หนี้รัก วิวาห์จำเป็น – บทที่ 222 คนละคนกัน

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินที่ลั่วหยางพูด เธอก็รีบขมวดคิ้วใส่ลั่วหยางผู้เป็นพี่ชายทันที ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าน่าสงสารว่า : “พี่คะ พี่ไม่อยากไปจริงๆหรอคะ? อากาศวันนี้ดีมากเลยนะคะ ถ้าไม่ออกไปเที่ยวนี่น่าเสียดายมากเลยนะคะ?”

ลั่วหยางส่ายหน้าไปมา ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้มว่า : “พี่ชอบอยู่บ้าน”

เจี่ยนซวงรีบหันหน้าไปกระพริบตาปริบๆใส่เจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะพูดว่า : “หม่าม้าคะ พี่ไม่ยอมออกไปเที่ยวข้างนอก”

เจี่ยนอี๋นั่วกางมือออกก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “งั้นหม่าม้าจะทำอะไรได้ล่ะคะ? หม่าม้าไม่บังคับให้พี่ทำให้สิ่งที่ไม่อยากทำหรอกค่ะ”

“แล้วทำไมหม่าม้าถึงบังคับไม่ให้หนูกินเค้กล่ะคะ” เจี่ยนซวงตอบโต้

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองก่อนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า : “นั่นไม่ถูกหรอคะซวงซวง? ถ้าพี่ของหนูกินขนมหวานเยอะ หม่าม้าก็จะห้ามพี่เหมือนกันค่ะ”

เจี่ยนซวงคิดอยู่สักพัก : “งั้นก็ไม่พาพี่ไปด้วยก็ได้นี่คะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า : “งั้นหม่าม้าก็ไม่ไปค่ะ

เพราะว่าต้องมีคนอยู่ดูแลพี่ที่บ้าน ขาของคุณพ่อก็บาดเจ็บอยู่ คงให้คุณพ่อดูแลไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคะ? เหลือแค่หม่าม้าที่ดูแลได้ ซวงซวงจะออกไปเที่ยวข้างนอกคนเดียวหรอคะ? ความคิดที่จะออกไปเที่ยวเป็นความคิดของหนู งั้นหนูควรจะเป็นคนคิดแก้ไขปัญหานี้นะคะ”

เมื่อเจี่ยนซวงเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองลั่วหยางก่อนจะทำหน้างอแงออกมา : “พี่คะ ทำยังไงพี่ถึงจะออกไปหรอคะ?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วมองเจี่ยนซวงราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ จากนั้นถึงจะพูดกับเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “งั้นอยู่เงียบๆสักสองชั่วโมงได้มั้ยล่ะ?”

“สองชั่วโมงหรอคะ?” เจี่ยนซวงขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนจะรีบพยักหน้าหงึกหงักทันที พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ได้ค่ะ ได้แน่นอน”

ลั่วหยางมองเจี่ยนซวงแล้วก็พูดต่อว่า : “ดูกจากความประพฤติของเธอด้วยนะ”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินที่ลั่วหยางพูดเธอก็ทำหน้ายู่งอแงทันที ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วก็หันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเธอเห็นใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงแสดงออกมาว่า ‘แล้วแต่หนูจะเลือก’ เจี่ยนซวงก็สูดจูกทันที ก่อนจะพยักหน้า : “ไม่ดีมั้งคะ ต้องรอให้ถึงหลังเวลาทานข้าวเย็นหนูถึงจะพูดได้หรอคะว่าหนูอยากกินอะไร”

ลั่วหยางพยักหน้าก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า : “ได้สิ พี่จะออกไปกับเธอได้”

เจี่ยนซวงกระโดดโลดเต้นทันที ก่อนจะหันหน้ามาทางเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณพ่อคะ พี่ตกลงแล้วค่ะคุณพ่อ อย่างงี้เราออกไปเที่ยวกันได้แล้วใช่มั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม : “จะได้ไปเที่ยวมั้ยนะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันโทรจัดการให้”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดก่อนจะเข็นวีลแชร์ของตัวเองเข้าห้องนอนไป ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมสแล้วกดโท ก่อนจะพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็ตัดสายไป : “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะ อีกหนึ่งชั่วโมงคนขับรถจะมารับพวกเรา”

เจี่ยนซวงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดีจังเลยค่ะ หม่าม้ามาช่วยหนูเร็วค่ะ…….”

“หม่าม้าต้องช่วยพ่อล้างหน้าแปรงฟันนะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงรีบขมวดคิ้วขึ้นมาใส่เจี่ยนอี๋นั่วทันที : “หม่าม้าคะ……..”

ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วอยากจะปฏิเสธเหลิ่งเซ่าถิง แต่ถ้าเธอปฏิเสธเหลิ่งเซ่าถิงต่อหน้าลูกๆ อาจจะทำให้เหลิ่งเซ่าถิงนั้นเสียหน้าต่อหน้าเด็กๆ และตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะให้เจี่ยนซวงทำอะไรด้วยตนเอง และให้มันเป็นโอกาสของเจี่ยนซวงนั้นได้รับอิสระด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นมาก่อน ก่อนที่จะมองไปที่เจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า : “ใช่ค่ะ หม่าม้าต้องดูแลคุณพ่อ หนูไปเก็บของที่ต้องใช้เร็วค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักหม่าม้าจะไปตรวจดูให้ โอเคมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงมุ่ยปาก ตอนแรกเธอรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เมื่อเธอหันไปมองลั่วหยาง พี่ชายของเธอที่ไม่ต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วช่วยเหลือ เธอก็ไม่พูดอะไรต่อแล้วก็รีบวิ่งเข้าห้องของตัวเองไปทันที ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า : “ซวงซวงเก่งกว่าพี่แน่ๆ เก็บของไวกว่าแน่นอน!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินสิ่งที่เจี่ยนซวงพูด เธอก็อดที่จะไม่ยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนเธอจะวางมือลงที่วีลแชร์ของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า : “เดี๋ยวฉันจะเข็นคุณเข้าไปนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่งพูด พร้อมกับเข็นวีลแชร์ของเหลิ่งเซ่าถิงเข้าห้องน้ำไปทันที ก่อนจะพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณล้างหน้าแปรงฟันก่อนแล้วกันค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว : “ไม่ใช่ว่าเธอจะช่วยหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงด้วยรอยยิ้มเยาะ : “ฉันจำได้ว่าท่านประธานเจ็บขานะคะ ไม่ใช่มือ คุณน่าจะแปรงฟันเองได้นะคะ ไหนลองดูสิคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดอย่างจนปัญญา : “ช่างเถอะ ฉันล้างหน้าแปรงฟันไปแล้วล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างพอใจก่อนจะพูดขึ้นว่า : “ฉันว่าแล้วว่าคุณโกหกฉัน”

เหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่บนวีลแชร์ เขาทำได้แค่เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่ยิ้มอย่างแฮปปี้ขนาดนี้เธอจึงขมวดคิ้วขึ้นมา : “ฉันจับโป๊ะคุณได้แบบนี้มีความสุขมากหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “อือ มีความสุขมาก ที่เธอจับโป๊ะได้ ที่เธอสร้างเงื่อนไข เห็นเธอทำให้ฉันลำบากใจ เห็นเธอโมโห ฉันก็มีความสุขหมดแหละ”

ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นสีแดง ก่อนจะหันหลังแล้วขมวดคิ้ว : “โกหกฉันได้คำสวยหรูอีกแล้วนะคะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็รีบเดินออกไปจากห้องน้ำ เหลิ่งเซ่าถิงมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็อดยิ้มไม่ได้ เจี่ยนอี๋นั่วอาจจะคิดว่าการกระทำของเธอนั้นมันน่าเกรงกลัว แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับมองว่าการกระทำทั้งหมดของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นน่ารักมากๆ น่ารักที่สุด เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ เธอก็ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงก็มีความสุขมากๆแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นโรคอะไรสักอย่าง ที่สองวันมานี้เขามีความสุขมากกว่าปกติ ราวกับว่าหมอกเมฆหม่นๆที่ผ่านมาหลายปีที่แล้วนั้นกลับกลายมาเป็นความสุขที่สุขที่สุดแบบนี้

เจี่ยนอี๋นั่วออกจากห้องน้ำมาได้ไม่นาน เหลิ่งเซ่าถิงก็เข็นวีลแชร์ออกมาตามแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า : “ฉันไม่ต้องล้างหน้าแปรงฟันแล้วล่ะ เธอไปช่วยเด็กๆเลยก็ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิงแต่เธอไม่ได้ขยับ แต่นั่งอยู่บนเตียงแล้วส่ายหน้าไปมา แล้วพูดว่า : “ปล่อยเด็กๆดูแลตัวเองเถอะค่ะ ถ้าลืมของอะไร หรือแก้อะไร ครั้งต่อไปก็จะจำกันเอง ถ้าเอาแต่ช่วยลูกตลอด เด็กๆจะไม่รู้นะคะว่าตัวเองต้องการอะไร”

“ลูกยังเล็กอยู่นะ เธอจะเข้มงวดกับลูกเกินไปแล้วนะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดพร้อมกับยกยิ้ม ถึงแม้เขาไม่พูดอะไร แต่ในใจของเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้ตำหนิความคิดของเจี่ยนอี๋นั่งเลย

เจี่ยนอี๋นั่วอดที่จะไม่ยิ้มออกมาไม่ได้ เธอเหลือบตามองเหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ถ้าเทียบกับลูกตระกูลเหลิ่งแล้ว พวกเขาคงถูกเลี้ยงจนนิสัยเสียแล้วมั้งคะ ไม่สอนให้ลูกดูแลตัวเองตั้งแต่เด็กๆ รอให้โตก่อนเลยทำให้กลายเป็นเด็กที่เอาแต่รอคนอื่น แบบนั้นมันจะดัดยากนะคะ ถึงแม้เก็บของคนเดียวจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่การที่สามารถทำได้ มันแสดงให้เห็นว่าคนๆนี้เขามีระเบียบ คุณเชื่อมั้ยคะ ว่าของที่เด็กๆเก็บต้องไม่เหมือนกันแน่ๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ก็พอจะเดาได้อยู่”

เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกยิ้มออกมา ก่อนจะค่อยๆเก็บรอยยิ้มของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคำพูดที่เธอกับเหลิ่งเซ่าถิงพูดเมื่อกี้ ราวกับว่าเป็นคู่พ่อแม่ที่กำลังคุยกันเรื่องการเลี้ยงลูกอะไรอย่างนั้นเลย ราวกับว่าเธอและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นค่อยๆชินกันกับบทบาทของฝั่งตรงข้ามช้าๆ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วคิดได้เช่นนั้น เธอก็อดที่จะไม่ยิ้มออกมาไม่ได้

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเช่นนั้น เขาก็กระตุกมุมปากทันที ก่อนจะค่อยๆยิ้มออกมา เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้สังเกตเลยว่าช่วงนี้ตัวเองนั้นยิ้มบ่อยมากแค่ไหน แต่เขารู้สึกได้ว่าช่วงนี้เขายิ้มบ่อยมากกว่าเมื่อก่อนมากๆ

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนเจี่ยนซวงสะพายกระเป๋าและใส่กระโปรงอย่างบิดๆเบี้ยวๆออกมา แล้ววิ่งหน้าตั้งไปที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า : “หม่าม้าคะ! หนูเก็บของเสร็จแล้วค่ะ!”

และแล้วลั่วหยางก็เดินตามเข้ามาในห้องของเหลิ่งเซ่าถิงช้าๆ ก่อนจะมองเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดว่า : “ผมก็เรียบร้อยแล้วครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไหนเปิดกระเป๋าหน่อยคะ ลองมาเช็คกันว่าขาดของอะไรบ้าง ถ้าขาดอะไรจะได้ใส่ลงไปเพิ่ม”

ลั่วหยางและเจี่ยนซวงเปิดกระเป๋าของตัวเอง เหมือนกันที่เจี่ยนอี๋นั่วคาดเอาไว้เลย ว่ากระเป๋าของลั่วหยางและเจี่ยนซวงนั้นจะต่างกัน กระเป๋าของลั่วหยางบรรจุของที่จำเป็นไว้อย่างเหมาะสม ส่วนกระเป๋าของเจี่ยนซวงนั้นยุ่งเหยิงจนจะบกันเป็นก้อน แต่เห็นได้ชัดว่าของที่ลั่วหยางเตรียมนั้นขาดไปมากกว่าเจี่ยนซวง

เมื่อเจี่ยนซวงมองไปที่กระเป๋าของลั่วหยาง เธอก็เบิกตาโต : “พี่ไม่เอาน้ำไปด้วยหรอคะ? ทิชชู่ หนังยาง ทำไมมีแต่หนังสือล่ะคะ? เราออกไปเที่ยวนะคะ ไม่ได้ไปสอบ!”

ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะหันหลังแล้วรีบพูดขึ้นมาว่า : “งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมเพิ่มนะครับ”

เจี่ยนซวงรีบจัดกระโปรที่บิดเบี้ยวของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า : “หม่าม้าคะ ของหนูเตรียมของได้ดีมากใช่มั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะพยักหน้า : “ค่ะ ซวงซวงเตรียมมาได้ดีเลย แต่ถ้าหนูเก็บของให้เป็นที่เป็นทางแบบพี่จะดีมากเลยค่ะ……”

เจี่ยนซวงส่ายหน้า : “ซวงซวงไม่ชอบให้มันเป็นระเบียบค่ะ ซวงซวงชอบที่มันยุ่งเหยิงแบบนี้”

“มันก็ได้ค่ะ ถ้าหนูหยิบได้สะดวก ยุ่งเหยิงแบบนี้ก็ไม่เป็นไร” เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม แล้วเธอก็เห็นลั่วหยางเดินเข้ามา

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เด็กลงไปเปิดประตูก่อนเลยนะคะ หม่าม้าจะเข็นคุณพ่อลงไปตาม”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หันหลังไปหาเหลิ่งเซ่าถิงแล้วก็ยื่นมือออกมาหาเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดว่า : “ไปค่ะ เดี๋ยวฉันจะเข็นคุณลงไป รอบนี้ไม่ทำคุณล้มอีกแน่นอนค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆลุกขึ้นจากวีลแชร์ ก่อนจะยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว มืออีกข้างนึงของเขาก็ใช้ไม้พยุงเอาไว้อยู่ หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “งั้นก็ฝากเธอด้วยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่งรับเอาน้ำหนังของร่างเหลิ่งเซ่าถิง และไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำได้เพียงแค่อยู่เงียบๆแล้วก็ช่วยพยุงเหลิ่งเซ่าถิงลงไปที่ละก้าวๆ เมื่อถึงชั้นล่าง และเธอพยุงเหลิ่งเซ่าถิงมานั่งที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเธอ เธอถอนหายใจแรงๆออกมาหนึ่งครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองนั้นสุดยอดจริงๆ เพราะเธอกลัวว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นล้มเธอจึงได้แบกร่างของเหลิ่งเซ่าถิงจากชั้นสองลงมาถึงชั้นแรก!

เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเธอ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่คิดเลยนะคะว่าฉันจะรับมือไหว”

“นั่นมันเพราะว่าเธอมีฉันอยู่ในใจไงล่ะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดังนั้นเธอเลยมีแรงพยุงฉันจากชั้นสองลงมาชั้นหนึ่งนี่ไง”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็อึ้งไปสักครู่ ก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วใส่เหลิ่งเซ่าถิง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “เพิ่มอีกเงื่อนไขนะคะ ต่อไปห้ามมาเต๊าะฉันนะคะ ฉันเท่านั้นที่เต๊าะคุณได้”

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Status: Ongoing
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท