เหลือบตามองดูเอกสารที่อยู่ในมือเขา เห็นเป็นเอกสารเกี่ยวกับโครงการผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ สงสัยกำลังจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกอีกแล้ว
“คุณเฉียวก็พูดเกินไปหน่อยนะคะ ของตระกูลฟู่ก็จะเป็นของตระกูลฟู่อยู่วันยังค่ำ ฉันก็แค่เป็นผู้จัดการที่ไม่สบายแล้วขอลางานสองวันเองค่ะ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง แต่ฉันว่าคุณเฉียวเอาเวลาไปทำงานของตัวเองให้ดีดีกว่าค่ะ ถ้าคุณเฉียวห่วงเรื่องนี่โน่นเยอะเกินไป อาจทำให้งานพลาดได้นะคะ”
ในลิฟท์มีแค่เราสามคน ฉันก็ไม่ได้ว่าเกรงใจเขาหรอก แต่เลขาของเขาก็อยู่ด้วย ถ้าทะเราะกับเขาขึ้นมาตอนนี้ ฉันไม่อยากขายหน้าต่อลูกน้องของเขา
ลิฟท์ก็เปิดมาพอดี คำพูดที่เขากำลังจะพูดนั้นก็ต้องกลืนเข้าไป และก็เหลือบตามองฉันแบบเย็นชา แล้วก็เดินออกไป
ฉันเพิ่งเข้าห้องออฟฟิศของฉัน ยังไม่ทันได้นั่งลง หานซางก็เดินเข้ามาแล้วบอกฉันว่า “คุณดารัณคะ คุณอาธิป บอกให้คุณดารัณขึ้นไปหาท่านที่ออฟฟิศท่านค่ะ”
ฉันเพิ่งมาถึงเอง อาธิปเขารู้ได้ไงว่าฉันมาแล้วเนี่ย
ฉันเก็บความสงสัยของตัวเองไว้ แล้วก็พยักหน้า บอกหานซางว่า “เค เดี๋ยวขึ้นไปค่ะ”
ที่ออฟฟิศอาธิป
พื้นที่ทำงานกว้างใหญ่มาก แต่ไม่มีคนอยู่เลย ดูเงียบเหงามาก ฉันเบอะปาก บรรยากาศแบบนี้ก็มีแต่อาธิปนั่นแหละที่อยู่ได้
ฉันมองไปรอบ ๆ เห็นเฉินยี่กำลังนั่งอยู่ในห้องเลขาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ทำงานอยู่ ฉันเลยเดินไป เคาะประตู
เขาได้ยินเสียงแล้วก็เงยหน้ามองมาที่ฉัน เห็นเป็นฉัน เขาตะลึงใจนิดนึง และบอกว่า “คุณดารัณ ท่านอาธิป ยังอยู่ที่ออฟฟิศของคุณเฉียวครับ เดี๋ยวกลับมาครับ”
ฉันพยักหน้า และบอกว่า “ไม่เป็นไร ตามสบายเลยค่ะ”
แล้วฉันก็เดินเข้าไปที่ออฟฟิศของอาธิป หาหนังสือมาเล่มนึง แล้วก็นั่งอ่านที่โซนพักผ่อน หลังจากโครงการของคุณลู่ ฉันทำให้เกิดปัญหานิดนึง แล้วทางบริษัทเลยไม่ได้จัดให้ฉันไปดูแลงานอื่นต่อ
อาธิปเรียกฉันขึ้นมาครั้งนี้ ก็น่าจะจัดวางแผนงานต่อไปให้ฉัน
แต่พอฉันนึกถึงแผนที่ฉันกำลังวางไว้นั้น ฉันก็เริ่มลังเล ถ้าอาธิปเขาเฉยชากับฉันไปตลอด ฉันก็คงจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น แต่ช่วงนี้เขาเริ่มเปลี่ยนไป เลยทำให้ฉันเริ่มลังเล
ถ้าฉันจะไป ฉันจะยังไง สำหรับลูกแล้วจะเป็นยังไง
“พี่อาธิปครับ ตอรที่ลู่เย่นเสีย พี่ก็รับปากกับเขาว่าจะดูแลนัชชา แล้วตอนนี้พี่ทำแบบนี้กับนัชชา พี่เคยคิดเผื่อลู่เย่น คิดเผื่อนัชชาบ้างไหมครับ และอีกอย่าง ดารัณก็ไม่คู่ควรกับพี่เลยสักนิดเดียว” เสียงที่ส่งมานั้นพูดแบบใจร้อนและตื่นเต้น ฟังออกว่าเป็นเสียงของเฉียวจิ่นเหยน
ฉันไม่ใช่แอบฟังนะ ก็เขาเดินเข้ามาพอดี แล้วก็พูดเสียงดังขนาดนั้น ถึงฉันไม่อยากได้ยินก็หลบเลี่ยงไม่ได้
อาธิปกับเฉียวจิ่นเหยนเดินเข้ามาในห้อง พอเห็นฉันนั่งอยู่ อาธิปยักคิ้วตา และถามฉันว่า “ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อเนี่ย”
“เมื่อกี้นี้เองค่ะ” ตอบเขาเสร็จแล้ว ฉันก็ชำเลืองตามองไปที่เฉียวจิ่นเหยน เห็นเขาทำหน้าแบบไม่สนใจอะไรเลย
“เดือนนี้บริษัทลูกสองบริษัทของฮัวยูมีผลิตภัณฑ์ออกใหม่ เธอไปตามเรื่องนี้นะ และอีกอย่าง ก็คอยติดตามความคืบหน้าของหัวย่าวด้วย” สิ่งที่อาธิปพูดมานี้คือคุยกับฉัน และเขาก็หยิบเอกสารที่วางไว้บนโต๊ะยื่นมาให้ฉัน แล้วพูดต่อว่า “และอีกเรื่อง ออดิทประจำปีของเราก็ใกล้ได้เวลาแล้ว สัญญาที่เราเซ็นกับไอซีไว้ก็ใกล้หมดอายุแล้ว เธอไปเช็คกับฝ่ายบัญชีด้วยนะครับ ถ้ามีความจำเป็นว่าจะต่อสัญญากัน เธอก็ดูแลเรื่องนี้ไปต่อ ถ้าไม่ต่อสัญญากันแล้ว ก็ไปติดต่อกรรมการของบริษัท ซิ่นต้าย ออดิท ชื่อเฉินซิง ไปคุยรายละเอียดกับเขาหน่อย”
“เราใช้ไอซีมาตลอดไม่ใช่เหรอครับ ทำไม่อยู่ ๆ เราต้องเปลี่ยนบริษัทออดิทด้วยอ่ะครับ” เฉียวจิ่นเหยนไม่เข้าใจ แล้วก็พูดต่อว่า “และอีกอย่าง ซิ่นต้าย ออดิทเป็นบริษัทใหม่ เพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาไม่นาน เป็นบริษัทเล็ก ๆ บริษัทเรากิจการใหญ่โตขนาดนี้ จะฝากไว้ที่เขาได้เหรอครับ ถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เราจะซวยเลยนะครับ”