ เธอชะงักไปก่อนหันไปมองผ่านไหล่และพบว่าเป็นโม่หันที่ยืนอยู่ข้างหลัง ดวงตาของเขากำลังจ้องมาที่เอวของเธอ
“มีอะไรเหรอคะ” เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“รอยบนเอวของเธอมาจากไหนเหรอ” เขากล่าวเสียงเย็น
คนถูกถามดึงชายเสื้อและหันคอไปมองแต่เธอก็มองไม่เห็นอะไร “อะไรเหรอคะ รอยแผลเป็นเหรอ”
เขาปล่อยมือที่จับเอวของเธออยู่ “น่าจะเป็นรอยสักนะ”
เจ้าของเอวมุ่นคิ้วก่อนพยายามเอี้ยวคอไปมอง “รอยสักเหรอ ทำไมฉันไม่รู้มาก่อนเลยล่ะ รอยสักอะไรเหรอคะ”
เขาเอ่ยเสียงนิ่ง “เป็นแผ่นหลังของผู้ชายกับตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า C&L”
เมื่อได้ยินตัวอักษรสองตัวนั้น เธอก็นิ่งงันไป ภาพบางอย่างฉายแวบเข้ามาในหัว
ภาพผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังเธอกำลังไล้นิ้วไปตามผิวบริเวณเอวของเธอ
เด็กสาวรู้สึกได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นแรงเมื่อได้ยินตัวอักษรนั้น ในตอนนั้นเองที่เธอรู้สึกราวกับจมลงในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลอีกครั้ง เหมือนกับตอนที่นอนอยู่ที่โรงพยาบาล
มันต้องเป็นความทรงจำส่วนสำคัญแน่ๆ ไม่อย่างนั้นร่างกายของเธอคงไม่ตอบสนองแบบนี้
โม่หันเห็นเธอนิ่งคิดไปจึงเอ่ยถามขึ้น “เธอจำบางอย่างได้เหรอ”
หันมามองเขา พยักหน้ารับก่อนส่ายหน้าตามมา ตอบกลับเสียงเบา “นิดหน่อยน่ะค่ะ”
เขาก้มมองเวลาอีกครั้ง “ไปกันเถอะ ถ้าไม่รีบไปตอนนี้เราจะสายแล้วนะ”
ภายในรถ ซย่าชิงอีพิงศีรษะกับกระจกคิดถึงภาพที่โผล่เข้ามาในหัว ตั้งแต่ที่เธอสูญเสียความทรงจำจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เธอจำภาพในอดีตของตัวเองได้ และมันทำให้ยิ่งสงสัยมากขึ้น ตลอดเวลาที่เธออยู่อย่างสะดวกสบายที่บ้านโม่หันในฐานะน้องสาวของเขา ทำให้เธอลืมไปเสียสนิทว่าเธอเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลโดยที่จำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้สักนิด
เธอเป็นใครในอดีตกันนะ อยากจะรู้เหลือเกิน
อยากรู้ว่าครอบครัวเป็นอย่างไร อยากรู้ว่ามีเพื่อนแบบไหน อยากรู้ว่าอยู่อย่างไร อยากรู้ว่าทำไมถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้
อยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง
และอยากรู้ว่าตัวเองไม่ใช่คนที่ไม่มีตัวตนทั้งตอนนี้และในอดีต