สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา – บทที่ 57 เผยใบหน้าที่แท้จริง

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

ตกกลางคืน มีเสียงข้าวของแตกกระจายดังมาจากชั้นสองห้องทางทิศตะวันออกของวิลล่าหลังตะวันออก

เสียงยิ่งดังชัดขึ้นโดยเฉพาะในคืนที่เงียบงันเช่นนี้

“อา!”

ลู่ซือยวี่ใช้อารมณ์กวาดของทุกอย่างบนโต๊ะเครื่องแป้งลงบนพื้น หายใจฟึดฟัดอย่างแรง ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นบิดเบี้ยวด้วยแรงหึงหวง

พี่จิ่งเหยาถึงกับไล่คนใช้ทุกคนออกเพื่อนังผู้หญิงคนนั้น

เพราะอะไรกัน?

เขาทำแบบนี้ทำไม?

ทำไมถึงสนใจยัยสารเลวนั่นขนาดนั้น?

เธอหรี่ตาลง สายตาบ่งบอกถึงความมาดร้าย

หรือว่าพี่จิ่งเหยาจะชอบนังสารเลวนั่นเข้าแล้วจริง ๆ ?

“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!”

ลู่ซือยวี่กรีดร้องเสียงดัง พลันไปกระชากโคมไฟที่อยู่ด้านข้างมาและโยนกระแทกลงบนพื้น

สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ตกใจมากจนกระโดดหลบไป เธอยกศรีษะขึ้นมองดูลู่ซือยวี่ที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ในขณะนี้ แล้วรีบก้าวไปข้าวหน้าเพื่อปลอบเธอว่า “คุณหนูใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ ใช้อารมณ์เกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ”

“จะให้ฉันใจเย็นอีกได้อย่างไร?”

ลู่ซือยวี่หันกลับมา จ้องไปที่เธอด้วยแววตาดุร้าย กัดฟันและพูดว่า “พี่จิ่งเหยาชอบนังสารเลวนั่นเข้าให้แล้ว แกยังจะให้ฉันใจเย็นลงอีกได้อย่างไร?”

“คุณชายจิ่งเหยาชอบยัยผู้หญิงคนนั้น?” สาวใช้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ คุณหนูอย่าคิดมากไปเลยนะคะ”

“ถ้าเป็นไปไม่ได้ เขาจะไล่คนใช้ทั้งหมดออกได้อย่างไรกัน?”

ในเวลานี้ คนอารมณ์ร้อนอย่างลู่ซือยวี่เข้าใจว่าเฟิงจิ่งเหยาชอบกู้ฉางซินเข้าให้แล้ว

“คุณหนู นี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนค่ะ”

สาวใช้ประคองเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้นอน แล้วก็วิเคราะห์ว่า “ที่คุณชายจิ่งเหยาทำไปแบบนั้นก็เพียงเพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของท่าน และบวกกับที่เธอได้รับบาดเจ็บมา ก็คงจะเป็นแค่ความเมตตาของท่านที่มีต่อเธอ”

“หึ” ลู่ซือยวี่ยิ้มเยาะออกมา “กลัวว่าความเมตตาจะกลายเป็นความเวทนาซะมากกว่า”

ไม่ว่าจะเป็นความเมตตาหรือว่าอะไรก็ตาม เธอก็ยอมรับไม่ได้ทั้งนั้น

ที่สำคัญไปกว่านั้น การที่พี่จิ่งเหยาโกรธจนไล่คนใช้ออกทั้งหมดนั้นมันรวมไปถึงสายของเธอที่อยู่ในนั้นด้วย

ทีนี้เธอก็ไม่สามารถรู้ความเคลื่อนไหวของพี่จิ่งเหยากับนังสารเลวนั่นได้อีก

เธอพูดถึงปัญหาหนักใจนี้ออกมา สาวใช้จึงรีบเสนอว่า “เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว ก็เพียงแค่ซื้อใหม่อีกสักคนหนึ่ง”

เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเธอยังไม่ดีขึ้น สาวใช้จึงกล่าวต่อไปว่า “คุณหนูคะ บ้านสกุลกู้ยังจะต้องหวังเอาผลประโยชน์จากตระกูลเฟิงเป็นแน่ คุณหนูสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้”

หลังจากฟังคำพูดของสาวใช้แล้ว ลู่ซือยวี่ก็ค่อย ๆ สงบลง แต่สีหน้าก็ยังคงไม่น่ามองอยู่เหมือนเดิม

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะไม่ยอมให้พี่จิ่งเหยาชอบนังสารเลวคนนั้นได้แน่!

……

บ่ายวันต่อมา คนรับใช้ที่เฟิงจิ่งเหยาเลือกเข้ามาด้วยตัวเองต่างมากันจนครบ

เขาโทรศัพท์หากู้ฉางฉิง

“หน้าที่จัดการเรื่องคนรับใช้ มอบอำนาจให้สิทธิ์คุณรับผิดชอบนะ”

พบพูดจบ โดยไม่รอคำตอบจากกู้ฉางฉิง เขาก็วางสายไป

กู้ฉางฉิงมองไปที่โทรศัพท์ไม่รู้จะร้องไห้หรือขำดี เขาช่างเอาแต่ใจเกินไปเสียจริง หรือเขาจะกลัวเธอปฏิเสธกันนะ?

อย่างไรก็ตาม การที่เขามอบเรื่องนี้ให้เธอจัดการก็อาจจะเพื่อให้คนรับใช้ใหม่เหล่านี้ได้รู้จักฐานะที่แท้จริงของเธอ

เขาช่างเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบเสียจริง

คนรับใช้ที่มาใหม่ยืนเรียงกันเป็นแถว

ทุกคนตาเหลือบมองลงแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน

กู้ฉางฉิงเดินไปเดินเดินมา มองดูคนนี้ทีคนนั้นที รู้สึกต้องใช้ความคิดอย่างมากว่าจะจัดการอย่างไรถึงจะเหมาะสม

จากนั้นเธอจึงพูดว่า “เอาอย่างนี้ พวกเธอรอฟังคำสั่งก่อนก็แล้วกัน”

เสียงเธอยังไม่ทันจบลงดี ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากทางประตู

“จัดการแบบนี้ได้อย่างไรกัน?

กู้ฉางฉิงหันไปมองตามเสียง คือลู่ซือยวี่นั่นเอง

คิ้วเธอขยับเล็กน้อย ต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่

ลู่ซือยวี่ย้วยยาดเดินมาถึงตรงหน้าเธอ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเธอไม่จัดการแบ่งงานซะตั้งแต่ตอนนี้ มันจะวุ่นวายในภายหลังแน่ ๆ”

ลู่ซือยวี่มองดูคนใช้เหล่านั้น แล้วพูดต่อว่า “ถ้าเธอไม่รู้จะจัดการมอบหมายงานอย่างไร ฉันช่วยเธอได้นะ”

พอพูดจบ โดยที่ไม่สนใจว่ากู้ฉางฉิงจะเห็นด้วยหรือไม่ เธอก็ชี้นิ้วไปที่สาวใช้สองคนที่ดูอายุยังน้อยว่า “พวกเธอสองคนรับผิดชอบทำความสะอาดห้องโถงใหญ่”

จากนั้นก็ชี้ไปที่คนอื่น ๆ และพูดว่า “พวกเธอทำความสะอาดห้องหับต่าง ๆ และพวกเธอดูแลความสะอาดของห้องครัว……”

เธอมอบหมายงานให้ทุกคนจนครบ ราวกับว่าเธอเป็นนายหญิงของที่นี่เสียเอง

เมื่อจัดการเสร็จหมดแล้ว เธอจึงหันมาหากู้ฉางฉิง ราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้ พร้อมกับแสดงสีหน้าที่ไม่สบายใจ และพูดว่า “ตายจริง ฉันต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ถามความเห็นของเธอก็ตัดสินใจจัดการทั้งหมดเอง เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”

มองดูท่าทางแสร้งไร้เดียงสาของเธอ กู้ฉางฉิงก็แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ

ทั้งที่เธอดูออกจะพอใจในสิ่งที่ทำลงไป กลับแสร้งทำทีจนน่ารังเกียจ มันช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ

กู้ฉางฉิงไม่ได้พูดอะไร ลู่ซือยวี่จึงรีบถามว่า “เธอคงไม่ได้โกรธฉันหรอกนะ?”

กู่ฉางฉิงเลิกคิ้วขึ้น ยกมุมริมฝีปากและยิ้มจาง ๆ “ฉันจะโกรธได้อย่างไร ต้องขอบคุณเธอซะมากกว่า”

พอได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ลู่ซือยวี่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มแห่งชัยชนะออกมา ในใจยิ่งรู้สึกดูถูกกู้ฉางฉิงมากขึ้นไปอีก

การที่เรื่องแค่นี้เธอยังจัดการให้ดีไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะ

เมื่อเห็นท่าทางพออกพอใจของเธอ ประกายเจ้าเลห์ปรากฎขึ้นในแววตาของกู้ฉางฉิง เธอยิ้มและพูดว่า “คืนนี้เธออยู่ทานข้าวด้วยกันเถอะ ฉันจะบอกจิ่งเหยาเองว่าเธอเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ เขาจะต้องดีใจมากแน่ ๆ”

น้ำเสียงที่ฟังดูกันเองอย่างเป็นธรรมชาติของกู้ฉางฉิง ทำให้ลู่ซือยวี่เกือบเก็บอาการหึงหวงไว้ไม่อยู่

ลู่ซือยวี่สูดหายใจเข้าระงับความหึงหวงในใจเอาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ที่ฉันช่วยก็เพราะเห็นแก่หน้าพี่จิ่งเหยา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลย”

กู้ฉางฉิงยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องขอบคุณเธอ”

ลู่ซือยวี่หรี่ตาลงทันที ผู้หญิงคนนี้ช่างเสแสร้งเก่งนัก

ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะชี้หน้าด่าเธอไปแล้ว ไม่ใช่มาแสร้งพูดขอบคุณเช่นนี้

ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเสแสร้งเก่ง พี่จิ่งเหยาจะถูกเธอหลอกจนหัวหมุนแบบนี้ได้อย่างไร?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลู่ซือยวี่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือว่า “กู้ฉางซิน เธอไม่เห็นต้องปลอมขนาดนี้เลย พี่จิ่งเหยาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย”

กู้ฉางฉิงเลิกคิ้วขึ้น และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จะว่าไปมันก็ใช่”

ลู่ซือยวี่อดตื่นเต้นไม่ได้ เธอจะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้วใช่ไหม?

มีหรือที่กู้ฉางฉิงจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้ยิ่งดูแย่ลง

กลัวว่าเธอจะต้องผิดหวังเป็นแน่

“ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ต้องขอบคุณจริง ๆ เพราะอันที่จริงฉันก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรเหมือนกัน”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ แววตาของกู้ฉางฉิงก็มีประกายร้าย ๆ ปรากฎ เธอพูดต่อว่า “น้องซือยวี่อุตส่าห์อาสามาช่วยงานฟรี ๆ ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรกันล่ะ?”

สีหน้าของลู่ซือยวี่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้

หล่อน……หล่อนกล้าหาว่าเธอเป็นแรงงานฟรี

อารมณ์โกรธพลุ่งขึ้นมาทันใด ลู่ซือยวี่ยกมือของเธอขึ้นหวังจะตบฉาดเข้าที่ใบหน้าของกู้ฉางฉิง

กู้ฉางฉิงที่แววตาเย็นชาก็เธอรีบยกแขนขึ้นกัน

ใครจะไปรู้ว่า ลู่ซือยวี่กลับเด้งล้มลงเสียเอง

“เธอกล้าผลักฉัน!”

ลู่ซือยวี่ที่ล้มอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นจ้องเธอเขม็ง

กู้ฉางฉิงขมวดคิ้ว วิธีการนี้ของลู่ซือยวี่ก็ช่างเงอะงะซุ่มซ่ามเสียจริง

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

สะใภ้เศรษฐี กับสามีผู้หลงภรรยา

Status: Ongoing
ก่อนแต่งงานแทนน้องสาวเข้าไปในตระกูลเฟิง กู้ฉางชิงได้ยินว่าเฟิงจิ่งเหยาเป็นคนที่เฉยเมย ต่อมาถึงได้รู้ว่าข่าวลือล้วนเป็นเรื่องโกหก คุณเฟิงไม่เพียงแต่ไม่เย็นชา กลับเป็นคนที่อบอุ่น แต่กระตือรือร้นเป็นพิเศษในการมีทายาท มีคนพูดเป่าหูต่อหน้าเขา “คุณเฟิง ก่อนคุณจะกลับประเทศ ในทุกๆคืนภรรยาของคุณจะไม่กลับบ้าน เพราะออกไปเมาข้างนอก” เฟิงจิ่งเหยา “หลังจากฉันกลับประเทศ ตอนค่ำภรรยาของฉันจะมาอยู่ที่ห้องฉัน ปรนนิบัติฉันไม่นอนทั้งคืน” มีคนพูดอีกว่า “ก่อนคุณจะกลับมา ภรรยาของคุณช้อปปิ้งทั้งวัน เปลี่ยนรถยี่ห้อหรูไม่หยุด แถมยังมีหนุ่มคอยอยู่เธอตลอดเวลา” เฟิงจิ่งเหยา พูดต่อว่า “หลังจากฉันกลับประเทศ บัตรเครดิตทุกใบของฉัน ฉันก็อยากให้ภรรยาฉันใช้ แต่เธอไม่ต้องการ ไปกลับจากที่ทำงานก็ให้ฉันไปรับแค่คนเดียว” สำหรับคนที่เย็นชา เมื่อมีภรรยาจะคลั่งรักเป็นพิเศษ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท