จอมนางข้ามพิภพ บทที่414 เจ้าหนูนี้ไปประจบประแจงคนอื่น
ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ข้างหลังเขาทันที จำนวนเยอะมากนัก อัดแน่นไปทั่วทั้งถนน หลั่งไหลออกมาจากทุกทิศทุกทาง
ในเวลานี้ ขุนนางชั้งสูงต่างชื่นชมยินดีกัน โชคดีที่พวกเขาไม่หุนหันพลันแล่น ไม่เช่นนั้น เพียงแค่คนเหล่านี้ก็มีมากกว่าพวกเขาหลายเท่าแล้ว หากใช้ไม้แข็งที่โต้กับท่าทีที่แข็งคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน
“เดี๋ยวก่อน!” เป่ยหมิงฉี่เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “ซวนอ๋อง เจ้าฝังดินปืนไว้ที่ใด?”
โม่เหลิ่งเหยียนหันกลับมามองเขา “หากกองทัพของข้าถอนกำลังออกไปอย่างปลอดภัย แน่นอนว่าข้าจะบอกตำแหน่งแก่เจ้าอยู่แล้ว”
“ร้ายกาจ!”
โม่เหลิ่งเหยียนเพิกเฉยและจากไปกับลูกน้อยของเขา คนบางกลุ่มตรงไปที่ทะเลชิ่งไห่ อีกกลุ่มหนึ่งก็ไปที่ด่านห้าเสือ
เมืองหลวงของแคว้นเป่ยลี่ขนาดใหญ่เงียบลงในทันที องครักษ์ที่เฝ้าปกป้องเมืองบอกว่าซวนอ๋องได้ถอยกลับไปพร้อมกับคนของเขาจริงๆแล้ว ทุกคนจึงค่อยโล่งใจลง
ขุนนางชั้งสูงบางคนถึงกับล้มลงกับพื้น คืนนี้กลัวแทบตาย ส่งซวนอ๋องตัวร้ายนี้ไปซะที
“กองทัพหลวงไปเฝ้าอยู่ที่ประตูเมือง ส่วนอื่นๆ ก็พยายามค้นหาจุดที่ฝังดินปืนอย่างสุดกำลัง หากมีสถานที่น่าสงสัย ก็รีบกำจัดทิ้งในทันที!” เป่ยหมิงฉี่สั่ง
“ขอรับ” เหล่าทหารไปทันที
………………….
ทางนี่ หลีอ๋องพาคนกลุ่มใหญ่ตรงไปยังแคว้นเป่ยลี่ หลังจากเดินทางมาหลายวัน คืนนี้พวกเขาก็ตั้งค่ายในป่าแห่งหนึ่ง
โม่หลานตื่นเต้นมาก กำลังย่างไก่สองตัว ได้กลิ่นอันแสนหอมนั้นน้ำลายก็จะไหลออกมาแล้ว
“ดูไม่ออกเลยนะ พวกเจ้าสองคนยังฉลาดดี เอาเครื่องปรุงมาด้วย อร่อยมากจริงๆเลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว พี่ใหญ่ข้าบอกแล้วว่าไม่ว่าไปที่ใดก็ห้ามให้ท้องตัวเองหิว” คุณหนูหยุนได้ใจยิ่งนัก
หลีอ๋องชำเลืองมองโม่หลานและเด็กทั้งสอง สีหน้าเย็นชา “นี่ไปสู้รบ พาเด็กสองคนไปทำไม อย่าทำให้กองทัพเดือดร้อนไปด้วยละ!”
ไม่รู้ว่าหยุนถิงกำลังคิดอะไร กลับให้คุณชายหกไปส่งตายด้วย
โม่หลานได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ยอมในทันที “หลีอ๋องท่านพูดอะไรกัน คนที่ข้าพามาข้ารับผิดชอบเอง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาสน ไม่ทำให้การเดินทางของกองทัพล่าช้าก็พอแล้ว”
“ในสนามรบอันตราย หากตายหรือเกิดไรขึ้นข้าไม่รับผิดชอบ!” โม่ฉือหานตะคอกอย่างเย็นชา
“ท่านไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ ถึงตอนนั้นใครจะบาดเจ็บยังไม่แน่เลย” คุณชายหกแบะปาก
เขาไม่เคยลืมว่าตอนนั้นหลีอ๋องทำให้พี่ใหญ่ของเขาต้องอับอายอย่างไร
สีหน้าของโม่ฉือหานเย็นชา “เจ้าหนู เจ้าพูดจาโอ้อวดยิ่งนัก!”
“ข้าแค่พูดความจริง ท่านเป็นคนดูถูกเด็กๆอย่างพวกข้าเกินไป”
“ท่านอ๋องท่านมีเวลาจริงจังกับคุณชายหก ท่านคิดหาวิธีโจมตีแคว้นเป่ยลี่ก่อนเถอะ ข้าได้ยินมาว่าสายลับของเป่ยหมิงฉี่นั้นเยอะมากนัก ระวังจะถูกซุ่มโจมตีละ!” โม่หลานบ่น
“สิ่งนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล!” โม่ฉือหานตะคอกอย่างเย็นชา หันกลับและจากไป และเรียกคนสนิทของเขามาปรึกษาหารือเกี่ยวกับวิธีการรับมือ
ทหารพักอยู่ที่นี่ กินเสบียงอาหาร และดมกลิ่นหอมของไก่ย่าง ก็อดไม่ได้ที่จะกลืน
คิดไม่ถึงว่าคุณหนูโม่และเด็กแสบสองคนนี้ยังค่อนข้างมีวิธี สำหรับทหารที่กินหมั่นโถวมาเป็นเวลาหลายวันแล้วนั้น รู้สึกอิจฉายิ่งนัก
คุณชายหกที่กำลังเติมฟืนชำเลืองมองไปที่หลีอ๋องซึ่งถูกล้อมรอบด้วยทุกคนที่อยู่ไม่ไกลนั้น ยิ่งดูก็ยิ่งโมโห เขาต้องช่วยพี่ใหญ่สั่งสอนหลีอ๋องผู้นี้ให้ดีๆสักหน่อย
มองดูไก่ย่างที่อยู่ตรงหน้า คุณชายหกก็มีความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในทันที
“เสี่ยวอันจื่อ เดี๋ยวพวกข้ากินไก่ตัวเดียวกัน อีกตัวข้าจะใช้!”
“อืม”
โม่หลานไม่ได้สนใจ สนใจเจ้าหนูนี้ทำไม พอแค่ไม่กินไก่ของตัวเองก็พอแล้ว
ช่วงเวลานั้นคุณชายหกโรยเครื่องปรุงรสหลายครั้ง และในไม่ช้าไก่ฟ้าก็ถูกย่างเสร็จแล้ว คุณชายหกหยิบไก่ขึ้นมาหนึ่งตัวและเดินไปหาโม่ฉือหาน
โม่ฉือหานในขณะนี้ ก็วางแผนการรบกับทหารเสร็จแล้ว กำลังกินหมั่นโถวอยู่ เมื่อเห็นคุณชายหกเดินมา สีหน้าก็เย็นชาลงในทันที
“หลีอ๋อง ท่านเป็นเทพนักรบแห่งสงครามที่มีเชื่อเสียง โหดเหี้ยมและหล่อเหลาไปทั่วทั้งแว่นแคว้น หมั่นโถวนี้ทำให้ฐานะของท่านดูเสื่อมเสีย หากท่านไม่รังเกียจ ไก่ย่างนี้ก็ถือว่าข้าแสดงความเคารพต่อท่าน” คุณชายหกพูดอย่างประจบประแจงยิ่งนัก
โม่หลานจื่อและเสี่ยวอันจื่อที่อยู่ไม่ไกลนั้นตกตะลึงในทันที “เสี่ยวอันจื่อ สมองของคุณชายหกถูกลาเตะหรือ ถึงได้ไปเอาใจโม่ฉือหาน?”
เสี่ยวอันจื่อส่ายหัว “คงไม่ใช่ ที่นี่ไม่มีลา”
โม่หลานเกือบโดนน้ำลายของตัวเองสำลัก เหลือบมองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเสี่ยวอันจื่อ และกลอกตา “พี่ก็แค่ยกตัวอย่าง เมื่อครู่เขายังค่อนข้างมีจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ตอนนี้กลับไปประจบประแจงโม่ฉือหาน เขาคิดอะไรอยู่กันแน่?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” เสี่ยวอันจื่อตอบตามตรง
ด้านนี้ โม่ฉือหานชำเลืองมองไก่ย่างอย่างเย็นชา โดยไม่ได้รับเอาไว้ “เมื่อครู่เจ้าเถียงกับข้าไม่ใช่หรือ ตอนนี้มาเอาใจข้า หรือว่าเจ้าวางยาพิษ?
“แน่นอนว่าไม่ใช่อยู่แล้ว แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง แต่ข้าก็อยากได้หน้า อันที่จริงข้ามาเพื่อขอให้หลีอ๋องช่วยข้า หากไม่ใช่เพราะพี่ใหญ่บอกให้พ่อข้าว่าจะให้ข้ามาฝึกฝนสักหน่อย ต่อให้ตีข้าตายข้าก็ไม่อยากมา
ท่านก็รู้ว่าพี่ใหญ่ของข้าไม่ชอบข้าตั้งแต่เด็ก มักจะตีและด่าว่าข้า ข้าตกอยู่ในสภาพตกนรกทั้งเป็นชัดๆเลย ตายทั้งเป็น
แม่และพี่รองของข้าถูกพี่ใหญ่รังแกอย่างน่าสงสารยิ่งนัก และตอนนี้นางก็มาทรมานข้าอีก ขอหลีอ๋องช่วยข้าหลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ด้วย ให้ข้ารอดพ้นจากมือของพี่ใหญ่ ” คุณชายหกแสดงได้อย่างยอดเยี่ยมน่าประทับใจ เศร้าสลดยิ่งนัก
โม่ฉือหานมองอย่างสงสัย “เท่าที่ข้ารู้ หยุนถิงไม่ได้ปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้า นางยังให้เจ้าฝึกฝนที่จวนซื่อจื่อด้วยหรือ?”
คุณชายหกคุกเข่าลง “หลีอ๋องท่านไม่รู้ความยากลำบากของข้า นางฝึกฝนข้าที่ไหนกัน ก็แค่ถือโอกาสในการฝึกฝนมาทุกข์ทรมานข้าด้วยวิธีต่างๆ ท่านดูบาดแผลบนแขนของข้าสิ” จากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้น
โม่ฉือหานมองดูคราบเลือด รอยฟกช้ำบนแขนของเขา และรอยแผลที่ยังไม่หายดี ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “หยุนถิงปฏิบัติกับเจ้าเยี่ยงนี้จริงหรือ?”
“ใช่ ไม่งั้นข้าจะรนหาที่ตายทำไม พี่ใหญ่ของข้าเป็นผู้หญิงที่ดุดัน หยิ่งยโส ไร้เหตุผล และเผด็จการยิ่งนัก ขอให้เป็นสิ่งที่ขัดตานางก็จะทรมานเอาอย่างแรง
ข้ารู้ว่าท่านอ๋องมีฐานะและอำนาจใหญ่ ไม่ขาดสิ่งใด แต่ข้ายังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไม่สามารถให้อะไรที่ดีแก่ท่านอ๋องได้โปรดท่านอ๋องอย่าได้รังเกียจไก่ย่างนี้เลย แม้ว่ามันจะไร้ค่า แต่ก็เป็นสิ่งที่จับมาและย่างด้วยมือข้าเอง
หากสู้สงครามอย่าผลักข้าไปอยู่แถวหน้าก็พอ ถึงตอนนั้นข้าแค่หาที่ซ่อนตัวเองก็พอแล้ว ท่านอ๋องก็เพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็พอแล้ว พ่อข้ายังหวังพึ่งให้ข้าเลี้ยงดูเขาในยามแก่เฒ่าและทำพิธีฝังศพให้เขา! ” คุณชายหกร้องไห้อย่างเสียใจ และพูดอย่างน่าสังเวช
เมื่อเห็นว่าเจ้าหนูนี้ร้องไห้ยังน่าสงสารแถมบนตัวยังมีบาดแผลด้วย โม่ฉือหานก็รู้สึกน่าเชื่อขึ้นเล็กน้อย “เอาล่ะ เห็นแก่หน้าของหยุนเฉิงเซี่ยง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าตายอย่างแน่นอน ไก่ย่างวางไว้เถอะ”
เพราะความสัมพันธ์ระหว่างหยุนถิงและคุณชายหกในก่อนหน้านี้นั้นก็ไม่ดีจริงๆ และไม่มีใครจะไปรนหาที่ตาย นับประสาอะไรกับเด็กคนหนึ่ง ดังนั้นโม่ฉือหานก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
“ขอบคุณท่านอ๋อง ท่านต้องรีบกินไก่ย่างนี้ในขณะที่ยังร้อนอยู่ นี่เป็นฝีมือด้านการทำอาหารที่ข้าแอบเรียนรู้มาจากพี่ใหญ่ รสชาติดีราวกับหอใต้หล้า” คุณชายหกวิ่งไปอย่างมีความสุข
เดิมทีโม่ฉือหานที่ยังไม่อยากกินนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินว่าเรียนรู้ฝีมือด้านการทำอาหารมาจากหยุนถิง สุดท้ายก็นำไก่ย่างมาและกินไปสองสามคำ
เพราะเขายังไม่เคยได้กินไก่ย่างที่หยุนถิงย่างเลย