จอมนางข้ามพิภพ – บทที่ 646 ท่านพี่ ท่านรู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ บทที่ 646 ท่านพี่ ท่านรู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง

ซูหลินกับเหล่าองครักษ์เงามังกรและองครักษ์ลับต่างปฏิบัติตามคำสั่งของซื่อจื่อเฟย ไปดำเนินการทั้งหมด

จนกระทั่งฟ้ามืด จวินหย่วนโยวถึงฟื้นขึ้นมา

มองสีหน้าซีดเซียวของเขาอยู่ หยุนถิงดูเป็นห่วงมาก “ท่านพี่ ท่านรู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง?”

“แค่รู้สึกเจ็บปวดตัวอยู่บ้าง ไม่เป็นอะไรมาก ทำให้เจ้าเป็นห่วงแล้ว” เสียงของจวินหย่วนโยวอ่อนแรงพอสมควร

“ท่านเฒ่าบอกว่ายับยั้งหนอนกู่ผีเสื้อโลหิตภายในร่างกายท่านได้ชั่วคราว ฉะนั้นร่างกายจะอ่อนแออยู่บ้าง” หยุนถิงพูดอธิบาย

“อืม ลูกๆ เล่า พวกเขายังสบายดีหรือไม่ ข้าหลับไปนานเพียงใด?”

“พวกเขาสบายดี เยว่เอ๋อร์กับหลงซานดูแลพวกเขาอยู่ ท่านหลับไปวันหนึ่ง ไม่ต้องกังวล รักษาตัวให้ดีก่อน เมื่อสักครู่ราชวงศ์ของแคว้นเทียนจิ่วส่งจดหมายมาแล้ว ฮ่องเต้แห่งแคว้นเทียนจิ่วเชิญพวกเราไปเป็นแขกที่พระราชวังแคว้นเทียนจิ่ว!”

ชั่วขณะนั้นสีหน้าจวินหย่วนโยวเย็นเยือกเหลือเกิน “ที่เชิญพวกเราไปในเวลานี้ ต้องเป็นความคิดของผิงหนานอ๋องกระมัง พวกเราต้องรับมืออย่างระวัง”

“ถ้าไม่เช่นนั้นให้คนส่งเสี่ยวเทียนกับเสี่ยวเหยียนกลับไปที่จวนซื่อจื่อก่อน เช่นนี้พวกเราจะทำอะไรได้สะดวกกว่า” หยุนถิงพูดแนะนำ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้เด็กเล็กสองคนอยู่ข้างกาย ไม่ค่อยสะดวกจริงๆ ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับคนที่หน้าเนื้อใจเสือเยี่ยงผิงหนานอ๋องนั้นด้วย

จวินหย่วนโยวกลับส่ายหน้า “ไม่ว่าเป็นที่ใดก็ไม่ปลอดภัยเช่นอยู่ข้างกาย ถึงแม้ไม่สะดวกแต่หากส่งพวกเขากลับจวนซื่อจื่อข้าก็ไม่วางใจเช่นกัน ถ้าอีกฝ่ายมีเจตนาคิดร้าย ที่ใดก็หลบไม่พ้น

พวกเราทั้งครอบครัวแยกกันมาสองปีแล้ว ต่อไปไม่ว่าไปที่ใดล้วนอยู่ด้วยกัน วางใจเถิด ทุกอย่างมีข้าอยู่ ข้าจักไม่ให้ผู้ใดทำร้ายเจ้ากับลูกได้เด็ดขาด”

เสียงจริงจัง เคร่งขรึม พูดจารอบคอบหนักแน่น

หยุนถิงดูประทับใจมาก “เช่นนั้นก็ว่าตามท่าน ข้าจะให้เหล่าองครักษ์เงามังกรและองครักษ์ลับไปดำเนินการก่อนล่วงหน้าแล้ว”

“ดี!”

ห้าวันต่อมา ร่างกายของจวินหย่วนโยวหายเกือบเป็นปกติแล้ว คนกลุ่มหนึ่งออกเดินทางมุ่งตรงสู่แคว้นเทียนจิ่ว

พระราชวังแห่งแคว้นเทียนจิ่ว

ลั่วผินกำลังเดินเล่นในอุทยาน ก็มองเห็นเซียวเฟยกำลังชมดอกไม้อยู่บริเวณตรงหน้าไม่ไกลนัก ชั่วขณะหนึ่งทำหน้าไม่พอใจ

“ผู้นั้นมิใช่เซียวเฟยหรอกหรือ นางได้รับความเอ็นดูจากฝ่าบาทมากยิ่งนัก ตั้งแต่นางเข้าวังมา ทั้งวังหลังของพวกเราล้วนดูไร้ความหมาย ข้ายังได้ยินว่าฝ่าบาททรงอนุญาตเซียวเฟยไม่ต้องไปแสดงความเคารพต่อฮองเฮาด้วย เกียรติพิเศษเยี่ยงนี้ไม่เคยมีมาก่อน

เฮ้อ ข้าว่าชาตินี้พวกเราไม่มีความหวังเสียแล้ว แม้ว่าเจ้าตั้งครรภ์อยู่ ก็ไม่เห็นฝ่าบาทจักมาหาเจ้าสักเท่าใด ดูแล้วในสายตาฝ่าบาทเด็กในท้องของเจ้ายังเทียบเซียวเฟยไม่ได้” ฮวนกุ้ยเหรินพูดทอดถอนใจ

สีหน้าของลั่วผินยิ่งดูแย่ระดับหนึ่ง มือที่ห้อยอยู่ด้านในแขนเสื้อกุมเป็นหมัดไว้แน่น

ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทยังเคยมาหานางสองสามหน ผ่านไปไม่กี่วันก็ประทานเครื่องบำรุงบางอย่างให้ ตั้งแต่ฝ่าบาทอุปถัมภ์เซียวเฟยมา ฝ่าบาทก็ไม่เคยเข้ามายังเรือนของตนเองอีก

นี่ทำให้ลั่วผินอิจฉาและไม่พอใจมาก มีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรที่สนมคนหนึ่งจะสำคัญมากกว่าลูกในท้องของนาง

นึกถึงตรงนี้ ลั่วผินเดินเข้ามาอย่างเดือดดาล

นัยน์ตาของฮวนกุ้ยเหรินเผยความรู้สึกได้รับชัยชนะออกมา นางไม่ได้ตามเข้าไป แต่ว่ามองอยู่บริเวณไม่ไกลนัก

“เซียวเฟยเจ้าวางยาเสน่ห์อะไรให้ฝ่าบาทกันแน่ คาดมิถึงทำให้ฝ่าบาทค้างที่ตำหนักของเจ้าได้ทั้งวัน นี่มันไม่ยุติธรรมต่อพระสนมคนอื่นๆ ของวังหลัง เหตุใดเจ้าถึงครองความเอ็นดูของฝ่าบาทไว้เพียงผู้เดียวเล่า?” ลั่วผินถามอย่างหงุดหงิด

มู่เซียวเซียวที่กำลังชมดอกไม้ เห็นว่าลั่วผินวิ่งมาถามตนเองกะทันหัน สายตาดูเหยียดหยาม “ถ้าลั่วผินมีฝีมือ คงสามารถทำให้ฝ่าบาทเอ็นดูแค่เจ้าผู้เดียวได้เช่นกัน!”

คำพูดประโยคหนึ่งที่เรียบๆ เต็มไปด้วยการเสียดสีและดูถูก

“เจ้า น่ารังเกียจ!” ลั่วผินโมโหโทโส ยกมือก็อยากตบเซียวเฟย

เพียงแค่มือของนางยังไม่แตะโดนมู่เซียวเซียว มู่เซียวเซียวก็ตบหน้าเข้ามาอย่างรุนแรง

“ป้าบ!”

“อ่า เจ้ากล้าตบข้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วผินกรีดร้องทีหนึ่ง เพียงรู้สึกว่าความเจ็บโจมตีเข้ามาจนแก้มร้อนผ่าว ถลึงตาใส่มู่เซียวเซียวอย่างเคียดแค้น

“ข้าก็คือเซียวเฟย ตำแหน่งอยู่เหนือเจ้า เมื่อครู่เจ้าเห็นข้าไม่เพียงไม่ทำความเคารพ ยังถามอย่างไร้มารยาทปานนี้ ไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน” มู่เซียวเซียวพูดอย่างเย็นชา

ลั่วผินโกรธจนสีหน้าซีดไปหมด นางเป็นเพียงตำแหน่งผินสู้ตำแหน่งเฟยไม่ได้จริงๆ แต่ความโกรธนี้นางก็ทนไม่ไหวแล้ว

“เจ้าได้ตำแหน่งเฟยแล้วเป็นเช่นไรเล่า ถึงแม้ตำแหน่งข้าสู้เจ้าไม่ได้ แต่ข้าตั้งครรภ์ลูกของฝ่าบาทแล้ว รอหลังจากเด็กคนนี้คลอดออกมา ฝ่าบาทต้องทรงมอบตำแหน่งให้ข้า ถึงตอนนั้นข้าก็เสมอกับเจ้าแล้ว ดูสิว่าเจ้ายังจะโอหังเยี่ยงนี้หรือไม่”

มู่เซียวเซียวชายตามองท้องของลั่วผิน “บางเรื่องยังมิถึงเวลาเหมาะสม ลั่วผินคงต้องภาวนาให้ตัวเองโชคดีมากๆ กระมัง”

ตอนที่พูดคำนี้ มู่เซียวเซียวยังยื่นมือตบไหล่ของลั่วผินแล้ว จากนั้นหมุนตัวเดินไป

ลั่วผินหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดไหล่อย่างรังเกียจ จากนั้นโยนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นทิ้งแล้ว หมุนตัวกลับไปอย่างเดือดดาล ฮวนกุ้ยเหรินที่อยู่ไม่ไกลนักรีบตามลั่วผินไปทันที

ทางนี้ หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวเข้าวังมาเจอฮ่องเต้ หยุนถิงมองเห็นด้านหลังของมู่เซียวเซียวเข้าพอดี

ภาพด้านหลังนี้ เหตุใดนางถึงรู้สึกคุ้นเคยพอสมควร แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นมาจากที่ใด

“ถิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรแล้ว?” จวินหย่วนโยวมองเข้ามา

มู่เซียวเซียวที่อยู่ไม่ไกลนักก็หายไปจากอีกฟากหนึ่งของโถงทางเดิน ฉะนั้นเดิมทีจวินหย่วนโยวจึงมองไม่เห็น

“เมื่อครู่ภาพด้านหลังของพระสนมบางคน คุ้นตาอยู่บ้าง บางทีเป็นข้ามองผิดไปเอง” หยุนถิงตอบกลับ

“ไปพบฮ่องเต้ก่อน เดี๋ยวข้าจะให้คนค้นหาจนกระจ่าง!” จวินหย่วนโยวบอก

“ได้!”

ฮ่องเต้ของแคว้นเทียนจิ่วพอเห็นจวินหย่วนโยวกับหยุนถิงมา ทรงกระตือรือร้นอย่างมาก “จวินซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยเดินทางมาไกล คงลำบากมาตลอดทางแล้ว ข้างนอก รีบเอาเก้าอี้มาเร็ว!”

องครักษ์ด้านนอกรีบย้ายเก้าอี้เข้ามา จวินหย่วนโยวกับหยุนถิงนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ

“มิทราบว่าฝ่าบาทเชิญพวกเรามามีเหตุอันใดพ่ะย่ะค่ะ?” จวินหย่วนโยวถามด้วยสีหน้าเย็นชา

“ข้าได้ยินว่าซื่อจื่อเฟยกับองค์หญิงสามเซวียนเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ข้าจึงสั่งคนไปแจ้งเซวียนเอ๋อร์แล้ว ให้นางมาคุยเล่นกับซื่อจื่อเฟย คิดแล้วคงจะไม่เบื่อหน่ายนัก

ความจริงเชิญพวกเจ้ามา คืออยากถามเรื่ององค์หญิงใหญ่เสียหน่อย โดยเฉพาะนางเป็นพี่สาวของข้า ถูกจับไว้ที่แคว้นต้าเยียนนานเยี่ยงนี้ ข้าคิดถึงมากเสียจริง” ฮ่องเต้แคว้นเทียนจิ่วทำท่าเป็นห่วง

จวินหย่วนโยวกลับหัวเราะเยาะในใจ ถ้าเป็นห่วงจริง เหตุใดถึงฉวยโอกาสเมื่อนางถูกจับไว้ที่แคว้นต้าเยียน รีบร่วมมือกับผิงหนานอ๋องกำจัดอำนาจของนางในราชสำนักและกองทหารแห่งแคว้นเทียนจิ่ว

“เรื่องนี้ฝ่าบาทถามผิดคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิเคยสนใจเรื่องบริหารบ้านเมือง เรื่องนี้เกี่ยวกับแคว้นเทียนจิ่วและแคว้นต้าเยียน ฝ่าบาทควรจะไปทรงถามกับฮ่องเต้ของแคว้นต้าเยียนเสียมากกว่า!” จวินหย่วนโยวพูดอย่างเย็นชา

“จวินซื่อจื่อพูดเช่นนี้ก็เกรงใจไปแล้ว ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าฮ่องเต้ของแคว้นต้าเยียนไว้หน้าเจ้ามากเพียงใด หลายคนเดินทางมากันเหนื่อย พวกเรายังไม่คุยเรื่องนี้แล้วกัน

ข้าสั่งคนจัดเตรียมตำหนักรับรองไว้เรียบร้อย จวินซื่อจื่อกับซื่อจื่อเฟยไปพักก่อน หากว่ามีสิ่งใดต้องการย่อมบอกกับข้าได้ทันที

ช่วงค่ำข้าจัดงานเลี้ยงไว้ เพื่อต้อนรับแก่จวินซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟย เชิญทั้งสองมาเป็นเกียรติด้วย” ฮ่องเต้พูดอย่างถ่อมตัวยิ่งนัก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ น้อมรับคำเชิญพ่ะย่ะค่ะ!”

หยุนถิงกับจวินหย่วนโยวและคนอื่นไปที่ตำหนักรับรอง พอเข้าไป หยุนถิงไม่ได้ให้ทุกคนรีบเข้าพัก แต่ว่าดำเนินการตรวจค้นภายในตำหนักรับรองทั้งหมดกับยายขุยอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

ละเอียดกระทั่งผ้าห่ม หมอน โต๊ะเก้าอี้ ที่ชงชา——โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเด็กน้อยสองคน หยุนถิงไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย

“ไม่มีปัญหา พาพวกเขามาพักเถิด!”

ทุกคนถึงวางใจ รีบพาเด็กทั้งสองคนไปพักผ่อน

“หยุนถิง หยุนถิง!” ด้านนอกเรือนมีเสียงที่ดีใจตื่นเต้นเสียงหนึ่งลอยมา เริ่นเซวียนเอ๋อร์เสียงมาถึงก่อนตัวคนเสียอีก

จอมนางข้ามพิภพ

จอมนางข้ามพิภพ

Status: Ongoing
นางเป็นบุตรีเอกแห่งจวนเฉิงเสี้ยง เป็นยัยอัปลักษณ์ไร้ค่าผู้ฉาวโฉ่ กลับมีรักแรกพบกับหลีอ๋อง คะยั้นคะยอจะอภิเษกสมรสกับหลีอ๋องอย่างไม่กลัวสิ่งใด ณคืนวันอภิเษกถูกหลีอ๋องทำอัปยศอดสูจนตายพอลืมตาขึ้นดันทะลุมิติมาอีกภพหนึ่งกลายเป็นศาสตราจารย์หมอพิษสมัยใหม่ควบสองบัณฑิต คนที่เคยรังแกนาง มันต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า นาง…จัดการกับพวกสันดานชั่วอย่างออกนอกหน้า หาเงินอย่างถ่อมตน มัสมบัติระรวยใต้หล้า เพื่อหลุดพ้นจากหลีอ๋อง เลยแต่งในฐานะนางสนมของซื่อจื่อ กลับคิดไม่ถึงว่าจะไปกระตุกหนวดเสือให้เข้าแล้ว เขาเป็นซื่อจื่อผู้ป่วยเสาะแสะ สุขุมอ่อนโยน เย็นชาเจ้าเล่ห์ ร่างมีพิษที่จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน หยุนถิงเป็นคนช่วยเขาแก้พิษ ทำให้เขากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาสาบานว่า จะอยู่กินกับนางแต่เพียงผู้เดียว หลังแต่งงาน นางนวดเอวที่ปวดอยู่ เตะเขาลงจากเตียง:“รับจดหมายรักจากหญิงอื่น ยังกล้ามานอนกับหม่อมฉันอีกรึ?” เขารีบอธิบาย:“น้องนาง ข้าผิดไปแล้ว ใครกล้ามาแย่งข้าไปจากเจ้า ข้าจะตัดขานางให้รู้แล้วรู้รอด” นางยักคิ้วหลิ่วตา:ก็ท่านนี่แหละที่เป็นต้นเหตุ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท