หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 184 ใช่สร้อยของคุณมั้ยครับ

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

เจี่ยนซวงหลับลงอย่างรวดเร็ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วนั้นผ่านไปอยู่พักใหญ่ก็ยังนอนไม่หลับ เธอกอดเจี่ยนซวงพร้อมกับหลับตา แล้วพยายามนึกถึงภาพของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ยิ่งเธอพยายามมากแค่ไหน ภาพของเหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ่งเลือนลางไปมากเท่านั้น

เจี่ยนอี๋นั่วยังจำครั้งล่าสุดที่เธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงในโทรทัศน์ คือตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงประกาศยุบบริษัทเหลิ่งลง ถึงแม้ว่าจะมีบางข่าวที่เกี่ยวกับเหลิ่งเซ่าถิงอีกก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เห็นเหลิ่งเซ่าถิงในข่าวนั้นอีกเลย

เธอจำได้ว่าตอนนั้นใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นซีดเซียวมากๆ แต่เขาก็ยังดูดีมากๆ

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิด และแล้วเธอก็หลับตาลงและในที่สุดเธอก็นอนหลับไป

เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วยังเห็นว่าเจี่ยนซวงนั้นยังคงนอนอยู่ เธอจึงไม่ได้เรียกให้เจี่ยนซวงตื่น แต่เธอก็ลุกขึ้นมาก่อน ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วทิ้งกระดาษโน้ตเอาไว้ให้เจี่ยนซวงแผ่นนึง เจี่ยนอี๋นั่วก็ออกไปตามหาสร้อยตามเส้นทางที่เดินผ่าเมื่อวานทันที

เจี่ยนอี๋นั่วตามหาสร้อยเส้นนั้นอยู่นานแต่ก็ไม่เจอสักที เวลาก็ผ่านไปนานมากแล้ว เธอกังวลว่าเจี่ยนซวงจะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใคร และอีกอย่างเจี่ยนซวงก็ต้องไปโรงเรียนด้วย เธอจึงถอนหายใจออกมาแล้วก็ไม่ได้หาสร้อยต่อ ก่อนจะหันหลังแล้วกลับบ้านไป

เธอเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูบ้านสวนเธอก็เจอผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์หันหลังให้เธออยู่ เจี่ยนอี๋นั่วตื่นตัวทันที พร้อมกับจับเครื่องระบุตำแหน่งของเธอเอาไว้แน่น แล้วถามอย่างเย็นชาว่า : “คุณมาทำอะไรคะ?”

เครื่องระบุตำแหน่งที่ติดอยู่บนตัวของเจี่ยนอี๋นั่งนั้นเพียงแค่ไปกดมัน บอดี้การ์ดที่คอยปกป้องเธอก็จะมาทันที

ชายหนุ่มคนนั้นหันหน้ามาก่อนจะเผยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขามาด้วย ตอนที่เขาเจอเจี่ยนอี๋นั่วเขาอึ้งไปอยู่พักหนึ่ง ก่อนใบหน้าของเขาจะขึ้นสีแดงแล้วพูดติดๆขัดๆขึ้นมาว่า : “เอ่อ…..คือ….ผมเจอกระดาษ……กระดาษโน้ต แล้วก็…..สร้อยเส้นนึงน่ะครับ”

ชายหนุ่มพูถึงตรงนี้แล้วเขาก็ยกยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วทันที เผยให้เห็นฟันสเน่ห์ของเขา

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “สร้อย…..สร้อยแบบไหนคะ?”

“เอ่อ…..แบบนี้ครับ……” ชายหนุ่มเตรียมตัวที่จะยกยือขึ้นมาเพื่อหยิบสร้อยออกมาแต่เขาก็หยุดชะงักเสียก่อน ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว : “เอ่อ…อันนี้ผมควรจะเป็นคนถามคุณรึเปล่าครับ? คุณพูดมาสิ…….”

ในขณะที่เขาพูดนั้นเขารู้ว่าเขาพูดติดอ่างเขาจึงปิดปาก และไม่ได้พูดอะไรต่อ

เจี่ยนอี๋นั่วตอบทันที : “จะมีจี้คริสตัลอยู่ที่สร้อย แล้วก็ในคริสตัลนั้นมีดอกไม้สีเหลืองอยู่”

ชายหนุ่มยิ้มขึ้นมาทันที ก่อนจะเอาสร้อยที่อยู่ในมือของตนส่งให้แก่เจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “นี่ของคุณครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วขอบคุณก่อนจะมองดูสร้อยนั้นแล้วก็เปิดกระดาษโน้ตที่ถูกเขียนด้วยดินสอด้วยตัวหนังสือคดเคี้ยว : ลั่วเหยียนเหยียนและเจิงเซียวเถียนทำสัญญาโดยความสมัครใจ ถ้าใครผิดสัญญา คนนั้นเป็นหมา!

เจี่ยนอี๋นั่งอดใจไม่ไหวที่จะไม่หัวเราะออกมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “เนื้อหาสัญญาไม่ได้เขียนชัดเจนแบบนี้ ยัยเด็กบ๊องนี้คงโดนหลอกเป็นแน่”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมาเตรียมตัวที่จะขอบคุณชายคนนั้น ชายคนนั้นก็กำลังมองมาที่เธอด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าเธอเงยหน้าขึ้นมา ชายคนนั้นก็รีบหลบหน้าทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและชำเลืองมองชายหนุ่มที่อายุราวๆยี่สิบต้นๆ ไม่ว่าจะเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ หรือรองเท้าก็ใช้แบรนด์ดัง กระเป๋ากางเกงของเขายังมีบัตรนักเรียนโผล่ออกมาอีก เขาต้องเป็นนักเรียนแน่ๆ นาฬิกาข้อมือของเขาก็ราวๆสามสี่หมื่น แสดงให้เห็นว่าที่บ้านเขารวยแน่ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วจำได้ว่ามีคนพูดๆต่อๆกันว่ามีกลุ่มคนมาถ่ายภาพเมื่อไม่นานมานี้ ว่ากันว่าเป็นกลุ่มชมรมถ่ายภาพ เจี่ยนอี๋นั่วจึงเดาว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้จะต้องเป็นนักศึกษามหาลัยที่เป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมนั้นแน่ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วปล่อยใจไปสักพักก่อนจะยิ้มให้ชายคนนั้น : “ขอบคุณมากนะคะ ลูกสาวของฉันเอาแต่เศร้าที่สร้อยเส้นนี้หายไป ขอบคุณมากๆนะคะ”

ชายหนุ่มคนนั้นเบิกตาโตขึ้นมาทันที ก่อนจะจ้องมาที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดว่า : “อะไรนะครับ? ลูกสาวหรอครับ? คุณมีลูกแล้วหรอครับ? คุณอายุเท่าไหร่แล้ว?”

คราวนี้ชายหนุ่มถึงได้พูดคล่องขึ้นมาอย่างไม่ติดอ่างเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะเสียมารยาทไปหน่อย แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม : “ฉันอายุครบสามรอบนักษัตรแล้ว ทำไมหรอ?”

“ผม…..ผมอายุยี่สิบสองครับ……” ชายหนุ่มแสดงท่าทีที่ไม่คาดคิดออกมามองเจี่ยนอี๋นั่งแล้วก็ขมวดคิ้ว

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม : “อ๋อ หนุ่มจังเลย แต่ฉันไม่สนใจอายุของคุณหรอกค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่เก็บสร้อยเส้นนี้มาคืน ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณ ที่บ้านฉันก็มีแค่ผักสดใหม่ เดี๋ยวฉันจะเอามาให้นะ……”

ชายหนุ่มยังคงขมวดคิ้วแล้วก็พึมพำอยู่ : “สามสิบ…….สามสิบ……..”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะไม่ได้สนใจเรื่องอายุ แต่เมื่อเธอเก็นปฏิกิริยาของชายหนุ่มตรงหน้าเธอก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เธอพูดด้วยรอยยิ้ม : “ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณตกใจ ฉันคงแก่เกินไปน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ…….” ชายหนุ่มพูดก่อนจะส่ายมือแบบอึ้งๆ : “เอ่อผม….ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับ…………”

เจี่ยอนี๋นั่วยิ้มแล้วมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น : “เดี๋ยวฉันเอาผักมาให้นะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เข้าไปในสวนแล้วเอาผักที่สดใหม่ใส่ตะกร้ามาให้ชายหนุ่มทันที : “นี่ค่ะ รับไปสิ”

ชายหนุ่มรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที : “ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ”

“นี่เป็นของแทนคำขอบคุณ ทำไมจะรับไม่ได้ล่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วกล่าว ก่อนจะยื่นตระกร้าผักสดนี้ไปที่มือของชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : “มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นก็ต้องมีของตอบแทน ต่อไปถึงจะมีคนทำดีมากขึ้นนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ถอยหลังมาหนึ่งก้าว ก่อนจะโบกมือลาชายหนุ่ม : “แล้วเจอกันใหม่ค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ปิดประตูทันที ชายหนุ่มยืนอยู่หลังประตูอยู่นานกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมา ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วผ่านประตูที่ปิดแล้วนั้นว่า : “แล้ว….แล้วเจอกันครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วเอาสร้อยกลับมาที่ห้องแล้วมองเจี่ยนซวงที่นอนอยู่บนเตียง พี้อมกับส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา : “เฮ้…….ตื่นได้แล้วค่ะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วตั่วสั่นก่อนจะพูดขึ้นมาว่า : “หม่าม้าคะ หนูไม่ได้แกล้งพวกเขานะคะ พวกเขากวนหนูเอง หนูเลยก็แค่จะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงเพียงตรงนี้ก็เห็นสร้อยของเธอปรากฎให้เห็นอยู่ตรงหน้า เธอยิ้มขึ้นมาก่อนจะกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ : “อ๋า? นี่สร้อยของหนูไม่ใช่หรอคะ? สุดยอดไปเลย! หม่าม้าหาเจอได้ยังไงคะ? ทำไมเมื่อคืนเราหาไม่เจอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “มีพี่ชายคนนึงเจอเก็บมาคืนค่ะ เป็นไงคะ? ดีใจมั้ย?”

เจี่ยนซวงกระโดดก่อนจะพูดว่า : “ดีใจมากเลยค่ะ! ขอบคุณหม่าม้ามากนะคะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับส่ายหน้า : “ยังไม่ต้องรีบขอบคุณหม่าม้าหรอกค่ะ เรามาคุยกันเรื่องที่คนอื่นมากวนหนูก่อนเถอะ หนูไปตีกับเด็กบ้านอื่นมาใช่มั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงรีบส่ายหน้าไปมาทันที ก่อนจะเบิกตาโตแล้วก็ทำหน้าไร้เดียงสาขึ้นมา : “ไม่ใช่ค่ะ หม่าม้าต้องเชื่อหนูนะคะ…..หนูน่ะเป็นเด็กดีมาโดยตลอด ไม่เคยทำตัวมีปัญหาเลยสักครั้ง พวกนั้นต่างหากค่ะ พวกนั้นหัวเราะที่หนูไม่มีคุณพ่อ! หนูเลยต้องสั่งสอนพวกนั้นซะหน่อย ถ้าไม่สั่งสอนคนพวกนี้ดีๆ แล้วถ้าเขาโตขึ้นไปเป็นคนไม่ดีจะทำยังไงล่ะคะ? หนูทำเพราะหนูหวังดีกับพวกเขานะคะหม่าม้า”

เจี่ยนอี๋นั่วเขกหัวเจี่ยนซวงครั้งหนึ่ง : “หาข้ออ้าง!”

เจี่ยนซวงรีบลูบหน้าผากของตัวเองทันทีก่อนจะยิ้มแล้วก็ขยับเข้าไปในอ้อมกอดของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดว่า : “พ่อแม่ของพวกเขาก็ไม่ได้มาเอาเรื่องนี่คะ แสดงว่าที่หนูทำมันถูกแล้ว หม่าม้าอย่าโกรธหนูเลยนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ บางทีเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสอนเจี่ยนซวงยังไงดี ถ้าเธอไม่ให้ลูกทำแบบนี้ ในอนาคตก็กลัวว่าเจี่ยนซวงจะถูกรังแก แต่ถ้าเธอปล่อยให้ลูกทำแบบนี้ต่อก็กลัวว่าโตขึ้นเจี่ยนซวงจะเป็นคนนิสัยร้ายๆ

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพูดว่า : “จำไว้นะคะ ต่อไปห้ามไปตีคนอื่นแรงๆนะ ถ้าตกลงกันอย่างสงบได้ก็ไม่ต้องลงไม้ลงมือ”

เจี่ยนซวงพยักหน้า : “คนอย่างพวกนั้นคุยดีๆไม่ได้หรอกค่ะ ต้องลงไม้ลงมือ”

เจี่ยนซวงพูดพร้อมกับมุดตัวเข้าไปในอ้อมกอดคนเป็นแม่มากขึ้น ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “หนูหิวแล้วค่ะหม่าม้า เช้านี้เรากินอะไรกันดีคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วดูเวลา ก่อนจะขมวดคิ้ว : “ดูแล้วไม่น่าจะทันทำอาหารให้หนูกินแล้วค่ะ หม่าม้าต้องไปส่งหนูที่โรงเรียนอีก ไปค่ะ เดี๋ยวหม่าม้าค่อยไปซื้อข้าวแถวๆโรงเรียนให้กินเอา”

“ว้า……ไม่ต้องอาหารที่หม่า้มาทำแล้ว” เจี่ยนซวงพูดพร้อมกับกระโดลงจากเตียงด้วยรอยยิ้ม

เพิ่งจะพูดจบ เจี่ยนซวงก็หุบยิ้มทันที ก่อนจะหันไปยิ้มกับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดว่า : “หม่าม้าคะ จริงๆแล้วหนูชอบอาหารที่หม่าม้าทำมากๆนะคะ แต่ว่าอาหารที่ข้างๆโรงเรียนขายมันอร่อยกว่านิดนึง”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “หม่าม้ารู้ค่ะ งั้นตอนเย็นหม่าม้าทำอาหารเพิ่มให้หนู เป็นไข่ทอดสองจานเลย ดีใจมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงเบิกตาโตก่อนจะมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วสูดจมูกครั้งหนึ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าจะร้องไห้อย่างไม่เต็มใจไปว่า : “ดีใจค่ะ……..”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดพร้อมกับลูบหัวเจี่ยนซวง แล้วยิ้มก่อนจะพูดว่า : “ดีใจขนาดนั้นแล้ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วค่ะ หม่าม้าก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน แล้วจะรีบไปส่งหนูไปโรงเรียน”

เจี่ยนซวงเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งแล้ว เมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียน เธอกินข้าวเสร็จก็รีบโบกมือลาเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงดังว่า : “บ๊ายบายค่ะหม่าม้า!”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวงที่เดินไปด้วยรอยยิ้ม เธอก็ค่อยๆออกมาพร้อมกับผู้ปกครองคนอื่นๆทันที คนที่มีลูกแล้วนั้นเรื่องที่เอาไว้พูดคุยกันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลูกๆทั้งนั้น มีหลายคนที่บอกว่าจะส่งลูกเข้าไปเรียนในเมือง ว่ากันว่าส่งลูกเข้าไปเรียนโรงเรียนในเมืองนั้นคุณภาพดีกว่า เด็กๆจะได้สอบเข้ามัธยมได้ง่าย เพียงพูดถึงเรื่องบ้านที่ใกล้ๆโรงเรียน ทำไมถึงแพงขนาดนั้นนะ? บางคนก็บ่นกันว่าราคามันสูงขึ้นเรื่อยๆ เงินเก็บที่เก็บไว้ก็น้อยลงทุกที จนแทบซื้ออะไรไม่ได้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วว่าเจี่ยนซวงนั้นดื้อเกินไป จนเธอจะต้องขอโทษผู้ปกครองคนอื่นอยู่เสมอๆ

กลุ่มคนเดินผ่านไปมาอย่างเฉื่อยชา พระอาทิตย์ก็ค่อยๆลับตาลง เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มจนตาปริ

ถ้านี่เป็นความสุขและความสงบที่เหลิ่งเซ่าถิงมอบให้กับเธอ เธอคิดว่าเธอคงได้รับมันแล้วล่ะ

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท