ตกกลางคืน มีเสียงข้าวของแตกกระจายดังมาจากชั้นสองห้องทางทิศตะวันออกของวิลล่าหลังตะวันออก
เสียงยิ่งดังชัดขึ้นโดยเฉพาะในคืนที่เงียบงันเช่นนี้
“อา!”
ลู่ซือยวี่ใช้อารมณ์กวาดของทุกอย่างบนโต๊ะเครื่องแป้งลงบนพื้น หายใจฟึดฟัดอย่างแรง ใบหน้าเล็ก ๆ นั้นบิดเบี้ยวด้วยแรงหึงหวง
พี่จิ่งเหยาถึงกับไล่คนใช้ทุกคนออกเพื่อนังผู้หญิงคนนั้น
เพราะอะไรกัน?
เขาทำแบบนี้ทำไม?
ทำไมถึงสนใจยัยสารเลวนั่นขนาดนั้น?
เธอหรี่ตาลง สายตาบ่งบอกถึงความมาดร้าย
หรือว่าพี่จิ่งเหยาจะชอบนังสารเลวนั่นเข้าแล้วจริง ๆ ?
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!”
ลู่ซือยวี่กรีดร้องเสียงดัง พลันไปกระชากโคมไฟที่อยู่ด้านข้างมาและโยนกระแทกลงบนพื้น
สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ตกใจมากจนกระโดดหลบไป เธอยกศรีษะขึ้นมองดูลู่ซือยวี่ที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ในขณะนี้ แล้วรีบก้าวไปข้าวหน้าเพื่อปลอบเธอว่า “คุณหนูใจเย็น ๆ ก่อนค่ะ ใช้อารมณ์เกินไปจะไม่ดีต่อสุขภาพนะคะ”
“จะให้ฉันใจเย็นอีกได้อย่างไร?”
ลู่ซือยวี่หันกลับมา จ้องไปที่เธอด้วยแววตาดุร้าย กัดฟันและพูดว่า “พี่จิ่งเหยาชอบนังสารเลวนั่นเข้าให้แล้ว แกยังจะให้ฉันใจเย็นลงอีกได้อย่างไร?”
“คุณชายจิ่งเหยาชอบยัยผู้หญิงคนนั้น?” สาวใช้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ คุณหนูอย่าคิดมากไปเลยนะคะ”
“ถ้าเป็นไปไม่ได้ เขาจะไล่คนใช้ทั้งหมดออกได้อย่างไรกัน?”
ในเวลานี้ คนอารมณ์ร้อนอย่างลู่ซือยวี่เข้าใจว่าเฟิงจิ่งเหยาชอบกู้ฉางซินเข้าให้แล้ว
“คุณหนู นี่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนค่ะ”
สาวใช้ประคองเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้นอน แล้วก็วิเคราะห์ว่า “ที่คุณชายจิ่งเหยาทำไปแบบนั้นก็เพียงเพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาของท่าน และบวกกับที่เธอได้รับบาดเจ็บมา ก็คงจะเป็นแค่ความเมตตาของท่านที่มีต่อเธอ”
“หึ” ลู่ซือยวี่ยิ้มเยาะออกมา “กลัวว่าความเมตตาจะกลายเป็นความเวทนาซะมากกว่า”
ไม่ว่าจะเป็นความเมตตาหรือว่าอะไรก็ตาม เธอก็ยอมรับไม่ได้ทั้งนั้น
ที่สำคัญไปกว่านั้น การที่พี่จิ่งเหยาโกรธจนไล่คนใช้ออกทั้งหมดนั้นมันรวมไปถึงสายของเธอที่อยู่ในนั้นด้วย
ทีนี้เธอก็ไม่สามารถรู้ความเคลื่อนไหวของพี่จิ่งเหยากับนังสารเลวนั่นได้อีก
เธอพูดถึงปัญหาหนักใจนี้ออกมา สาวใช้จึงรีบเสนอว่า “เรื่องนี้ง่ายนิดเดียว ก็เพียงแค่ซื้อใหม่อีกสักคนหนึ่ง”
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเธอยังไม่ดีขึ้น สาวใช้จึงกล่าวต่อไปว่า “คุณหนูคะ บ้านสกุลกู้ยังจะต้องหวังเอาผลประโยชน์จากตระกูลเฟิงเป็นแน่ คุณหนูสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้”
หลังจากฟังคำพูดของสาวใช้แล้ว ลู่ซือยวี่ก็ค่อย ๆ สงบลง แต่สีหน้าก็ยังคงไม่น่ามองอยู่เหมือนเดิม
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะไม่ยอมให้พี่จิ่งเหยาชอบนังสารเลวคนนั้นได้แน่!
……
บ่ายวันต่อมา คนรับใช้ที่เฟิงจิ่งเหยาเลือกเข้ามาด้วยตัวเองต่างมากันจนครบ
เขาโทรศัพท์หากู้ฉางฉิง
“หน้าที่จัดการเรื่องคนรับใช้ มอบอำนาจให้สิทธิ์คุณรับผิดชอบนะ”
พบพูดจบ โดยไม่รอคำตอบจากกู้ฉางฉิง เขาก็วางสายไป
กู้ฉางฉิงมองไปที่โทรศัพท์ไม่รู้จะร้องไห้หรือขำดี เขาช่างเอาแต่ใจเกินไปเสียจริง หรือเขาจะกลัวเธอปฏิเสธกันนะ?
อย่างไรก็ตาม การที่เขามอบเรื่องนี้ให้เธอจัดการก็อาจจะเพื่อให้คนรับใช้ใหม่เหล่านี้ได้รู้จักฐานะที่แท้จริงของเธอ
เขาช่างเป็นคนที่ละเอียดรอบคอบเสียจริง
คนรับใช้ที่มาใหม่ยืนเรียงกันเป็นแถว
ทุกคนตาเหลือบมองลงแสดงถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน
กู้ฉางฉิงเดินไปเดินเดินมา มองดูคนนี้ทีคนนั้นที รู้สึกต้องใช้ความคิดอย่างมากว่าจะจัดการอย่างไรถึงจะเหมาะสม
จากนั้นเธอจึงพูดว่า “เอาอย่างนี้ พวกเธอรอฟังคำสั่งก่อนก็แล้วกัน”
เสียงเธอยังไม่ทันจบลงดี ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากทางประตู
“จัดการแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
กู้ฉางฉิงหันไปมองตามเสียง คือลู่ซือยวี่นั่นเอง
คิ้วเธอขยับเล็กน้อย ต้องไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่
ลู่ซือยวี่ย้วยยาดเดินมาถึงตรงหน้าเธอ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเธอไม่จัดการแบ่งงานซะตั้งแต่ตอนนี้ มันจะวุ่นวายในภายหลังแน่ ๆ”
ลู่ซือยวี่มองดูคนใช้เหล่านั้น แล้วพูดต่อว่า “ถ้าเธอไม่รู้จะจัดการมอบหมายงานอย่างไร ฉันช่วยเธอได้นะ”
พอพูดจบ โดยที่ไม่สนใจว่ากู้ฉางฉิงจะเห็นด้วยหรือไม่ เธอก็ชี้นิ้วไปที่สาวใช้สองคนที่ดูอายุยังน้อยว่า “พวกเธอสองคนรับผิดชอบทำความสะอาดห้องโถงใหญ่”
จากนั้นก็ชี้ไปที่คนอื่น ๆ และพูดว่า “พวกเธอทำความสะอาดห้องหับต่าง ๆ และพวกเธอดูแลความสะอาดของห้องครัว……”
เธอมอบหมายงานให้ทุกคนจนครบ ราวกับว่าเธอเป็นนายหญิงของที่นี่เสียเอง
เมื่อจัดการเสร็จหมดแล้ว เธอจึงหันมาหากู้ฉางฉิง ราวกับเพิ่งจะนึกขึ้นได้ พร้อมกับแสดงสีหน้าที่ไม่สบายใจ และพูดว่า “ตายจริง ฉันต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้ถามความเห็นของเธอก็ตัดสินใจจัดการทั้งหมดเอง เธอคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
มองดูท่าทางแสร้งไร้เดียงสาของเธอ กู้ฉางฉิงก็แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
ทั้งที่เธอดูออกจะพอใจในสิ่งที่ทำลงไป กลับแสร้งทำทีจนน่ารังเกียจ มันช่างไม่ง่ายเลยจริง ๆ
กู้ฉางฉิงไม่ได้พูดอะไร ลู่ซือยวี่จึงรีบถามว่า “เธอคงไม่ได้โกรธฉันหรอกนะ?”
กู่ฉางฉิงเลิกคิ้วขึ้น ยกมุมริมฝีปากและยิ้มจาง ๆ “ฉันจะโกรธได้อย่างไร ต้องขอบคุณเธอซะมากกว่า”
พอได้ยินเธอพูดเช่นนี้ ลู่ซือยวี่ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มแห่งชัยชนะออกมา ในใจยิ่งรู้สึกดูถูกกู้ฉางฉิงมากขึ้นไปอีก
การที่เรื่องแค่นี้เธอยังจัดการให้ดีไม่ได้ ก็ไม่ต่างอะไรกับขยะ
เมื่อเห็นท่าทางพออกพอใจของเธอ ประกายเจ้าเลห์ปรากฎขึ้นในแววตาของกู้ฉางฉิง เธอยิ้มและพูดว่า “คืนนี้เธออยู่ทานข้าวด้วยกันเถอะ ฉันจะบอกจิ่งเหยาเองว่าเธอเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ เขาจะต้องดีใจมากแน่ ๆ”
น้ำเสียงที่ฟังดูกันเองอย่างเป็นธรรมชาติของกู้ฉางฉิง ทำให้ลู่ซือยวี่เกือบเก็บอาการหึงหวงไว้ไม่อยู่
ลู่ซือยวี่สูดหายใจเข้าระงับความหึงหวงในใจเอาไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ที่ฉันช่วยก็เพราะเห็นแก่หน้าพี่จิ่งเหยา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอเลย”
กู้ฉางฉิงยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องขอบคุณเธอ”
ลู่ซือยวี่หรี่ตาลงทันที ผู้หญิงคนนี้ช่างเสแสร้งเก่งนัก
ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็คงจะชี้หน้าด่าเธอไปแล้ว ไม่ใช่มาแสร้งพูดขอบคุณเช่นนี้
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเสแสร้งเก่ง พี่จิ่งเหยาจะถูกเธอหลอกจนหัวหมุนแบบนี้ได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลู่ซือยวี่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือว่า “กู้ฉางซิน เธอไม่เห็นต้องปลอมขนาดนี้เลย พี่จิ่งเหยาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่สักหน่อย”
กู้ฉางฉิงเลิกคิ้วขึ้น และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “จะว่าไปมันก็ใช่”
ลู่ซือยวี่อดตื่นเต้นไม่ได้ เธอจะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้วใช่ไหม?
มีหรือที่กู้ฉางฉิงจะไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้ยิ่งดูแย่ลง
กลัวว่าเธอจะต้องผิดหวังเป็นแน่
“ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ต้องขอบคุณจริง ๆ เพราะอันที่จริงฉันก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรเหมือนกัน”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ แววตาของกู้ฉางฉิงก็มีประกายร้าย ๆ ปรากฎ เธอพูดต่อว่า “น้องซือยวี่อุตส่าห์อาสามาช่วยงานฟรี ๆ ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรกันล่ะ?”
สีหน้าของลู่ซือยวี่เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้
หล่อน……หล่อนกล้าหาว่าเธอเป็นแรงงานฟรี
อารมณ์โกรธพลุ่งขึ้นมาทันใด ลู่ซือยวี่ยกมือของเธอขึ้นหวังจะตบฉาดเข้าที่ใบหน้าของกู้ฉางฉิง
กู้ฉางฉิงที่แววตาเย็นชาก็เธอรีบยกแขนขึ้นกัน
ใครจะไปรู้ว่า ลู่ซือยวี่กลับเด้งล้มลงเสียเอง
“เธอกล้าผลักฉัน!”
ลู่ซือยวี่ที่ล้มอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นจ้องเธอเขม็ง
กู้ฉางฉิงขมวดคิ้ว วิธีการนี้ของลู่ซือยวี่ก็ช่างเงอะงะซุ่มซ่ามเสียจริง