หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 215 รู้สึกอายจัง

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

เหลิ่งเซ่าถิงจับไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว และเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยุงเหลิ่งซิ่งเดินไปที่ห้องน้ำทีละก้าว บางทีอาจเป็นเพราะอุบัติเหตุเมื่อคืนนี้ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วดูแลเหลิ่งเซ่าถิงจึงต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่าจะผิดพลาดซ้ำอีก

เดินไปถึงหน้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกออกมายาวๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ถ้าอย่างนั้นคุณ ……คุณก็ไปทำธุระก่อนเถอะ ฉันก็……ก็จะออกไปก่อนแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ ถ้าคุณออกไปแบบนี้ ผมไม่สามารถประคองตัวเองให้ยืนได้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันทีและรีบถามว่า: “ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ทำอย่างไร?”

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดสักพัก ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงได้เงียบ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก: “คุณ……คุณต้องการอยากให้……ต้องการอยากให้ฉันอยู่ข้างๆคุณตลอด……”

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะพูดจบ ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาทันที แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงจะให้กำเนิดลูก ๆแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปีแล้ว ในเวลานี้เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพยุงเหลิ่งเซ่าถิงความรู้สึกก็เหมือนกับคนแปลกหน้ายังไงยังงั้น และรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าซึ่งค่อนข้างอึดอัด ถ้าหากต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วดูแลเหลิ่งเซ่าถิงเข้าห้องน้ำแล้วล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ลำบากใจอยู่ไม่น้อย

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและหัวเราะออกมาเบา ๆ : “เป็นเพราะผมทำให้คุณลำบาก คุณออกไปก่อนเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงและชำเลืองมองไปที่ขาของเหลิ่งเซ่าถิง ขาข้างขวาของเขาเข้าเฝือกอยู่ไม่สามารถเหยียบลงพื้นได้ ดังนั้นการยืนของเขาจึงต้องใช้ขาข้างซ้ายช่วยเท่านั้น และเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขาซ้ายของเขายังไม่หายดี และขาข้างซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิงจึงสั่นเล็กน้อย ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วยังเดินออกไปอีก เหลิ่งเซ่าถิงก็อาจจะล้มลงอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธอ และพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เบา: “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าหากคุณไม่รังเกียจ ฉันก็ไม่รังเกียจเช่นกัน ถึงอย่างไรก็ตามอะไรๆของคุณ…… อะไรๆของคุณฉันก็เคยเห็นมาหมดแล้วนี่นา ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาทันที เหลิ่งเซ่าถิงก็หน้าแดงออกมาด้วยเช่นกัน หันหน้าหนี ไอแค่กแค่กออกมาและทำตัวไม่ถูก

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม: “ถ้าอย่างนั้นผมต้องรบกวนคุณอีกแล้ว ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากของเธอและไม่ได้พูดอะไรต่อ หน้าของเธอแดงร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า และพยุงเหลิ่งเซ่าถิงไปตรงหน้าโถปัสสาวะ หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วยืนนิ่งแล้ว ก็รีบหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งทันที: “คุณ……คุณต้องการทำอะไร ก็รีบทำเถอะ……”

แต่เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปทางด้านข้าง และเธอรู้สึกได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงพยายามจะปลดกางเกงของเขาอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยังปลดมันไม่ออก เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวก็ใช้สายตากวาดไปมอง ก็เห็นว่าชุดนอนของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมีเชือกผูกปมอยู่ ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงมือหนึ่งยังคงวางบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว และปลดกระดุมออกด้วยมืออีกข้างหนึ่ง มันจึงไม่สามารถปลดออกได้

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังเฝ้าดูเขาอยู่ เหลิ่งเซ่าถิงก็ลดสายตาลงอย่างเซ็ง ๆ และถอนหายใจออกมาเล็กน้อย:“แค่เรื่องแค่นี้ผมยังทำไม่ได้ ผมนี่มันไร้ประโยชน์มากใช่ไหม?”

และไม่รู้ว่าทำไม เมื่อคืนนี้เหลิ่งเซ่าถิงแสดงด้านที่แข็งแกร่งออกมา เจี่ยนอี๋นั่วพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปฏิเสธเหลิ่งเซ่าถิง แต่เมื่อเวลาที่เธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงไม่มีที่พึ่งและดูน่าสงสารมาก เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินคำพูดที่น่าสงสารของเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้เธอนึกถึงคนที่เคยสมบูรณ์แบบอย่างเหลิ่งเซ่าถิง และในตอนนี้อาการบาดเจ็บไปทั่วร่างกายของเขายังไม่ได้หายดี ขาอีกข้างของเขายังต้องมาหักเพราะเธออีก

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดทันทีว่า: “ไม่คะ คุณอย่าคิดอย่างนั้น ทุกคนล้วนเคยเจอปัญหากันทั้งนั้น นอกจากนี้การที่ขาของคุณหักมันเป็นเพราะฉัน ฉันจะรับผิดชอบมันอย่างแน่นอน ถ้าคุณต้องการให้ฉันทำอะไร คุณก็แค่พูดออกมา”

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ปิดรอยยิ้มจากมุมปากอย่างเร็ว เร็วมากจนเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ทันสังเกตเห็นมัน เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วขึ้นทันที พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอาย และพูดเบา ๆว่า : “งั้น……งั้นคุณช่วยผมปลดกางเกงของผมหน่อยได้ไหม?”

“ห๊ะ?”เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างไม่คาดคิดมาก่อน

เธอรู้สึกว่าเธอเหมือนไม่รู้จักเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เป็นคนที่พูดขอความช่วยเหลือตรงๆแบบนี้ แต่เมื่อสักครู่นี้เจี่ยนอี๋นั่วได้คุยโวไว้แล้ว เธอค่อยๆกระพริบตาช้าๆและถามด้วยน้ำเสียงเบา: “มันก็คือ……คือให้ฉันปลดกางเกงให้คุณอย่างนั้นเหรอคะ ?”

“ห๊ะ……” จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และกระซิบว่า :“พวกเราแยกกันมานานเกินไปแล้ว นอกจากการมีลูกด้วยกันจึงทำให้ต้องติดต่อกัน และเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกันอีกเลย ? และดูเหมือนเรื่องนี้จะทำให้คุณลำบากใจไม่น้อย ใช่หรือเปล่า?”

ใช่ค่ะ มันทำให้ฉันลำบากใจมากจริงๆนั่นแหล่ะ

ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วคิดแบบนี้ แต่เมื่อเห็นการแสดงออกที่เศร้าและไม่มีที่พึ่งทำอะไรไม่ถูกของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงซะเราก็เคยเป็นคนรู้จักกันมา และสาเหตุเป็นเพราะฉัน คุณถึงได้รับบาดเจ็บ มันเป็นสิ่งที่ฉันควรต้องช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดประโยคนี้ออกมาอย่างลำบากใจมาก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเบาต่ออีกว่า: “ถ้าอย่างนั้นคุณจับฉันไว้แน่น ๆนะคะ ฉันจะช่วยคุณปลดออกเดี๋ยวนี้”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับ และยื่นมือสองข้างออกไปจับเจี่ยนอี๋นั่วทันที ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิง ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้จับเธอไว้ แต่กลับเหมือนกำลังถูกเหลิ่งเซ่าถิงสวมกอดไว้อยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานเจี่ยนอี๋นั่วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอต้องทำเรื่องที่น่าอับอายมาก ทันใดนั้นเธอก็ไม่รู้สึกอายกับสิ่งที่เธอกำลังจะลงมือทำอยู่ในตอนนี้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วค่อยๆ ยื่นมือไปที่เข็มขัดของเหลิ่งเซ่าถิงจากนั้นหายใจเข้าลึก ๆ ขมวดคิ้วและดึงเข็มขัดอย่างแรง เนื่องจากเป็นเพราะตื่นตระหนกมากเกินไป จึงทำให้กระดุมที่สามารถปลดได้ง่ายดายกลับปลดได้ยากขึ้นไปอีก เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นทันที เหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิงและพูดอย่างอึดอัดว่า:“เออ คือฉัน ฉันไม่ทันระวัง แต่คุณไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะปลดกางเกงได้อย่างแน่นอนค่ะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็รีบก้มหน้า และเริ่มลงมือใช้มือทั้งสองข้างและพยายามอย่างมากเพื่อปลดกระดุมกางเกงของเหลิ่งเซ่าถิงออก เหลิ่งเซ่าถิงลดศีรษะลงและได้กลิ่นหอมจาง ๆ บนร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว เหล่ตามองไปที่มือขาวเนียนของเจี่ยนอี๋นั่ว และรู้สึกว่ามือของเจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสโดนเขาโดยบังเอิญ เพราะส่วนที่สัมผัสโดนนั้นมันเป็นของลับ เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันสังเกตเห็น แต่เธอเห็นส่วนที่ปูดขึ้นมาอย่างช้าๆของเหลิ่งเซ่าถิง และเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วรีบดึงมือกลับทันทีและเงยหน้าขึ้นมอง เดิมเธอต้องการผลักเหลิ่งเซ่าถิงออกทันที แต่ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็นึกขึ้นได้ว่าขาของเหลิ่งเซ่าถิงบาดเจ็บอยู่ แต่กลับไม่ได้ผลักเหลิ่งเซ่าถิงออกเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้

แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับเหลิ่งเซ่าถิงต่อไปได้ เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า: “อืมคือ …… ฉันออกไปรอข้างนอกก่อนดีกว่านะ ฉันพึ่งนึกขึ้นได้ว่าซวงซวงมีเรื่องอยากจะคุยกับฉัน ถ้าอย่างฉันขอตัวออกไปก่อนนะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ดันเหลิ่งเซ่าถึงนั่งบนชักโครก จากนั้นก็หันหลังกลับพร้อมพูดขึ้นว่า :“ถ้าคุณทำธุระเสร็จแล้ว คุณค่อยเรียกฉันนะคะ ฉัน ฉันขอตัวออกไปก่อนแล้วนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบวิ่งออกจากห้องน้ำด้วยอาการที่ตื่นตระหนก

การหายใจของเหลิ่งเซ่าถิงยังคงเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ เขามองเจี่ยนอี๋นั่วออกจากห้องน้ำไปแล้ว จากนั้นสูดหายใจเข้าลึก ๆ และใช้มือช่วยตัวเอง หลายปีมานี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้มีอารมณ์แบบนี้มานานมากแล้ว เขาเป็นเหมือนนักพรตที่ถูกปิดกั้นจากทุกประสาทสัมผัส ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าความต้องการของผู้ชายนั้นแข็งแกร่งเพียงใด จนกระทั่งเมื่อกี้นี้ เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าประสาทสัมผัสของเขาค่อยๆตื่นขึ้น เพราะเจี่ยนอี๋นั่วได้กลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง และในที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงก็กลับมามีอารมณ์และมีความรู้สึกเหมือน “มนุษย์” คนหนึ่งอีกครั้ง

เมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างโล่งอก และความเครียดความอึดอัดที่อยู่ในใจก็ถูกปลดปล่อยมันออกมา เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบ ๆ ไม่รู้ทำไม ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ช่างน่ามองยิ่งนัก แม้แต่แสงแดดที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างบานเล็กๆนั้นก็ยังดูสดใสมาก เนื่องจากมันน่ารักมาก เหลิ่งเซ่าถิงจึงอดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองอย่างละเอียด และยื่นมือออกมาเพื่อสัมผัสกับแสงแดดที่สอดส่องเข้ามา

เหลิ่งเซ่าถิงไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกถึงแสงแดดที่สดใสและน่ารักเช่นนี้หรือไม่ แต่ถึงแม้จะอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกัน เหลิ่งเซ่าถิงก็รู้สึกว่า ในตอนนี้ไม่มีใครที่จะสัมผัสได้ถึงความงามของแสงแดดที่สดใสและน่ารักได้มากกว่าเขาอีกแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ก่อนหน้าเป็นเพราะว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บจึงทำให้เป็นโรคซึมเศร้า และการที่เขาได้รับบาดเจ็บที่ขาทำให้เขารู้สึกด้อยค่า ในเวลานี้ดวงอาทิตย์สาดแสงส่องเข้ามาทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสิ่งสวยงามขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกขอบคุณความเจ็บปวด เพราะความเจ็บปวดทำให้เขากลายเป็นคนที่อ่อนแอ การที่เขาเป็นคนอ่อนแอมันจึงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาดูแลเขาเป็นพิเศษ

เหลิ่งเซ่าถิงเคยไม่ชอบทำตัวเป็นคนที่อ่อนแอต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ตอนนี้เขาพบว่า การที่เป็นคนอ่อนแอนั้น ทำไมถึงมีความสุขมากเช่นนี้

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ไปไหนไกล เพราะเธอกังวลว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วเหลิ่งเซ่าถิงอาจจะร้องให้คนช่วยไม่ทัน นับตั้งแต่เจี่ยนอี๋นั่วออกจากห้องน้ำไป เธอก็ยืนรออยู่หน้าประตูห้องน้ำตลอด หน้าของเธอแดงร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า เธอหายใจเข้าลึก ๆ และโบกมือของเธออย่างแรงเพื่อพัดให้กับตัวเอง แต่แทนที่จะพัดแล้วทำให้เธอรู้สึกเย็นขึ้น แต่มันยิ่งกลับทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นกว่าเดิม

“จริงๆเลย ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ?” เจี่ยนอี๋นั่วบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เบา

“ฉันเป็นแม่ของลูกสองคนแล้ว นี่ยังเขินขนาดนี้อยู่อีกเหรอ ขายขี้หน้ามากเลยจริงๆ” เจี่ยนอี๋นั่วบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เบา

“โอ้ ทำไมฉันถึงอยากไปปลดกางเกงให้เขาด้วยตัวเองด้วยเนี่ย อันที่จริงฉันสามารถจับเขาด้วยกำลังทั้งหมดของฉันเพื่อให้เขาได้ใช้สองมือของเขาปลดกางเกงด้วยตัวเอง! ช่างโง่เง่าจริงๆเลย!ช่างโง่เง่า!” เจี่ยนอี๋นั่วบ่นพึมพำและรู้สึกแย่ต่อการกระทำของตัวเองมาก

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกขายหน้ามากเธอนั่งย่อลงตรงมุมกำแพง เธอหน้าคิ้วขมวดพร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกมาอย่างรู้สึกผิด

“คุณแม่คะ……คุณแม่คะ……” จู่ๆเจี่ยนซวงก็โผล่หัวออกมาจากประตูและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม :“คุณแม่คะ ทำไมคุณถึงมาซ่อนอยู่ที่นี่ล่ะคะ ?นี่คุณแม่กำลังเล่นซ่อนหาอยู่เหรอคะ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเจี่ยนซวง เธอก็ยิ่งรู้สึกอายมากขึ้น เธอจึงก้มหัวลงและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ไม่ ไม่มีอะไรจ๊ะ”

เจี่ยนซวงยิ้มและมองสำรวจรอบ ๆ และเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้อยู่ในห้อง จึงวิ่งไปหาเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มทะเล้น ยื่นมือน้อยๆที่อวบๆออกมาแล้วจิ้มไปที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว และกระซิบ: “คุณแม่คะ ซวงซวงรู้แล้วนะคะ รอยแผลที่ปากของคุณแม่เพราะถูกคุณพ่อจูบ”

ในอนาคตเจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องน่าอับอายและขายขี้หน้ามากกว่านี้อีกหรือเปล่า แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายและขายขี้หน้าที่สุดสำหรับเจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ ใบหน้าของเธอแดงขึ้นทันทีราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดออกมายังไงยังงั้นแหล่ะ

“นี่ลูก เมื่อคืนนี้หนูหลับแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วถามอย่างตื่นตระหนก

เจี่ยนซวงกระพริบตามองไปที่ใบหน้าที่แดงของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพูดว่า:“โอ้ คุณแม่หน้าแดงมากแดงเหมือนกับตูดลิงเลยค่ะ!”

“ก้นของลิงไม่ได้เป็นสีแดงทั้งหมด! ซวงซวงจ๊ะ หนูต้องการให้คุณแม่ลงโทษหนูใช่ไหมคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง ตะโกนออกมาอย่างรำคาญ

เจี่ยนซวงกระพริบตา และร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่: “ทำไมคะ ก็ซวงซวงไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ”

“เพราะนี่เป็นการที่รู้สึกอับอายมากจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผู้ใหญ่จึงมักมีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่นนี้ เพียงเพราะคุณพูดเรื่องอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายและขายขี้หน้ามาก ” ลั่วหยางเดินมาถึงหน้าประตู วางมาดเป็นผู้ใหญ่และพูดด้วยเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วกลอกตาของเธอและเงยหน้าขึ้น ในขณะเวลานี้ เจี่ยนอี๋นั่วอายจนอยากตายไปให้พ้นๆ

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท