หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 58 คนที่ไม่มีความรู้สึก

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน ขมวดคิ้วแล้วถาม:“สรุปคุณตามมาเพราะอะไรกันแน่? ฉันไม่เชื่อเรื่องบังเอิญอะไรแบบนี้หรอก ถ้าคุณไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่ขึ้นรถหรอก”

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเอียงศีรษะเล็กน้อย:“ก็เพราะคุณไง เพราะคุณจริงๆ วันนี้คุณไม่ได้อยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่ง ผมก็เลยอยากมาดูว่าคุณกำลังทำอะไรกันแน่ ผมอยากรู้เกี่ยวกับคุณมาก ยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ตอนนี้ของคุณกับเหลิ่งเซ่าถิงยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ? อีกอย่างรถคันนี้คุณไม่ได้ใช้เงินเดือนของคุณซื้อใช่ไหม? เหมือนคุณไม่ได้ขับรถมานี่ เวลาเทียบกันแล้วไม่พอแน่นอน ถ้ามาถึงที่นี่แล้วค่อยซื้อ ไม่มีเวลาติดป้ายทะเบียนรถด้วยซ้ำ จะเป็นรถที่คุณซื้อมาได้ยังไง? ทำไมคุณต้องเตรียมรถชำรุดคันนี้?”

“เท่ไง” เหลิ่งหมิงอันยืนพิงรถแล้วยิ้ม:“อีกอย่างแบบนี้คุณจะได้เกิดความอยากรู้เกี่ยวกับผม”

“เกิดความอยากรู้เกี่ยวกับคุณ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองไปทางเหลิ่งหมิงอันด้วยความสงสัย:“ความอยากรู้แค่เล็กๆน้อยๆสำคัญกับคุณขนาดนั้นเลย?”

เหลิ่งหมิงอันเอียงศีรษะเล็กน้อย มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้มออกมา:“คุณเจี่ยนเคยชอบใครไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วถามเสียงเย็นชา:“ทำไมเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วค่อยๆหุบยิ้มลง แสดงให้เห็นสีหน้าที่จริงจัง:“ถ้าคุณเคยชอบใครก็น่าจะรู้ การที่ชอบคนๆหนึ่ง คุณจะอดไม่ได้ที่จะอยากรู้เรื่องทุกอย่างของเขา”

“พูดอย่างกับว่าเป็นเรื่องจริงงั้นแหละ พวกคนตระกูลเหลิ่งชอบใครเป็นด้วยเหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็ขมวดคิ้วมองรถที่ชำรุด ลังเลอยู่สักพักแล้วตัดสินใจขึ้นรถไป

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่วที่ขึ้นนั่งบนรถแล้ว เขาเองก็ขึ้นรถด้วย ยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“พวกคนตระกูลเหลิ่ง? คุณอย่าเหมารวมผมกับคนอื่นๆในตระกูลเหลิ่งสิ ถึงแม้ว่าผมจะแซ่เหลิ่ง แต่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆในตระกูลเหลิ่งนะ เห้ย คุณทำอะไรน่ะ?”

พอเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังรถ ก็พลิกหาแล้วพูดไปด้วย:“ฉันก็กำลังหาเข็มขัดนิรภัยไง ชีวิตของฉันมีค่ามากนะ คงทำแบบคุณไม่ได้หรอก”

“เบาะข้างคนขับมีเข็มขัดนิรภัย” เหลิ่งหมิงอันชี้ไปที่เบาะข้างคนขับข้างๆเขาแล้วยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วมองบนให้กับเหลิ่งหมิงอัน:“เบาะข้างคนขับเป็นที่ๆไม่ปลอดภัย ไม่เคยได้ยินเหรอ? เบาะด้านหลังคนขับสิถึงจะเป็นที่ๆปลอดภัยที่สุด”

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้ว ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้:“คุณนี่กลัวตายจริงๆนะ”

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็หาเข็มขัดนิรภัยเจอ แล้วรัดเข็มขัดให้ตัวเอง หลังจากนั้นก็ถอนหายใจยาว:“ฉันสามารถนั่งรถชำรุดคันนี้ได้ แสดงว่าฉันไม่ได้กลัวตายแล้วสินะ รีบไปเถอะ ขับช้าๆนะ รักษาชีวิตด้วย พอถึงถนนใหญ่พวกเราค่อยเรียกแท็กซี่ เห้ย ที่จริงพวกเราสามารถยืมรถของประธานหวังได้นี่ บางที……”

เหลิ่งหมิงอันไม่ได้รอให้เจี่ยนพูดจบ ก็เหยียบคันเร่งทำให้รถเคลื่อนออก ทั้งรถสั่นอย่างบ้าคลั่งอย่างกับเป็นโรคลมบ้าหมู จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็พูดอะไรไม่ออก เธอที่ไม่เคยเมารถ เกือบถูกทำให้อาเจียนออกมา เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยปลอบโยนอวัยวะภายในที่ตกใจจนวิ่งหนีหมดแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองไปที่เหลิ่งหมิงอันตรงที่นั่งคนขับ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจในการขับรถ เธอกลั่นกรองคำพูด พูดกับเหลิ่งหมิงอันในใจ:ตาบ้านี่ บ้าตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ!

เป็นอย่างที่เจี่ยนอี๋นั่วคาดการณ์ไว้จริงๆ รถชำรุดคันนี้ที่เหลิ่งหมิงอันขับ ในช่วงที่กำลังขับอยู่บนถนนรอบภูเขาก็พังขึ้นมา รถจอดลง เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจยาวๆ:“ขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดมันก็พังแล้ว ถ้ายังขับต่อไปล่ะก็ ฉันคงจะตายที่นี่แน่ๆ”

เหลิ่งหมิงอันหันหน้าไปมองบริเวณรอบๆ แล้วหันมามองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเธอว่า:“ถ้าคุณดูรอบๆ คุณจะไม่พูดแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองบริเวณรอบๆ เห็นว่ารอบๆนั้นมืดมิด อีกทั้งรกร้างไม่มีร่องรอยของคนเลยสักคน บนถนนก็ไม่มีรถผ่านมาสักคัน เหมือนกับสถานที่ในหนังอเมริกาที่พบเจอกับฆาตกรต่อเนื่อง เจี่ยนอี๋นั่วกุมขมับอย่างจนปัญญา หันหน้าไปมองเหลิ่งหมิงอัน แล้วพูดเสียงต่ำ:“คุณตั้งใจใช่ไหม? คุณอยากจะฆ่าฉันที่นี่ แล้วโยนศพใช่ไหม? จะบอกคุณให้นะว่านี่มันทางตันแล้วล่ะ อย่าคิดนะว่าคุณเป็นคุณชายรองตระกูลเหลิ่งแล้วจะสามารถทำเรื่องเลวๆอะไรก็ได้!”

เหลิ่งหมิงอันรีบหัวเราะออกมาเสียงดัง มองแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“ผมชอบนิสัยแบบนี้ของคุณจริงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ยังล้อเล่นได้”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเยาะ ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้:“ฉันก็ชอบจะตายละ นิสัยที่มักจะเลือกตัวเลือกที่แย่สุดๆของฉันเองเนี่ย เมื่อกี้ฉันควรนั่งรถของฉู่หมิงเซวียน อย่างมากเขาก็แค่ทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนสักพัก อีกอย่างคงไม่ใจกล้าที่จะทำให้ฉันตาย หรือไม่ก็หน้าด้านไปขอพักที่ตระกูลหวังสักคืนก็ได้นี่นา ทำไมฉันต้องมานั่งรถชำรุดคันนี้ด้วย!”

“คุณพูดแบบนี้ผมก็เสียใจแย่เลยนะ อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับฉู่หมิงเซวียนจะได้ไหม? ผมคบหากับผู้หญิง ต่างก็เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่เคยคบซ้อน และก็ไม่มีทางหักหลังคุณ” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพูด

เจี่ยนอี๋นั่วพิงพนักพิงเบาะหลังอย่างหมดแรง ถามอย่างคนไม่มีแรง:“งั้นคุณอยากเปรียบเทียบกับใคร?”

“กับพี่ชายใหญ่เป็นไง? เปรียบเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิง” เหลิ่งหมิงอันมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว ในบรรยากาศที่มืดมิด ตาทั้งสองข้างของเหลิ่งหมิงอันสุกสว่างเป็นพิเศษ

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งไป ผ่านไปสักพักถึงจะพูดออกมา:“พวกคุณไม่เหมือนกัน เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก”

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ทำไมจะเปรียบเทียบกันไม่ได้? ผมกับเขาหน้าตาก็พอๆกัน ตำแหน่งของเขาถึงแม้ว่าจะสูงศักดิ์กว่าผมเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่แย่นะ อีกอย่างเหลิ่งเซ่าถิงเย็นชา ไม่อ่อนโยนอย่างผมสักหน่อย ทำไมคุณถึงชอบเขา ไม่ชอบผมล่ะ? คุณชอบเขาแล้วยังถูกเขาปฏิเสธอีก ถึงหนีออกมาใช่ไหมล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองนอกรถ แล้วขมวดคิ้ว วันนี้ทั้งวันเธอไม่ได้คิดถึงเหลิ่งเซ่าถิงเลย หลายๆเรื่องมันรุมเร้าเธอ เธอเลยไม่มีกะจิตกะใจจะคิดถึงเหลิ่งเซ่าถิง แต่ในตอนที่ชื่อของเหลิ่งเซ่าถิงปรากฏขึ้นมา เธอก็ยังรู้สึกหวั่นไหว

“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณไม่อยากพูด งั้นผมก็ไม่ถามแล้ว” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพูด:“ยังไงซะไม่ว่าคุณจะชอบเขาด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สุดท้ายคุณก็ต้องชอบผมอยู่ดี”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันมาทางเหลิ่งหมิงอัน:“ฉันล่ะนับถือคุณในเรื่องหลงตัวเองจริงๆ”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาแล้วหัวเราะออกมา:“ในที่สุดคุณก็พบข้อดีในตัวผมแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอันแล้วส่ายหน้า รู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันกับเหลิ่งเซ่าถิงสองพี่น้องคู่นี้ต่างกันลิบลับ บทจะเย็นชาก็เย็นชาเกิน บทจะกระตือรือร้นก็น่ารำคาญจริงๆ เวลานี้ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเจี่ยนอี๋นั่วก็ดังขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบเคาะขมับเบาๆ:“ฉันนี่มันโง่จริงๆ ทำไมถึงลืมโทรเรียกคนให้มารับพวกเรากันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ แต่ก็กดรับโทรศัพท์ไม่ทัน แล้วมองดูว่าใครเป็นคนโทรมาหาเธอ จู่ๆเหลิ่งหมิงอันก็ยื่นมือข้างหนึ่งมา แล้วแย่งโทรศัพท์ในมือของเจี่ยนอี๋นั่วไป กวาดสายตามองที่หน้าจอ เหลิ่งหมิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วเปิดหน้าต่างรถ หลังจากนั้นก็โยนมือถือทิ้งลงไปที่ล่างเนินเขาด้วยมือข้างเดียว

เจี่ยนอี๋นั่วมองมือถือตัวเองที่ถูกโยนทิ้งไป แล้วรีบตะโกนใส่เหลิ่งหมิงอัน:“คุณบ้าไปแล้วเหรอ?”

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบลงจากรถ วิ่งไปหาตรงทิศทางที่เหลิ่งหมิงอันโยนมือถือทิ้งลงมา แต่บนถนนกลับไม่มี เหลือแค่ต้องไปหาที่ล่างเนินเขา แต่บริเวณรอบๆไม่มีไฟถนน ล่างเนินเขาก็มืดสนิท เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนินเขามันสูงแค่ไหน มีอันตรายอะไรแฝงอยู่บ้าง

เบ้าตาของเจี่ยนอี๋นั่วแดงก่ำ รีบเดินกลับมาที่ข้างรถ เตะประตูไปทีหนึ่งแล้วพูดกับเหลิ่งหมิงอันอย่างเสียงดัง:“คุณบ้าหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมต้องโยนมือถือฉันทิ้งไปด้วย?”

“ไม่เห็นเป็นไรหนิ รอถึงวันที่สอง เดี๋ยวก็มีรถมาพาพวกเราไปจากที่นี่เองแหละ อีกอย่างประธานใหญ่อย่างคุณ คงไม่ร้องไห้กับแค่มือถือเครื่องเดียวหรอกใช่ไหม” เหลิ่งหมิงอันยืมไฟจากในรถทำให้มองเห็นเบ้าตาของเจี่ยนอี๋นั่วที่แดงก่ำ เขายิ้มแล้วพูด

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา:“คุณจะไปเข้าใจอะไร? โทรเรียกคนมาช่วยก็สำคัญไม่น้อยเลยนะ ฉันยังไม่ได้โทรหาพ่อฉันเลย? ฉันบอกพ่อไว้แล้วว่าจะโทรหาเขา ตอนที่เขาป่วย ฉันออกไปทำงานนอกสถานที่ แค่นี้ก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว ตอนนี้แม้แต่จะโทรหาก็ยังไม่โทร ฉันเป็นลูกสาวประสาอะไรกัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบร้องไห้ออกมา ร้องไปด้วยพูดเสียงดังไปด้วย:“เหลิ่งหมิงอัน ฉันทำเรื่องอะไรให้คุณเข้าใจผิดเหรอ? ถึงทำให้คุณก่อกวนฉันขนาดนี้? ถ้าฉันทำผิดตรงไหน ฉันจะแก้โอเคไหม? คุณไม่ต้องก่อกวนฉันแล้ว คุณให้ฉันใช้ชีวิตอย่างสงบๆเถอะ ได้ไหม? ฉันกลุ้มใจมากพอแล้ว มีเรื่องเยอะแยะมากมายพอแล้ว ฉันเล่นเกมของพวกคุณไม่ไหว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูด แล้วนั่งยองลงข้างทางร้องไห้ออกมาเสียงดัง:“ทำไมพวกคุณแต่ละคนเป็นแบบนี้ไปซะหมดอะ ฉันล่ะรำคาญพวกคุณจริงๆ!”

“ฮัลโหล เมื่อกี้ตอนที่คุณอยู่มอปลาย ยังเป็นฮีโร่จับคุณครูปีศาจอยู่เลยนะ? ทำไมตอนนี้ร้องอย่างกับเด็กล่ะเนี่ย? ผมไม่รู้จริงๆว่าคุณจะโทรหาพ่อของคุณ อีกอย่างตอนนี้สมองของพ่อคุณก็ได้รับความเสียหายหนักมาก ไม่มีปฏิกิริยากับโลกภายนอกไม่ใช่เหรอ? คุณจะโทรหรือไม่โทร เขาก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก คุณไม่ต้องร้อนใจขนาดนี้ก็ได้” เหลิ่งหมิงอันรีบลงจากรถ เดินไปพูดที่ด้านข้างเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วน้ำตาไหล แล้วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งหมิงอัน:“เขารู้ ถ้าฉันได้คุยกับเขาตลอด เขาจะต้องดีขึ้นได้แน่ คุณก็เป็นลูกชาย ความเข้าใจในหัวอกเดียวกันสักนิดไม่มีเลยเหรอ? ถ้าพ่อแม่ของคุณป่วยหนัก แล้วคุณออกมาทำงานนอกสถานที่ จะไม่โทรหาพวกเขาเลยเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย:“ถ้าพ่อแม่ผมเป็นแบบพ่อคุณล่ะก็ ผมไม่โทรหรอก ยังไงซะก็มีพยาบาลนี่? ทำเรื่องแบบนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด บางทีคุณก็เหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งนะ ทำไมบางทีถึงเหมือนเด็กล่ะเนี่ย? สถานการณ์ที่เหมือนกับพ่อของคุณให้เป็นหน้าที่ของพยาบาลก็พอแล้ว คุณอยู่ข้างเขา เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรหรอก เดิมทีเวลาของคุณสามารถเอาไปทำได้ตั้งหลายเรื่อง ตอนนี้ก็ถูกทำให้เสียเวลาไปหมดแล้ว คุณก็อายุไม่น้อย ไม่รู้สึกว่าเสียดายหรือไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาบังตา แล้วออกแรงเช็ดน้ำตา พูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น:“ฉันเกือบลืมไป พวกคุณก็คนเหมือนกัน เป็นคนที่เย็นชาเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะท่าทางที่ไม่เรียบร้อยหรือว่าเย็นชา ก็ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีความรู้สึก พวกคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครอบครัวคืออะไร ความรู้สึกของพวกคุณล้วนแต่วัดได้ คำนวณได้ พวกคุณน่ารังเกียจจริงๆ!”

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน