บนถนนของเมืองหลุนฮุย มีการตกแต่งประดับไปด้วยไฟต่างๆ เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง
ชาวเมืองทั้งชายและหญิงทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่มีข้อยกเว้น ทุกคนต่างสวมเสื้อผ้าใหม่และแสดงออกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
พวกเขาพูดคุยและหัวเราะพ่อแม่พูดถึงความซนของลูกตัวเองและหัวเราะขึ้นเป็นครั้งคราว
มีสี่ถึงห้ากลุ่ม กลุ่มละสามถึงห้าคนไม่ได้แสดงท่าทีสุภาพต่อกัน ดูเหมือนพวกเขาจะรักและสามัคคีกันอย่างมาก
หลังจากที่เย่เฉินคิดเรื่องนี้ด้วยความประหลาดใจ ชาวเมืองก็เห็นเย่เฉินทีและพวกเขาก็รวมตัวกันทั้งหมด
“ขอแสดงความยินดีกับท่านลอร์ด! หมู่บ้านหลุนฮุยสามารถยกระดับเป็นเมืองหลุนฮุยแล้ว!”
“ขอแสดงความยินดีกับท่านลอร์ด! หมู่บ้านหลุนฮุยสามารถยกระดับเป็นเมืองหลุนฮุยแล้ว!”
“ขอแสดงความยินดีกับท่านลอร์ด! หมู่บ้านหลุนฮุยสามารถยกระดับเป็นเมืองหลุนฮุยแล้ว!”
เสียงตะโกนดังขึ้นทีละคน ตอนนี้มีเพียงเย่เฉินเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เป็นชาวเมืองกำลังเฉลิมฉลองการยกระดับหมู่บ้านหลุนฮุยเป็นเมืองหลุนฮุย
ทันใดนั้นหัวใจของเย่เฉินก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น
มีความเป็นไปได้ประการเดียวสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ นั่นคือชาวเมืองถือว่าเมืองหลุนฮุยเป็นรากเหง้าของพวกเขาอย่างแท้จริง!
มิฉะนั้นจะไม่มีวันเกิดการเฉลิมฉลองขึ้นเองแบบนี้แน่นอน
เมื่อเห็นแบบนั้นเย่เฉินก็ยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า:
“ วันนี้จะเป็นวันสถาปนาเมืองหลุนฮุย พวกเจ้าทุกคนคือเสาหลักของเมืองหลุนฮุย มีเพียงการดำรงอยู่ของพวกเจ้าเท่านั้นที่ทำให้เกิดเมืองหลุนฮุยวันนี้ ข้าขอประกาศว่าทั้งเมืองจะจัดการเฉลิมฉลอง! ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น!”
“ ขอขอบคุณท่านลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่!”
“ ขอขอบคุณท่านลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่!”
“ ขอขอบคุณท่านลอร์ดผู้ยิ่งใหญ่!”
ชาวเมืองตัวสั่นไปชั่วครู่ จากนั้นก็ตะโกนอย่างตื่นเต้นทีละคน
ชาวเมืองไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเพราะเย่เฉินบอกว่าไม่มีค่าใช้จ่าย แต่เพราะเย่เฉินพูดว่าพวกเขาคือเสาหลักที่สำคัญ
คำพูดนับพันคำไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการเห็นชอบ
เย่เฉินทราบดีถึงการมีส่วนร่วมของชาวเมือง และรับรู้ทุกสิ่งที่ชาวเมืองมอบให้ตั้งแต่สร้างหมู่บ้านมา
แม้ว่าสิ่งที่เย่เฉินพูดจะดูเกินจริง แต่ก็เป็นเพราะเย่เฉินมีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่แล้ว
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เย่เฉินไม่ได้พูดเกินจริง
ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้าน เมือง เมืองขนาดใหญ่หรือแม้แต่อาณาจักร! ก็ไม่สามารถละเลยต่อพลังของประชาชน
ประชาชนเป็นรากฐานและเสาหลักที่สำคัญของดินแดนหรือแม้แต่จักรวรรดิ เมื่อมีคนเพียงพอเท่านั้นความเป็นไปได้ทุกประเภทก็จะปรากฏขึ้น!
ความแข็งแกร่งของอาณาจักรนั้นเกี่ยวข้องกับพลังการต่อสู้ระดับสูงก็จริง แต่ก็เกี่ยวข้องกับผู้คนด้วยเช่นกัน
ทหารมาจากประชาชนและเจ้าหน้าที่ก็มาจากประชาชน หากปราศจากผู้คน ไม่ว่าอาณาจักรนั้นจะมีอำนาจมากเพียงใดก็เหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ไร้ราก
เย่เฉินพาเตียวหยู ไปสนุกกับชาวเมืองอยู่สักพัก จากนั้นก็ปลีกตัวไปที่ทะเลสาบ เพื่อให้มีช่วงเวลาอยู่ด้วยกันสองคน
เมื่อมองไปยังท้องฟ้าที่มีเมฆหมอก สายลมพัดริมทะเลสาบกลิ่นหอมของดอกไม้ลอยมาในอากาศและกลิ่นหอมจากตัวเตียวอยู่ เย่เฉินรู้สึกเหมือนโดนกระตุ้นบางอย่าง
“ เตียวหยูเจ้ารู้ไหม ข้าไม่เคยคิดว่าจะมีทุกอย่างในวันนี้ … ”
“ พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้ดูถูกตัวเอง ข้าเชื่อว่าความสำเร็จในอนาคตของท่านจะสูงกว่านี้อีก!” เตียวหยูมองไปที่เย่เฉินที่กำลังหนุนขาของเธอและยิ้มหวานออกมา
เย่เฉินผงะ จากนั้นก็เงียบไปชั่วครู่
มีบางสิ่งที่เย่เฉินพูดไม่สามารถพูดออกมาได้ แม้แต่กับเตียวหยูเย่เฉินก็ไม่สามารถพูดได้
เพราะเย่เฉินคือผู้ที่กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นี่เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ของเขา เขาไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ
“พี่ใหญ่?” เตียวหยูตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเย่เฉินเงียบไป เธอคิดว่าเย่เฉินกำลังมีปัญหาบางอย่างที่ไม่สามารถพูดออกมา เธอจึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอย่างเป็นห่วง
“หยุดเรียกพี่ใหญ่ได้แล้ว เรียกด้วยชื่อของข้าเถอะ ความสัมพันธ์ของเราไม่ควรเรียกว่าพี่ใหญ่อีก … ” เย่เฉินถอนหายใจออกเป็นเวลานานแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
มันเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ เย่เฉินยังมีหนทางอีกยาวไกล ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรต่อ
“เย่ … เย่เฉิน … ” เตียวหยูผงะชั่วครู่และกล่าวออกมาด้วยความลังเล
ไม่ใช่ว่าเธอพูดไม่ได้ แต่เธอไม่สามารถปรับตัวเข้ากับอารมณ์ของเย่เฉินได้ทัน
“ข้าเพียงคิดถึงบางสิ่ง อย่าคิดมากเจ้าพูดถูกทุกอย่าง ข้าจะไม่หยุเพียงเท่านี้ ในอนาคต … ความสำเร็จของข้าจะสูงขึ้น! และข้าจะเป็นผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด!”
เย่เฉินพูดออกมาความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ความมั่นใจและความเชื่อมั่นของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในวันนี้
“ใช่แล้ว ข้าเชื่อว่าท่านทำได้!” เตียวหยูมองไปที่เย่เฉินเหมือนต้องการครอบครองเขา เย่เฉินอดไม่ได้ที่จะตะลึงไปชั่วขณะจากนั้นเขาก็พยักหน้าทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า … ” เย่เฉินมองขึ้นไปบนฟ้าและหัวเราะเสียงดังลั่น เขารู้สึกดีเป็นอย่างมาก
เย่เฉินหัวเราะสักพักลุกขึ้นกอดเตียวหยูและจูบเธออย่างดูดดื่ม
หลังจากนั้นไม่นานเย่เฉินก็ปล่อยมือ จากนั้นมองไปยังเตียวหยูที่กำลังหน้าแดงและกล่าวออกมาอย่างจริงจัง:
“ไม่ว่าข้าจะไปถึงไหนในอนาคตเจ้าก็จะเป็นผู้หญิงคนแรกของข้าเสมอ!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเย่เฉิน เตียวหยูก็ผงะไปชั่วขณะ จากนั้นใบหน้าของเธอก็แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย และหันศีรษะไปด้านข้างไม่กล้าสบตากับเย่เฉิน
“ ในอนาคตเจ้าจะต้องอยู่กับข้าแค่นั้นแหละ!” เย่เฉินเลิกคิ้วจากนั้นกล่าวอย่างมีเลศนัย หลังจากพูดจบเขาก็อุ้มเตียวหยูขึ้นและเดินกลับไปยังคฤหาสน์เจ้าเมือง
ผ่านไปเพียงครึ่งทางเย่เฉินก็วางเตียวหยูลง เย่เฉินไม่สามารถเพิกเฉยเรื่องมารยาทได้ และเย่เฉินต้องใส่ใจกับความรู้สึกของเตียวหยูด้วย
เมื่อเขามาถึงประตูเมืองหลุนอุย เย่เฉินก็ต้องหยุดเดิน
เขาเห็นผู้ลี้ภัยหลายพันคน ปรากฏตัวที่นี่และ เตียวเหิง ก็พาผู้คนจำนวนมากไปลงทะเบียนผู้ลี้ภัยที่ประตูเมือง