หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ยิ้มและมุดเข้าไปในผ้าห่ม เธอซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม และยื่นศีรษะเล็ก ๆ ออกมาให้เจี่ยนอี๋นั่วเห็น เธอยิ้มและพูดว่า: “คุณแม่คะ เวลานี้หนูมีความสุขมากๆค่ะ หนูลืมไปแล้วว่าหนูเคยมีความสุขมากขนาดนี้ไหม ตอนนี้หนูมีทั้งคุณพ่อและคุณแม่แล้วค่ะ ถ้าหากคุณแม่อยากจูบคุณพ่อ หรือว่าคุณพ่ออยากจูบคุณแม่แล้วล่ะก็ คุณแม่ไม่ต้องกลัวว่าหนูจะเห็นนะคะ หนูจะแสร้งทำเป็นว่าหนูมองไม่เห็นอะไรเลยค่ะ หนูเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ค่ะ อย่ากลัวว่าหนูจะเห็นเลยนะคะ!”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินสิ่งที่เจี่ยนซวงพูด และไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรือหัวเราะออกมาดี ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ และพูดกับเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ ซวงซวงต้องการคุณพ่อจริงๆใช่ไหมคะ?”
เจี่ยนซวงกระพริบตามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “หนูต้องการให้คุณพ่อและคุณแม่อยู่ด้วยกันค่ะ แต่ว่า…… แต่ว่าถ้าหากคุณแม่ไม่ชอบคุณพ่อจริงๆ ซวงซวงก็จะไม่บังคับให้คุณแม่และคุณพ่ออยู่ด้วยกันหรอกนะคะ …..!”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลูบหัวของเจี่ยนซวง พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“เอาเถอะ ได้เวลาพักผ่อนแล้วนะคะ หนูไม่ต้องกังวลกับเรื่องเหล่านี้แล้วนะคะ บางทีพรุ่งนี้พวกเราอาจจะต้องไปจากที่นี่ หนูต้องทำใจไว้ด้วยนะคะ พรุ่งนี้เราอาจจะต้องตื่นแต่เช้านะคะ”
เจี่ยนซวงยิ้มและพยักหน้าตอบรับ จากนั้นขมวดคิ้วและแตะที่จมูกของเธอ: “แต่ว่า หนูยังไม่ได้บอกลาเพื่อนๆของหนูเลยนะคะ หนูยังไม่ได้บอกพวกเขาเลยว่า หนูไม่ใช่เหยียนเหยียน แต่หนูคือซวงซวง”
“หนูกลัวว่าจะไม่มีเวลาบอกลาแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “หนูเอาเวลามาคิดว่าจะเตรียมของขวัญอะไรให้ดีกว่าไหมคะ จากนั้นเมื่อเราลงจากเครื่องบินแล้ว เราก็สามารถส่งของขวัญกลับมาให้เพื่อนๆของหนู จากนั้นค่อยอธิบายและบอกชื่อจริงของหนู ว่าหนูชื่อซวงซวง แบบนี้ดีไหมคะ?”
เจี่ยนซวงฟังคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว พยักหน้าตอบรับเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “แบบนี้ก็ได้ค่ะ หนูต้องคิดดีๆ ว่าจะมอบของขวัญอะไรให้กับพวกเขาดี อืม จูเสี่ยวพั่งชอบอ่านนิทาน เฉินเฉินชอบใส่กิ๊บสีชมพู ……”
ขณะที่เจี่ยนซวงกำลังพูด เธอก็ค่อยๆหลับตาลง
เมื่อเห็นว่าเจี่ยนซวงหลับแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วจึงยกมือขึ้นลูบที่หัวเจี่ยนซวงเบาๆ จากนั้นก็โน้มตัวไปจูบหน้าผากของ เจี่ยนซวงทีหนึ่ง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า :“นอนหลับฝันดีนะคะ”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ค่อยๆเอนตัวลงนอนข้างๆเจี่ยนซวง กำลังเตรียมตัวเข้านอน ก็มองเห็นแสงจากรอยแตกที่ประตูห้องส่องเข้ามา และดูเหมือนว่าประตูฝั่งตรงข้ามได้เปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าห้องตรงข้ามนั้นคือเหลิ่งเซ่าถิง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย และรอให้ประตูปิด เธอรออยู่นาน แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับยังไม่ปิดประตูห้องสักที
หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆเต้นเร็วขึ้น ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังจ้องมองมาทางเธออยู่ จนสุดท้ายเจี่ยนอี๋นั่วอดทนรอต่อไปไม่ไหว ค่อยๆลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ประตู และเปิดประตูออก
แน่นอนว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของเธอ ในขณะที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตูออก เหลิ่งเซ่าถิงก็ก้าวถอยหลังทันทีหนึ่งก้าว ราวกับว่าเขากำลังจะกลับเข้าห้อง
เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดขึ้นทันที: “ในเมื่อยังไม่นอน ถ้าอย่างนั้นก็คุยกันหน่อยดีไหม”
เหลิ่งเซ่าถิงหยุดเดิน ขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว : “คุณเต็มใจจะคุยกับผมเหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “พวกเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันมากมายเหลือเกิน เช่นเรื่องของซวงซวง และเช่นลูกของพวกเราอีกคน”
หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ปิดประตูห้องของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?”
เล้งเส้าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ตอนนี้เขาสบายดี ล่าสุดผมได้ข่าวเกี่ยวกับเขา คุณอยากเห็นไหม?”
เจี่ยนอี๋นั่วสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอควรทำอย่างไรดี เจี่ยนอี๋นั่วอยากเห็นรูปของเด็กคนนั้นมาก แต่เธอไม่กล้าดู เธอกลัวว่าเมื่อเห็นแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่ต้องการให้เด็กคนนั้นมาอยู่เคียงข้างเธอ
แต่เมื่อลูกกลับมาอยู่ข้างกายเธอ เธอจะปกป้องเขาได้ดีไหม?
เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่นาน แต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอพูดอะไรไม่ออก เธอไม่รู้จริงๆว่าเธอควรจะตัดสินใจยังไงดี
เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“คุณไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก และไม่ต้องกลัว อันที่จริงแม้ว่าคุณจะไม่กล้าดูรูปถ่าย แต่อีกไม่นาน คุณก็จะได้พบเขาในไม่ช้า ”
“อะไรนะคะ” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันที: “เขาจะ …… เขาจะกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราเหรอคะ …… ”
“อยู่ข้างกายเรา?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงต่ำอีกรอบ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน:“ใช่ เขาจะกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราแล้ว”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและรู้สึกงงงวยเล็กน้อย: “ทำไมมันกะทันหันขนาดนี้คะ คุณไม่ได้วางแผนที่จะให้เขาอยู่ต่างประเทศตลอดไปเหรอคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ :“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ก่อนหน้าคนที่ติดตามผมได้รับบาดเจ็บ และผมรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย ผมจำเป็นต้องมีทายาทคนต่อไป เพื่อทำให้คนเหล่านั้นที่ติดตามผมสบายใจ ถ้าไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม คนเหล่านั้นจะไม่มีผู้นำ”
เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกระพริบตา : “ทำเพื่อบริษัทตระกูลเหลิ่งอีกแล้วเหรอ?ทำเพื่อธุรกิจของตระกูลเหลิ่งอีกแล้วเหรอ? คุณซ่อนพวกเราก็เพราะเกี่ยวกับตระกูลเหลิ่ง และตอนนี้ขุดพวกเราขึ้นมาก็เพื่อตระกูลเหลิ่งอีกแล้ว ใช่ไหมคะ?”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ: “ตอนนี้คุณไม่กลัวว่าเขาจะตกอยู่ในอันตรายหรือคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: “ก่อนหน้านี้ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่เมื่อผมเห็นคุณ ในเมื่อคุณและซวงซวงเต็มใจที่จะกลับมา แล้วทำไมเขายังต้องอยู่ข้างนอกล่ะ บางทีเขาอาจจำเป็นต้องเผชิญกับอันตราย แต่เราไม่สามารถปกปิดชาติตระกูลของเขาได้ตลอดไปหรอก คุณอาจจะเกลียดที่ผมหลอกคุณ แล้วคุณคิดว่าเขาจะไม่คิดเหรอ? ยิ่งเขารู้ชาติตระกูลของตัวเองช้ามากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น”
เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจและพูดด้วยรอยยิ้มที่ฝืนยิ้ม: “ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากมาก”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ส่ายหัวไปมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ และพูดด้วยเสียงเบา: “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ก็ให้เขากลับมาเถอะ ฉันอยากเจอเขามากแล้วจริงๆ …… ”
เหลิ่งเซ่าถิงรีบเม้มริมฝีปากของเขาทันทีพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ : “อืม ถ้าถึงตอนนั้น เราจะ …… ”
เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นเพื่อหยุดเหลิ่งเซ่าถิงทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “เรื่องของอนาคต ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ ตอนนี้ฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายใจมาก ฉันไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเด็กคนนั้นอย่างไร แม้ว่าเราจะแยกจากเขาเพราะมีเหตุผล จึงจำใจต้องแยกจากกัน แต่ว่าเมื่อมองจากหลายๆมุมแล้ว ในความเป็นจริงแล้วก็คือการทอดทิ้งเขานั้นเอง บางทีเขาอาจจะเกลียดฉันมากก็ได้ …… ”
หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ยิ้มอย่างขมขื่น: “ฉันยังเกลียดคุณเลย และเขาคงต้องเกลียดฉันอย่างแน่นอน”
“เป็นพวกเรา…… ” จู่ ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็พูดอย่างเย็นชา: “ถ้าหากจะเกลียด ก็เกลียดผมคนเดียวเถอะ”
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและยิ้มอย่างขมขื่น: “คุณยังสามารถรับผิดชอบต่อความเกลียดชังมากกว่านี้ได้อีกเหรอ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า: ” ผมเต็มใจรับผิดชอบทุกอย่าง อี๋นั่ว ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณ ในอนาคตถ้าเด็กสองคนนี้จะเกลียด ก็ให้มาเกลียดผมคนเดียวเถอะ เป็นเพราะผมและตระกูลเหลิ่งก่อขึ้น คุณแค่รักผิดคนเท่านั้นเอง …… ”
ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดอยู่นั้น นิ้วของเขาสั่นเบา ๆ เขาก้มลงและพูดด้วยความทุกข์ใจว่า :“คุณแค่ไม่ควรอยู่กับผม”
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เม้มริมฝีปากส่ายหัวไปมาและพูดว่า:“ ฉันไม่ใช่คนที่หนีความรับผิดชอบหรือหนีปัญหาต่างๆ ในสิ่งที่ฉันควรรับผิดชอบ ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณรับผิดชอบคนเดียวเองหรอก ก่อนหน้านี้ที่ฉันไม่อยากเห็นเด็กคนนั้น ก็เพราะว่ากลัวอดใจไม่ไหวที่จะพาให้เขากลับมาอยู่ข้างกายฉัน แต่ในเมื่อตอนนี้สามารถได้พบหน้าเด็กคนนั้นอีกครั้ง ฉันอยากเห็นว่าเด็กคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เอาอย่างนี้ เมื่อฉันได้เจอหน้าเขา อย่างน้อยฉันก็จะจำเขาได้ และจะไม่ทำให้เขาเสียใจอีก ”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนี้ เขาก็หันศีรษะเล็กน้อย และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบาว่า:“รูปของเขาอยู่ในห้องของผม เดี๋ยวผมเอามาให้คุณดู”
เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัวไปมา: “ไม่ต้องแล้ว ไปดูด้วยกันเถอะ ขาของคุณเดินเหินไม่สะดวก ดังนั้นคุณไม่ต้องเดินไปมาแล้ว ฉันจะทำให้คุณลำบากเปล่าๆ”
หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เดินตามเหลิ่งเซ่าถิงเข้าไปในห้อง เหลิ่งเซ่าถิงเปิดลิ้นชักของตู้หนังสือหยิบรูปถ่ายออกมาหนึ่งใบ และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบา:“นี่ก็คือเด็กคนนั้น ตอนนี้ชื่อของเขาคือ ลั่วหยาง ถ้าหากเขากลับมาเขาจะเป็นเหมือนเจี่ยนซวง ที่ใช้นามสกุลของคุณ แซ่เจี่ยนเหมือนกัน ถ้าถึงเวลานั้นค่อยเปลี่ยนชื่ออีกครั้ง”
เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้ว: “ทำไมคุณถึงทำเช่นนี้?”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ผมไม่อยากให้ใช้นามสกุลของผม สามารถใช้นามสกุลของคุณ มันจะส่งผลดีต่อเด็กทั้งสองคนนี้ ”
เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วย และกำลังหยิบรูปให้เจี่ยนอี๋นั่วดูไปด้วย เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆเอามือออกไปรับรูปถ่ายด้วยมือที่สั่น เธอเห็นเด็กชายอายุหกหรือเจ็ดขวบในรูปถ่ายนั้น เด็กชายคนนี้เป็นเหมือนสำเนาของเหลิ่งเซ่าถิง มีคิ้วและจมูกที่เหมือนกันมาก และริมฝีปากบางไปหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบถ่ายรูปนี้เป็นอย่างมาก ในขณะที่ถ่ายรูปนี้อยู่ คิ้วของเขาขมวดแน่น ท่าทางของเขาดูไม่เต็มใจถ่ายเลยสักนิด
เจี่ยนอี๋นั่วมือสั่นเบา ๆ ลูบเด็กชายในรูปถ่ายนั้น ดวงตาสีแดง พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น: “เขาดูดีมาก และดูแข็งแรงมาก ฉันเคยได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ของเขา ซึ่งมันแผ่วเบามาก มันเหมือนลูกแมว เมื่อซวงซวงเกิดมา เธอผอมและอ่อนแอมาก ในตอนนั้นเขาต้องผอมกว่าซวงซวงอย่างแน่นอน ในเมื่อสามารถเติบโตได้แข็งแรงขนาดนี้ คุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของเขาต้องดีต่อเขาและดูแลเขาเป็นอย่างดี มันต้องดีกว่าที่อยู่เคียงข้างฉันอย่างแน่นอน …… มันต้องดีกว่าที่อยู่เคียงข้างฉันอย่างแน่นอน…… ”
ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่นั้น น้ำตาค่อยๆหยดลงบนรูปถ่ายใบนั้น เจี่ยนอี๋นั่วกลัวว่าน้ำตาของเธอจะทำให้รูปถ่ายนั้นเปื้อน เมื่อน้ำตาไหนลงมา เธอก็รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนรูปถ่ายใบนั้นทันที ร้องไห้และพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น: “ถ้าเขาไม่ต้องการใช้นามสกุลของฉัน หรือไม่ว่าไม่เต็มใจยอมรับคุณเป็นพ่อ คุณห้ามไปบังคับเขาเด็ดขาด ถ้าหากเขากลับมาอยู่เคียงข้างเรา อย่าทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีความสุข ”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม: “ไม่ต้องห่วง ผมจะพาเขากลับก่อนเท่านั้น และจะไม่บังคับให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ยิ่งไปกว่านั้นเขาฉลาดมาก เขารู้ความจริงแล้วว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆของคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรม ถ้าหากพาเขากลับมา เขาก็จะไม่รู้สึกแปลกใจมากเกินไปหรอก ”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง: “เขารู้ความจริงแล้วเหรอคะ ?ว่านั่นเป็นคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมของเขา ……”
เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัว:“ เขารู้ความจริงเมื่อปีที่แล้ว อี๋นั่ว ผมจะแนะนำคุณว่า เด็กคนนี้แตกต่างกับซวงซวงมาก เขาเป็นเหมือนคนในตระกูลเหลิ่งมากกว่า ดังนั้นคุณไม่ควรปฏิบัติต่อเขาเหมือนซวงซวง เขาดูเหมือนผมมาก แล้วก็เหมือนพี่ชายของผมมากด้วย คุณเข้าใจไหม?นักจิตวิทยาที่ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาให้เขา ให้คำแนะนำหลังจากที่ทำแบบทดสอบผลออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่”