ทั้งสองคนนัดเวลาทานข้าวกัน เพราะว่าฮั้วเฉินมีธุระที่ต้องขอตัวก่อน
เฟิงจิ่งเหยามองเขาออกไป ด้วยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาได้
หวังว่างานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้จะสามารถพบอะไรบางอย่าง
เขาคิดอยู่เงียบๆ แล้วก็ก้มหน้าเริ่มทำงานต่อ
ถึงเวลาเลิกงานตอนเย็น เขาก็กลับไปที่คฤหาสน์ชายทะเล
กู้ฉางฉิงวาดแบบร่างการออกแบบอยู่ในห้อง เห็นเขาเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะตึงเครียด ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังโกรธอยู่หรือเปล่า
“กลับมาแล้วหรอ”
เธอคิดๆดูแล้ว หากว่าก็ยิ้มทักทาย
เฟิงจิ่งเหยามองไปที่รอยยิ้มที่ฝืนใจของเธอ ก็กระพริบๆตา พยักหน้าทำเสียงตอบรับ
พูดจบ เขาก็ถอดเสื้อคลุมและเดินไปที่ห้องแต่งตัว
กู้ฉางฉิงมองไปที่ด้านหลังของเขา กัดริมฝีปากล่างของเธออย่างอึดอัดใจ เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้ยังโกรธอยู่ แล้วก็ไม่อยากสนใจเธอ
เธอหันกลับมาอย่างหดหู่ จ้องมองภาพวาดการออกแบบบนกระดานวาดภาพเป็นเวลานาน
ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เฟิงจิ่งเหยาเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านแล้วเดินออกมา
เขามองไปที่กู้ฉางฉิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ขมวดคิ้วพูดว่า : “ใช่สิ อีกไม่กี่วันฮั้วเฉินก็ต้องไปแล้ว พรุ่งนี้มีกินข้าวกับเขา ถือว่าเลี้ยงส่งเขา”
กู้ฉางฉิงตกตะลึงเล็กน้อย หันกลับมาอย่างประหลาดใจ
เห็นว่าเฟิงจิ่งเหยาไม่ได้มองตน แต่จัดระเบียบตนเอง ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาเมื่อกี้พูดไปอย่างตามอำเภอใจ
แต่เช่นนี้ เธอยังอดประหลาดใจไม่ได้ ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น คาดไม่ถึงว่าเขายังจะเรียกเธอไปทานข้าวกับเพื่อนของเขาด้วย
ในทันที ความน้อยใจในใจของเธอก็คลี่คลายลงมาก
“ฉันรู้แล้ว”
เธอยิ้มตอบกลับ
เฟิงจิ่งเหยาเห็นท่าทางเธอไม่มีความสุขเมื่อกี้นี้ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอารมณ์ดี ก็ประหลาดใจเล็กน้อย เพียงแต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
……
เที่ยงวันต่อมา เพราะว่าต้องไปร่วมรับประทานอาหารกับเพื่อนของเฟิงจิ่งเหยา เธอจึงแต่งตัวเป็นพิเศษ
ชุดเดรสสีม่วงอ่อน เผยให้เห็นความตัวเล็กกระทัดรัดของเธอ
การแต่งหน้าอ่อนๆแต่ดูดี ทำให้เธอดูมีชีวิตชีวามาก
ผมดำเงางามถูกม้วนไว้ด้านหลังครึ่งหนึ่ง เหลือปอยผมไว้ที่แก้มทั้งสองข้าง
เฟิงจิ่งเหยายังคงเป็นชุดสูทแฮนด์เมดสีดำที่ไม่เปลี่ยน ทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันทว่ากลมกลืนกันอย่างบอกไม่ถูก
“ไปเถอะ”
กู้ฉางฉิงเดินไปใกล้ๆเฟิงจิ่งเหยาแล้วพูด
เฟิงจิ่งเหยาระงับความประหลาดใจในแววตา พยักหน้าแล้วขึ้นรถ
จากนั้นทั้งสองก็มาถึงร้านอาหารที่จองกันไว้ ฮั้วเฉินก็รอิยู่ที่ห้องวีไอพีแล้ว
“จิ่งเหยา คุณกู้ เจอกันอีกครั้งนะ”
เขายิ้มทักทาย แสดงออกอย่างสุภาพอ่อนโยนเหมือนเคย
กู้ฉางฉิงยิ้มตอบกลับ : “หมอฮั้ว”
หลังจากที่ทั้งสามคนนั่งลง เฟิงจิ่งเหยากับฮั้วเฉินพูดคุยเกี่ยวกับบริษัทกัน
กู้ฉางฉิงก็ฟังอย่างเงียบๆ ดูแลอาหารของเฟิงจิ่งเหยาเป็นครั้งคราว
ทั้งสองคนพูดจบ ฮั้วเฉินก็มองมาทางเธอ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยิ้มพูดว่า : “คุณกู้ ฉันได้ยินมาว่าคุณทำงานที่บริษัทของจิ่งเหยาตลอด คุณเป็นดูแลเกี่ยวกับการเงินใช่ไหม? ฉันจำได้ว่าคุณจบเศรษฐศาสตร์”
กู้ฉางฉิงได้ยินคำพูดนี้ ก็ตะลึง จึงตอบกลับว่า
“อืม วิชาเอกเศรษฐศาสตร์ เพียงแต่ไม่ได้ดูแลการเงิน ฉันไปอยู่แผนกออกแบบ”
คำตอบกลับง่ายๆของกู้ฉางฉิง ทำให้ฮั้วเฉินประหลาดใจ
“แผนกออกแบบ? คุณกู้เคยเรียนออกแบบด้วยหรอ?”
กู้ฉางฉิงเห็นท่าทีที่เขาตกใจ ก็ไม่ได้คิดมาก ก่อนหน้านี้ฉันก็ต้องอธิบายกับเฟิงจิ่งเหยาซ้ำๆ
ฮั้วเฉินฟังแล้ว ก็ดูเหมือนกับว่าจะเชื่อ โดยทั่วไปก็ถามเกี่ยวกับสถานการณ์ชีวิตประจำวันและการทำงานของกู้ฉางฉิง
กู้ฉางฉิงไม่ได้ตระหนักถึงการหยั่งเชิงตั้งแต่ตื้นไปจนถึงลึกของเขา ตอบคำถามต่างๆกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้ของเฟิงจิ่งเหยาไม่เลวเลย คุ้มค่ากับมิตรภาพที่ลึกซึ้ง
“ขอโทษนะคะ ฉันขอไปห้องน้ำหน่อย”
ระหว่างการสนทนา เพราะปัญหาทางสรีระกู้ฉางฉิงลุกขึ้นแล้วออกไป
พอเธอออกไป ฮั้วเฉินก็ยกแก้วเหล้าข้างๆมือมาจิบเบาๆทีหนึ่ง
“เป็นยังไงบ้าง? ดูอะไรออกไหม?”
เฟิ่งจิ่งเหยาอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม
ฮั้วเฉินมองไปยังเขา วางแก้วเหล้าในมือลง กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า: “จากการสนทนาเมื่อกี้นี้ ตัดสินโดยทฤษฎีทางการแพทย์มืออาชีพ ภรรยาของคุณเป็นปกติในทุกด้าน”
เฟิงจิ่งเหยาเลิกคิ้ว: “แล้วความหมายของคุณคือ?”
ฮั้วเฉินพยักหน้า: “เธอไม่เหมือนกับอาการของคนหลายบุคลิก อย่างน้อยในบทสนทนาเมื่อกี้นี้ เธอไม่ได้มีท่าทีหรืออาการใดๆที่แสดงออกมา”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็คล้ายกับว่านึกถึงอะไรได้อีก ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“แต่ในใจของเธอคล้ายกับว่ามีบางอย่างที่คนอื่นสัมผัสไม่ถึง ด้านนี้ทำให้เธอ……….”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็คล้ายกับหาคำบรรยายไม่ได้ ด้วยเหจุนี้จึงหยุดไปสองวินาทีแล้วจึงกล่าวต่อไปว่า: “กังวล ใช่ น่าจะกังวลและหวาดกลัว”
เฟิงจิ่งเหยาฟังคำพูดนี้ของเขาจบ คนก็นิ่งอึ้งไป ทันทีก็ขมวดคิ้วแน่น
ตามที่เขารับรู้ กู้ฉางซินไม่เกรงกลัวเทวดาฟ้าดิน ก่อนที่เขาจะกลับประเทศ ไม่กลัวฟ้ากลัวดิน ใครก็ไม่อยู่ในสายตา
แน่นอนว่าการรับรู้นี้ หลังจากที่เขากลับมา ก็ล้มล้างไปทั้งหมดแล้ว เกี่ยวกับข่าวลือเหล่านั้นท่าทีทุกอย่างของกู้ฉางซินก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“คุณแน่ใจหรอว่าในใจของเธอมีความหวาดกลัว?”
ไม่ว่ายังไง เฟิงจิ่งเหยาก็ยังไม่เชื่อข้อวินิจฉัยนี้
ฮั้วเฉินก็มองออก กล่าวด้วยสีหน้าปกติว่า: “นี่เป็นเรื่องที่แน่นอน หรือว่าคุณไม่เชื่อฉัน”
เฟิงจิ่งเหยาสำลักคำพูด ถ้าเขาไม่เชื่อฮั้วเฉิน เขาก็ไม่สามารถเชื่อหมอบนโลกใบนี้ได้แล้ว
“งั้นคุณรู้ไหมว่าเรื่องที่เธอหวาดกลัวอยู่ในใจคืออะไร?”
ฮั้วเฉินส่ายหน้า ขมวดคิ้วกล่าวว่า: “เรื่องนี้ฉันไม่สามารถตัดสินออกมาได้ในชั่วครู่ชั่วยาม”
เขาพูดพลาง มองไปที่ใบหน้ารูปงามของเฟิงจิ่งเหยา ในสายตาก็เป็นประกาย คล้ายกับมีความคิดเห็น
“ถึงแม้ว่าฉันจะตัดสินออกมาไม่ได้ แต่คุณสามารถติดตามดูในชีวิตประจำวันได้ หลังจากนั้นก็พูดคุยสถานการณ์ของเธอกับฉัน บางทีฉันอาจจะเข้าใกล้ได้อีกสักก้าวหนึ่ง”
พูดจบ กู้ฉางฉิงก็กลับมา เฟิงจิ่งเหยาเห็นก็ทำได้เพียงกลืนคำที่อยากจะพูดลงคอไป พยักหน้ากับฮั้วเฉินอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ปิดประเด็นสนทนา แล้วพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจในขณะนี้
ไม่นาน คนทั้งสามก็รับประทานอาหารเสร็จ เพราะฮั้วเฉินมีธุระเลยออกไปก่อน
หลังจากเฟิงจิ่งเหยากล่าวลากับฮั้วเฉินแล้ว ก็เอียงหน้าไปถามกู้ฉางฉิงว่า: “คุณอยากไปไหน?”
กู้ฉางฉิงกวาดสายตามองไปยังถนนที่รถวิ่งขวักไขว่ ไม่รู้ว่าควรจะตอบยังไง
เธอคล้ายกับว่านอกจากกลับคฤหาสน์แล้วก็ไม่มีสถานที่อื่นที่จะไป
เธอกำลังคิดที่จะพูดว่ากลับบ้าน เสียงของเฟิงจิ่งเหยาก็ดังขึ้นข้างหูอีกครั้งว่า: “อยากไปสำนักงานใหญ่ไหม?”
กู้ฉางฉิงได้ยินคำพูดนี้ ก็มองไปยังเฟิงจิ่งเหยาอย่างแปลกใจ ในสายตามีความไม่เข้าใจ
เฟิงจิ่งเหยามองออกถึงความไม่แน่ใจของเธอ หรี่ตาแล้วกล่าวว่า: “ยังไงถ้าตอนนี้คุณไปที่ZARYไม่ได้ กลับบ้านก็ไม่มีปัญหาอะไร สามารถทำงานในด้านของฉันชั่วคราวได้ แน่นอน ถ้าคุณไม่เต็มใจก็ช่างเถอะ”
กู้ฉางฉิงเม้มปาก ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับยังไง
เฟิงจิ่งเหยาไม่รู้ความยุ่งเหยิงในใจของเธอ เห็นเธอไม่พูดอยู่นาน ก็เลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
“ทำไม ตบตีครั้งเดียวทำให้คุณล้มเลิกเลยหรอ?”
กู้ฉางฉิงรู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องตบตีคนก่อนหน้านี้
“ออกแบบเป็นสิ่งที่ฉันชอบ ฉันไม่มีทางล้มเลิก”
สายตาที่เด็ดเดี่ยวของเธอมองไปยังเฟิงจิ่งเหยา
เฟิงจิ่งเหยาถูกท่าทางที่เด็ดเดี่ยวของเธอทำให้ตกใจเล็กน้อย เป็นเวลานานจึงดึงสติกลับมาแล้วกล่าวว่า: “งั้นก็ดี ตามฉันมา”