ในฐานะเป็นศูนย์กลางทั้งประเทศ ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวง ไม่ว่าสถานที่แห่งใด ไม่สามารถเทียบได้อีกแล้ว!
เช่นเดียวกัน ในฐานะที่เป็นจุดศูนย์รวมของอำนาจทั้งประเทศ การดำรงชีวิตในสถานที่แห่งนี้ ต้องจดจำไว้คำสองคำนี้ไว้ให้จงดี ถ่อมตน! ถ่อมตน! ถ่อมตน!
มีคนเคยพูดตลกขบขันว่า ที่นี่ โยนอิฐออกไปหนึ่งก่อน โดนหัวคนสิบคน อย่างน้อยเจ็ดคน คือคนใหญ่คนโตระดับสูง ในเมืองแห่งนี้
แต่อวิ๋นเยนเอ๋อ มาเยือนสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก เหมือนดั่งนกน้อยชื่อเพิ่งออกจากรัง ดีใจลิงโลด เดินไปแทบทุกสถานที่
“เส้าหลง พวกเราไปเยี่ยมผู้อาวุโส ซื้อผลไม้แค่นี้ เหมาะสมหรือ?”
แผงร้านขายผลไม้อยู่ข้างหน้า อวิ๋นเสว่เหยน แสดงท่าทีเหมือนกับสะใภ้คนใหม่พบกับหัวหน้าครอบครัว จึงสอบถามออกไปด้วยความตื่นเต้น
เซี่ยงเส้าหลงแย้มยิ้มพูดว่า “ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเขาไม่สนใจ พิธีรีตองเช่นนี้นักหรอก ขอเพียงคุณกับเยนเอ๋อ ไปพบหน้า จะซื้ออะไรไปเขาดีใจทั้งหมด นั่นแหละ!”
“คุณพ่อ หนูอยากกินสตรอว์เบอร์รี่!”
อวิ๋นเยนเอ๋อเลียริมฝีปาก สายตาจับจ้องดูสตรอว์เบอร์รี่สีแดงฉ่ำ
“เถ้าแก่ ใส่ห่อสตรอว์เบอร์รี่พวกนี้ให้ผมหน่อย!”
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ!”
เยนเอ๋อยิ้มหวาน รับสตรอว์เบอร์รี่ไปและอดไม่ได้ที่จะกัดเข้าไปหนึ่งคำ นำสตรอว์เบอร์รี่สีแดงสดเปรอะจนเต็มปาก
“ค่อยๆ กิน ทั้งหมดเป็นของหนู ไม่มีใครแย่งหนูกินหรอกนะ!”
อวิ๋นเสว่เหยนเอ็ดไปด้วยความรักใคร่ ขณะที่คนทั้งสามกำลังจะเดินออกไป มีเสียงที่ฟังดูเย่อหยิ่งดังขึ้น “เถ้าแก่ จัดสตรอว์เบอร์รี่ที่แพงที่สุดและดีที่สุดในร้านของพวกคุณมาให้ฉันหน่อยสิ!”
เถ้าแก่ร้านขายผลไม้แสดงท่าทีขอโทษพูดว่า “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ สตรอว์เบอร์รี่ชุดสุดท้ายของร้านเรา เพิ่งจะขายไปให้กับท่านผู้นี้!”
ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้าง หญิงสาวที่แต่งหน้าทาปากฉูดฉาด แสดงท่าทีไม่พอใจขึ้นในทันที ฉุดกระชากแขนผู้ชายคนนั้นด้วยท่าทีที่เอาแต่ใจ “ฉันไม่สน ฉันไม่สน ฉันอยากจะกินสตรอว์เบอร์รี่! และจะกินเดี๋ยวนี้!”
“ได้ครับได้ครับ ที่รัก ผมจะรีบหาสตรอว์เบอรี่ให้คุณกินนะ!”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาเซี่ยงเส้าหลง กวาดสายตามองดูเขาหนึ่งครั้ง จากนั้น หยิบเงินหนึ่งพันเหรียญออกมาจากกระเป๋าเงิน กวัดแกว่งไปมาข้างหน้า แสดงท่าทีเย่อหยิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนให้ทานกับคนยาก “หนุ่มน้อย สตรอว์เบอรี่พวกนี้ขายให้ผม และเงินพวกนี้จะเป็นของคุณ!”
หนึ่งพันเหรียญ เพียงพอที่จะซื้อสตรอว์เบอร์รี่ในมือของเขาได้ถึงสิบเท่า แต่เยนเอ๋ออยากกิน ไม่ต้องพูดถึงสิบเท่าเลย หนึ่งร้อยเท่า เขาก็ไม่สนใจ
“ต้องขอโทษด้วย ไม่ขาย!”
“เยนเอ๋อ พวกเราไปกัน!”
ชายหนุ่มยืนตะลึง ใบหน้าแสดงอารมณ์อับอายจนแทบจะโมโหรีบเดินเข้าไปยืนขวางทางเขา น้ำเสียงเผยให้รู้สึกถึงเจตนาคุกคาม “พ่อหนุ่ม มาจากต่างเมืองล่ะสิท่า!”
เซี่ยงเส้าหลงขมวดคิ้วพูดว่า “แล้วมีอะไรเหรอ?”
“มิน่าล่ะ แม้แต่ฉัน ก็ยังไม่รู้จัก!”
เซี่ยงเส้าหลง ชักมีท่าทีสนใจ มองดูเขาและพูดว่า “คุณเป็นคนมีชื่อเสียงเหรอ?”
ชายหนุ่มแสดงท่าทีเย่อหยิ่งพูดขึ้นว่า “คุณลองไปสอบถามคนแถวนี้ดูสิ แถวนี้ มีใครบ้างไม่รู้จักเหลียงจงขุยคนนี้!”
“พ่อหนุ่ม ผมขอเตือนคุณด้วยความหวังดี ไม่งั้น ผมไม่สนว่า ข้างนอกคุณจะเจ๋งสักแค่ไหน เมื่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว ผมคิดจะฆ่าคุณ ก็เหมือนกับฆ่ามดน้อยๆ ตัวหนึ่ง ง่ายดายมาก!”
มองดูชายหนุ่มที่แสดงท่าทีอวดดี คิดว่าตนเองเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เซี่ยงเส้าหลงมองดูเขาเหมือนกับมองดูคนปัญญาอ่อน สบถออกมาเบาๆ ว่า “สมองมีปัญหา”
เหลียงจงขุยขุ่นเคืองขึ้นทันที จับหัวไหล่เซี่ยงเส้าหลงพูดว่า “เด็กบ้า แกกล้าด่าฉันเหรอ?!”
แววตาเซี่ยงเส้าหลงขึงขังขึ้นทันที ยึดมือข้างที่จับหัวไหล่ จากนั้นจับทุ่มลงพื้นอย่างสวยงาม จากนั้นมีเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด!
“แก……แกกล้าทำร้ายกูเหรอ?!”
เหลียงจงขุยไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น จากนั้นเปลี่ยนท่าทีถมึงตึง “ใจกล้ามาก แกอย่าไปไหน! รอกูอยู่นี่แหละ!”
จากนั้น หยิบโทรศัพท์ออกมา พูดจาโวยวายไปหลายประโยค มองหน้าเซี่ยงเส้าหลง แสดงสีหน้าโหดเหี้ยม ” ไอ้เด็กน้อย! แกจบเห่แน่!”
“กล้าหาเรื่องกับฉันคุณชายสิบสามแห่งไห่ติ้ง จุดจบของแกต้องอนาถมาก!”
ในเวลานี้ เถ้าแก่ร้านขายผลไม้มองเหลียงจงขุยด้วยท่าทีหวาดกลัว พูดกับเซี่ยงเส้าหลงอย่างระแวดระวัง “พ่อหนุ่ม คุณรีบหนีไปเถอะ!”
“คุณชายสิบสามแห่งไห่ติ้ง มีอิทธิพลมากในแถบนี้ จัดตั้งขึ้นจากกลุ่มลูกเศรษฐีและกลุ่มบุตรขุนนาง เย่อหยิ่งและชอบทำตามอำเภอใจตลอดมา คุณเป็นคนต่างเมือง อย่าไปทำให้พวกเขาโมโหจะดีกว่า!”
อวิ๋นเสว่เหยนดึงมือเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ใช่ พวกเราอย่าไปยั่วยุให้พวกเขาโมโหจะดีกว่ารีบไปกันเถอะ!”
เซี่ยงเส้าหลงมองไปทางรถตู้หลายคันที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก มุมปากเผยรอยยิ้มที่แสดงความห่วงใย “หากจำไม่ผิด คนพวกนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่ปักหลักอยู่ที่เมืองหลวงในตอนนั้น?”
ประตูรถตู้เปิดออก ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนลงมาจากรถ คนที่เดินนำหน้า แสดงท่าทีองอาจกล้าหาญ เดินขึงขัง มาทางนี้!
เหลียงจงขุยตกตะลึงก่อน ต่อมามองเซี่ยงเส้าหลงด้วยสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์คนอื่น “ไอ้เด็กน้อย แกมันโชคร้ายมากจริงๆ!”
“รู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? ราชารบไห่ติ้ง! ให้เขาเป็นคนลงมือเอง แกลองคิดดูสิว่าจะเก็บแขนหรือขาเอาไว้!”
พูดจบ แสดงรอยยิ้มประจบประแจงออกมาพูดว่า “พี่เซียว! ทำไมพี่ถึงมาเองล่ะ?”
สายตาหยางเซียวมองตรงไปยังเซี่ยงเส้าหลงที่ค่อยๆ เผยรอยยิ้มที่มุมปาก น้ำเสียงมีบางอย่างแปลกประหลาด “แกบอกว่า คนที่แกต้องการจะสั่งสอน ก็คือเขาเหรอ?”
เหลียงจงขุยพยักหน้า แววตาแสดงอารมณ์ดุดัน “ก็คือไอ้สารเลวคนนี้!”
“พี่เซียว ในเมื่อพี่มาด้วยตนเอง พี่น้องเราเข้าใจกฎเป็นอย่างดี!”
“เดิมที่เคยตกลงราคากันไว้ ผมจะเพิ่มให้อีกสองหมื่น! ผมต้องการให้เจ้าหนุ่มคนนี้ ออกไปจากเมืองหลวง!”
หยางเซียวพยักหน้า จู่ๆ มีฝ่ามือขนาดใหญ่ซัดลงมาที่ใบหน้า จนเหลียงจงขุยลอยไปไกลถึงสามเมตร ใช้แรงไปหนักมากจนฟันหลุดออกจากปากสามซี่!
ลูบแก้มด้านขวาที่บวมเป่ง เหลียงจงขุย ทั้งตกใจทั้งโมโห พูดว่า “พี่……พี่เซียว พี่หมายความว่ายังไง?”
หยางเซียว ไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย หันหน้าไปหาเซี่ยงเส้าหลง ยืนตรง ทำความเคารพตามแบบฉบับทหาร แววตาเปล่งประกาย พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “หยางเซียวสมาชิกสำรองหน่วยรบหลงเซียว คำนับหัวหน้า!”
เหลียงจงขุยตกตะลึงเหมือนหัวใจจะดับวูบ!
ยอดฝีมือป้ายทองอันดับหนึ่งของไห่ติ้ง ราชารบหยางเซียว ทำความเคารพให้กับคนต่างเมือง คนนี้เหรอ?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
เซี่ยงเส้าหลงยิ้มจนปากกว้าง หน่วยรบหลงเซียว เป็นชื่อที่เฝ้าคิดถึงมาตลอด……
นั่นมันเมื่อหกปีที่แล้ว เซี่ยงเส้าหลงยังไม่ได้มีอำนาจควบคุมทหารชายแดนเหนือ พวกลูกเศรษฐีและบุตรขุนนางในเมืองหลวงวางอำนาจบาตรใหญ่ทำตามอำเภอใจ จนทั่วทั้งเมืองหลวงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่เลวร้าย สังคมเลวทรามป่าเถื่อน ผู้มีอำนาจต้องการจัดระเบียบ แต่อิทธิพลแต่ละฝ่ายต่างขัดแย้งกัน มีความคิดแต่ไร้อำนาจ
คุณท่านสั่งการลงไป คัดเลือกทหารฝีมือดี จากพื้นที่เขตทหาร ก่อตั้งเป็นหน่วยรบหลงเซียว และเซี่ยงเส้าหลงก็คือ หัวหน้าหน่วยที่เขาแต่งตั้งขึ้น!
ในปีสุดท้าย เซี่ยงเส้าหลงได้กลายเป็นฝันร้ายของบรรดาทายาทเศรษฐีและบุตรขุนนาง บาดเจ็บน้อยหน่อยก็เข้าโรงพยาบาลสามเดือน หนักหน่อยไม่แขนก็ขาขาดหายไป เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ สายตาของเซี่ยงเส้าหลง ไม่สนใจว่าตระกูลของคุณ จะมีอิทธิพล อำนาจมากเพียงไร ขอเพียงทำผิดในกรอบที่วางไว้ จะโดนลงโทษอย่างแสนสาหัส!
ตระกูลเศรษฐีในเมืองหลวงเกือบทั้งหมด ต้องมีสักหนึ่งหรือสองคนที่โชคร้ายเป็นพิเศษถูกเซี่ยงเส้าหลงสั่งสอน ดังนั้นมีตระกูลจำนวนมากในเมืองหลวงคิดเจ็บแค้นในตัวของเซี่ยงเส้าหลง และคุณท่านเล็งเห็นว่าบรรยากาศในเมืองผ่อนคลายดีขึ้นมากแล้ว จึงสั่งการลงไปปรับย้ายเซี่ยงเส้าหลงไปเขตชายแดนเหนือ ก็เพื่อปกป้องความปลอดภัยของเซี่ยงเส้าหลง จากนั้นแม้หน่วยรบหลงเซียวจะ สิ้นสุดหน้าที่ แต่สำหรับสมาชิกทุกคนในหน่วยรบหลงเซียว เซี่ยงเส้าหลงไม่ใช่นายพลน้อยเทพรบชายแดนเหนือ แต่เป็นหัวหน้าของพวกเขาไปตลอดกาล!
“หัวหน้า เหตุใดท่าน จู่ๆ มาที่เมืองหลวงได้ล่ะ?”
น้ำเสียงหยางเซียว ฟังดูตื่นเต้น
“ฮ่าฮ่า ไม่ได้กลับมาเสียนาน ครั้งนี้กลับมาเยี่ยมคุณท่าน!”
หยางเซียวพยักหน้า จากนั้นมองเหลียงจงขุย ที่ยังคงมีสีหน้าตกตะลึง แววตาเผยให้เห็นถึงความขุ่นเคือง “ไอ้สารเลวคนนี้ ไม่เคารพท่าน ต้องการให้ผมจัดการมันหรือไม่?”
แม้เขาจะเป็นเพียงสมาชิกสำรองคนหนึ่ง แต่ภายในใจของเขา เคารพนับถือเซี่ยงเส้าหลงมาทั้งชีวิต ไม่ต้องการให้ใครหน้าไหน ดูหมิ่นเขาแม้นิดเดียว!
เซี่ยงเส้าหลงส่ายศีรษะ เขาไม่อยากก่อเรื่องให้มันมากความ “ไม่จำเป็น นี่ก็สายมากแล้ว ผมควรไปได้แล้ว!”
สีหน้าหยางเซียว ยังคงเผยให้เห็นถึงความกังวลเล็กน้อย ในตอนนั้นตระกูลใหญ่แต่ละตระกูลในเมืองหลวงต่างเจ็บแค้นในตัวเซี่ยงเส้าหลงเป็นอย่างมาก เพราะเหตุการณ์ในอดีตยังคงเด่นชัดในความทรงจำ!
“หัวหน้า ท่าน……ท่านต้อง ระมัดระวังด้วย!”
“ฮ่าฮ่า……”
ในแววตาเซี่ยงเส้าหลงเผยให้เห็นถึงอำนาจที่ตนมั่นใจเป็นอย่างดี “พวกเขามีอะไร คิดจะทำกับผมยังไงเหรอ!”
นอกเมือง บริเวณเชิงเขาที่มีทิวทัศน์งดงามแห่งหนึ่ง รถเดินทางมาถึงจุดนี้ ไม่มีทางเดินรถไปได้อีก ทำได้เพียงลงจากรถเดินด้วยเท้า ตามทางมีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก อวิ๋นเสว่เหยนมองทหารที่ถืออาวุธจริงด้วยความตื่นตกใจแกมสงสัย พูดอย่างระแวดระวังว่า “เส้าหลง คุณพูดมาหน่อยสิ ท่านผู้อาวุโสเป็นคนยังไง? ทำไม……ทำไมถึงอยู่ในสถานที่เช่นนี้?”
“เขานั่นเหรอ เป็นทหารเกษียณคนหนึ่งเท่านั้น!”
เซี่ยงเส้าหลง ตอบกลับเบาๆ
เดินตรงเข้าไปด้านใน มีอาคารเล็กๆ สไตล์โบราณสามชั้นอยู่หลังหนึ่ง เซี่ยงเส้าหลงคิ้วกระตุกขึ้นมาในทันที หน้าประตูที่ไม่ไกลนัก มีรถโรลส์รอยซ์จอดอยู่คันหนึ่ง ชายวัยกลางคนสวมเสื้อสูทเนี๊ยบมาก ยืนอยู่หน้าประตู ด้านหน้าเขามีของขวัญล้ำค่ามากมาย ภายใต้แสงแดดอันร้อนผ่าว แม้ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่ใบหน้าของเขาไม่เผยให้เห็นสีหน้าที่กระวนกระวายใจสักนิด
เซี่ยงเส้าหลงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้น?
บ้านของคุณท่านที่ผ่านมาจะดูสงบเงียบ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งของเหล่านี้ และคนพวกนี้ที่เกลียดชัง เข้ามาได้อย่างไร?
คิดว่าคงต้องสอบถามจากคุณท่านดู เดินเข้าไปคิดที่จะผลักประตู มือยังไม่ทันถึงประตู ชายวัยกลางคนรั้งมือไว้ พูดด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “คุณเป็นใครมาจากไหน! เหตุใดถึงไม่รู้จักกฎระเบียบ!”
“และไม่รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่แห่งใด คุณเข้าไปโดยพลการได้ยังไง?!”
เซี่ยงเส้าหลงรู้สึกสนุก เขายกตะกร้าผลไม้ขึ้นมาโชว์ให้ดู พูดว่า “ผมไม่ได้เข้าไปโดยพลการ ผมจะมาเยี่ยมคน!”
มองดูตะกร้าผลไม้ราคาต่ำในมือเขา ชายวัยกลางคนอ้าปากค้าง “คุณถือตะกร้าผลไม้ราคาถูกมาเยี่ยมงั้นเหรอ?”
เซี่ยงเส้าหลงพยักหน้า “ใช่ มีปัญหาอะไรเหรอ?”
ชายวัยกลางคนมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “คุณเล่นตลกอะไรรึเปล่า!”
“มีเศรษฐีวาณิช ชนชั้นสูงจำนวนมากมาย นำของขวัญมูลค่านับแสน เพื่อมาเยี่ยมท่านฉิน ล้วนถูกปฏิเสธให้ยืนหน้าประตู คุณถือตะกร้าผลไม้ราคาถูก กล้าจะเข้าไปข้างในหรือ?”
“ไปไปไป! อย่ามัวยืนขวางหูขวางตาอยู่แถวนี้!”
ชายวัยกลางคนแสดงท่าทีเหมือนกำลังไล่แขก ไล่เซี่ยงเส้าหลงให้ออกไป ในขณะเดียวกัน จู่ๆ ประตูบ้านเปิดออก มีชายวัยชราสวมชุดทหารสีแดง เดินออกมาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เอะอะอะไรกัน! ไม่รู้หรือไง ท่านฉินกำลังพักผ่อนอยู่?”
ชายวัยกลางคนปล่อยมือเซี่ยงเส้าหลงยิ้มแย้มแกมประจบ “ลุงฉวน ผู้น้อย ชื่อเมิ่งหยาง ประธานกรรมการซิงหลงกรุ๊ป วันนี้เตรียมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เพื่อที่จะมาเยี่ยมท่านฉิน ท่านดูสิ……”
เซี่ยงเส้าหลง ชูตะกร้าผลไม้ขึ้นมา พูดขึ้นว่า “ผมก็มีสิ่งของเพื่อนำมาเยี่ยมคุณท่าน”
ในฐานะที่เป็นองครักษ์ประจำตัวท่านฉิน แน่นอนว่าลุงฉวนย่อมรู้จักสนิทสนมเซี่ยงเส้าหลงเป็นอย่างดี ใบหน้าที่เหี่ยวย่นเผยรอยยิ้มขึ้นมา “เข้าไปข้างในเถอะ ท่านฉินกำลังรอคุณอยู่!”
เมิ่งหยางยืนอึ้งมองดูเซี่ยงเส้าหลงที่มือถือตะกร้าผลไม้ราคาไม่ถึงสองร้อยเหรียญ เดินเข้าไปด้วยสีหน้าตกตะลึง
รอจนพวกเขาเดินหายไป เมิ่งหยางรีบดึงมือลุงฉวน พูดว่า “ลุงฉวน ผมเตรียมของขวัญราคานับแสน ก็ยังเข้าไปไม่ได้ เขาถือตะกร้าผลไม้ราคาถูก เหตุใดถึงเข้าไปได้ล่ะ?”
“คุณเทียบกับเขาไม่ได้หรอก?”
ลุงฉวนมองดูเขาด้วยท่าทีดูถูก “เห็นแก่หน้าของเหล่าจางที่แนะนำคุณมา ผมจะบอกให้คุณฟัง”
“ท่านฉินไม่มีลูก เรื่องนี้คุณคงจะรู้ดีใช่ไหม?”
เมิ่งหยางพยักหน้า เรื่องนี้ในสังคมชั้นสูง ต่างรู้ความลับนี้มาตั้งนานแล้ว
จากนั้นลุงฉวนชี้ไปทางด้านหลัง “และเขา เป็นลูกบุญธรรมของท่านชิน เข้าใจไหม?!”
เฮ้ย!
เหมือนโดนสายฟ้าฟาด เมิ่งหยางยืนอึ้งตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน!
ลูกบุญธรรมของท่านฉิน เพราะฉะนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างท่านฉิน?!
ลงทุนลงแรงไปตั้งมากมาย กว่าจะได้มีโอกาสเข้ามายืนอยู่หน้าประตูบ้านของท่านฉิน แต่ตนเองเป็นพวกหัวสมองขี้เลื่อย ครั้งนี้พลาดโอกาสอันใหญ่หลวงในการเชื่อมสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดมากขึ้น……
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยงเส้าหลง เข้าไปด้านใน มองดูรอบๆ ไม่ได้มาเป็นเวลาสามปี ยังคงเป็นบ้านที่คุ้นเคย และยังเป็นเหมือนเดิม ยังไม่ทันได้ถอนหายใจ มีเสียงแก้วน้ำโยนมาดังวืดเข้ามาทักทาย!
เซี่ยงเส้าหลง คว้าไว้ได้ทันท่วงที น้ำไม่หกแม้แต่หยดเดียว เซี่ยงเส้าหลงสัมผัสจมูก แย้มยิ้มและพูดว่า “คุณท่าน กว่าผมจะมีเวลามาเยี่ยมท่านได้ มันยากมากนะ นี่เป็นของขวัญในวันพบหน้ากันอย่างนั้นเหรอ!”
“ฮึ! เด็กคนนี้! ยังมีหน้ามาพูดอีก ?!”
“สามปี ไม่ได้มาเยี่ยมฉันบ้าง โชคยังดี ที่ฝีมือยังไม่ด้อยไปเท่าไหร่นัก ไม่งั้น ฉันจะถลกหนังของแกออกมา!”
ภายในห้อง มีร่างคนที่ดูภูมิฐานแต่งตัวเนี๊ยบเดินออกมา แม้ผมจะขาวโพลน แต่ท่วงท่าการเดินเหมือนดั่งพยัคฆ์ ไม่มีท่าทางเหมือนคนชราแต่อย่างใด ช่วงที่เดินไปพูดไปนั้น แสดงให้เห็นถึงไอสังหารที่เข้มข้นและท่าทางของผู้มีอำนาจ!
ชายชราไม่แย้มยิ้ม กวาดสายตามอง ในที่สุดก็ไปหยุดลงที่ เด็กคนหนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายเซี่ยงเส้าหลงอยู่แปดส่วนคนนั้น แววตาที่ดูมีอำนาจ เปล่งประกายทันที!
เมื่อเห็นสีหน้าของชายชรา เซี่ยงเส้าหลงมุมปากยกยิ้ม พูดกับเยนเอ๋อว่า “เยนเอ๋อ เรียกท่านปู่สิ!
“ท่านปู่!”
อวิ๋นเยนเอ๋อร้องเรียกเสียงหวาน
“โอ้ว!”
ชายชราหัวเราะใบหน้ามีความสุข “มานี่ มาให้ปู่ดูหน่อยสิ!”
อวิ๋นเยนเอ๋อเดินเข้าไปหาเขาด้วยท่าทีน่ารักฉลาดเฉลียว ชายชราอุ้มเธอ อวิ๋นเยนเอ๋อดึงหนวดเคราชายชราด้วยความสนใจ พูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ท่านปู่ เยนเอ๋อหิวแล้ว!”
“หิวแล้วเหรอ?ได้ พวกเราไปกินข้าวกัน! ให้ท่านย่าทำอาหารที่อร่อยที่สุดให้หนูทานดีไหม? ฮ่าฮ่า……”
พูดจบอุ้มอวิ๋นเยนเอ๋อ หัวเราะเสียงดังเดินเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจเซี่ยงเส้าหลงเลย เซี่ยงเส้าหลงเห็นภาพฉากนี้ประหลาดใจเป็นอย่างมาก!
ในความทรงจำของเขา คุณท่าน ไม่ได้หัวเราะเสียงดังด้วยความสุขเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว?
ยิ่งไปกว่านั้น เขามีความสุขเป็นอย่างมาก ที่พาเยนเอ๋อมาด้วย เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด!
เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ คู่ชีวิตของชายชรา นั่นก็คือน้าเหมย รักและเอ็นดูอวิ๋นเยนเอ๋อเช่นกัน อีกทั้งไม่นานนักอวิ๋นเสว่เหยนสนิทสนมกับผู้อาวุโสทั้งสอง เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทานอาหารร่วมกันมีอวิ๋นเยนเอ๋อร่วมโต๊ะอาหาร ชายชราแย้มยิ้มอย่างมีความสุข
หลังรับประทานอาหารกันอิ่มหนำสำราญ น้าเหมยเก็บถ้วยชาม อวิ๋นเสว่เหยนอุ้มอวิ๋นเยนเอ๋อเก็บของเข้าไปในห้องครัวด้วยกันอย่างมีความสุข เมื่ออยู่เพียงลำพังสองต่อสอง อารมณ์ของชายชรา กลับขึงขังขึ้นมาอีกครั้ง!
“ลูกเซี่ยง ครั้งนี้คนพวกนั้นที่เมืองหลวง ต่างจับจ้องด้วยท่าทีถมึงทึง คิดแผนรับมือไว้บ้างหรือยัง?”
เซี่ยงเส้าหลงมุมปากยกยิ้ม แสดงท่าทีดุดันโดยไม่มีอารมณ์หวาดกลัวแม้แต่น้อย “ส่งทหารมาก็สู้กันสักตั้ง น้ำไหลมาก็สร้างทำนบกั้น จำเป็นต้องวางแผนรับมือด้วยหรือ?”
“กล้ามาหาเรื่อง ต่อสู้กันก็พอแล้ว! ตีครั้งนึงยังไม่ฟัง งั้นก็ตีสองครั้ง ตบตีจนเชื่อฟังแล้วค่อยหยุด!”
“ดี!”
ชายชราตบโต๊ะเสียงดัง “สมแล้วที่เป็นชายชาติทหาร ที่ฉินหยวนติ่งสร้างขึ้นมากับมือ!”
“ในเมื่อมาแล้ว ก็เคลียร์ปัญหาเรื่องบุญคุณความแค้น ก่อนและหลังให้เสร็จสิ้นกันสักที!”
“คิดอยากจะแก้แค้น งั้นก็เรียงหน้ากระดานกันเข้ามา! เซี่ยงเส้าหลง หากต้องเสียชีวิตในการต่อสู้อย่างลูกผู้ชาย นั่นก็คือการตายที่คุ้มค่าที่สุด เกิดอะไรขึ้น จะไม่ตำหนิฟ้าหรือกล่าวโทษผู้คน!”
“แต่หากมีคนวางแผนลอบทำร้ายล่ะ……” ดวงตาที่แก่ชราของฉินหยวนติ่ง แสดงถึงเจตนาสังหาร “คนของฉินหยวนติ่ง ไม่ใช่ว่าใครจะแตะต้องกันได้ง่ายๆ !”
เซี่ยงเส้าหลงแย้มยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยอารมณ์เหยียดหยามและท่าทีดุดัน “จะฆ่าไก่บ้านทั้งฝูง ไยต้องใช้มีดฆ่าวัวด้วยเล่า?”