สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ – บทที่ 116 เขาไม่ชอบกินของหวาน!

สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ

“ฉันรับได้!”

ฉินหลิงยี่เพิ่งจะพูดจบ เฉิงลู่ก็รีบตอบกลับทันควัน “แล้วทำไมฉันจะไม่รับได้ล่ะ!”

“ไม่ใช่ว่าลั่วเยียนเธอจะไม่ตื่นขึ้นมาตลอดชีวิตนี่!”

หุ้นตั้ง10เปอร์เซ็นต์มันช่างดึงดูดล่อตาล่อใจเหลือเกิน

แม้ว่าปากของ เฉิงลู่จะยืนกรานอย่างเย่อหยิ่ง แต่ว่าเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า ถ้าฉินโม่หานไม่เอ่ยปากพูดคำนี้ออกมา พวกเขาทั้งครอบครัวขยันทำงานอีกสักสิบปี ก็ไม่สามารถจะมีหุ้นได้มากมายขนาดนี้!

ถ้าแต่งงานกับลั่วเยียนแล้วทำให้ฉินหนานเซิงต้องต่อสู้รบราฆ่าฟันน้อยลง แล้วทำไมเธอถึงไม่ยินยอมล่ะ?

เพราะถึงอย่างไรลั่วเยียนก็ใช่ว่าจะไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ เมื่อได้หุ้น 10 เปอร์เซ็นต์มาแล้ว ค่อยรักษาเธอให้ดีๆ หรือว่าผ่านไปสักหลายปีหน่อยค่อยหย่าขาดจากเธอ ถึงอย่างไรก็ไม่เสียหายอยู่ดี!

อากัปกิริยาพลิกหน้ามือเป็นหลังมือในทันที ทำให้ฉินหลิงยี่อดยิ้มไม่ได้ “แต่ว่าเธอเป็นนักแสดง ไม่ได้เชิดหน้าชูตาอะไรนะ”

เฉิงลู่กลอกตามองบน “พี่สอง คุณก็อย่าเอาวิสัยทัศน์ของตัวเองมามองคนอื่นได้ไหมล่ะ?”

“เป็นนักแสดงมันไม่เชิดหน้าชูตาตรงไหนกัน ภรรยาของพี่สามก็ไม่ใช่ว่าเป็นนักแสดงหรอกเหรอ?”

เฉิงลู่พูดไป พลันเงยหน้าจ้องมองซูสือเยว่ สีหน้าเอาอกเอาใจ “น้องสะใภ้ คุณลองคุยกับพี่รองของคุณดีๆสิ ว่าเป็นนักแสดงมันดีขนาดไหน!”

ซูสือเยว่ “….”

แล้วจะให้เธอตอบกลับอย่างไรดี?

หญิงสาวเม้มริมฝีปากเอาไว้ พร้อมทั้งลังเลอยู่ชั่วครู่ พลันเอ่ยปากพูดอย่างนิ่งๆ “พี่รอง พี่สะใภ้ใหญ่ ความจริงแล้วการเป็นนักแสดงก็เป็นอาชีพอันแสนสุจริต”

“ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ผมฟัง”

ฉินหลิงยี่ถูกคำอธิบายด้วยนิสัยอย่างเชื่อฟังของซูสือเยว่จนทำให้ยิ้มขึ้นมาได้ เขาก็ไม่ได้ดูถูกนักแสดงเลย แต่จงใจใช้คำพูดของเฉิงลู่กระตุ้นเธอเท่านั้นเอง

เมื่อพูดจบ เขาก็หรี่ตามองใบหน้าของซูสือเยว่ “ผมไม่ได้สนใจอาชีพนักแสดงอะไรเลย”

“แต่ผมนั้นสนใจคุณมากกว่า”

แววตาของชายหนุ่มพินิจซูสือเยว่อย่างละเอียด “การเป็นแม่ของซิงหยุนกับซิงเฉิน ชินหรือยัง?”

ซูสือเยว่ผงะเล็กน้อย ประมาณว่าไม่คิดว่าเขาจะถามคำถามนี้ขึ้นมา นานสักพัก เธอก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “คุ้เคยกันแล้ว”

“พวกเขาสองคนเป็นเด็กดี และเข้าใจเรื่องทุกอย่างมาก”

ฉินหลิงยี่พยักหน้า “งั้นก็ดี”

“แม่แท้ๆของสองแสบนี่ก็เป็นคนดีและเข้าใจเรื่องราวอะไรมาก”

เมื่อพูดจบ เขาพลันเลิกคิ้วมองมาทางซูสือเยว่ “ใช่สิ พวกเขารู้ไหมว่าแม่ของพวกเขาคือใคร?”

ซูสือเยว่พยักหน้าเล็กน้อย “รู้บ้าง”

เมื่อเห็นว่าหัวข้อเริ่มเปลี่ยนจากเรื่องงานใหญ่ของฉินหนานเซิงไปแล้ว ฉินเจี้ยนอานที่ยังอยู่ข้างๆพลันกระแอมออกมา “พี่สาม แกยินยอมจริงๆที่จะให้หุ้น10เปอร์เซ็นต์จริงเหรอ?”

ฉินโม่หานพยักหน้า “แน่นอน”

“ฉันสนิทกับหนานเซิงที่สุดแล้ว ส่วนลั่วเยียนก็เป็นเพื่อนกับสือเยว่ หุ้น10เปอร์เซ็นต์ถือว่าไม่เยอะ”

ฉินเจี้ยนอานเริ่มตื้นตันเล็กน้อย

เขาเหลือบตามองเฉิงลู่แวบหนึ่ง “หรือว่าพวกเราควรจะพาหนานเซิงไปพบพ่อแม่ของลั่วเยียนดีไหม”

เฉิงลู่พยักหน้าหงึกหงัก “ใช่ใช่ใช่!”

เมื่อพูดจบ เธอก็หันกลับไปและดึงแขนของฉินหนานเซิงเอาไว้ “เราไปหาครอบครัวที่ดองกันเถอะ?”

ฉินหนานเซิงประมาณว่าเรื่องมันจะราบรื่นได้ขนานดี้ เขายังคงตะลึงอยู่สักพัก จนสุดท้ายแล้วได้แต่พยักหน้าอย่างแรง “ตกลง”

“พวกเราไปกันตอนนี้เลย!”

แต่ว่ายังกลัวว่าฉินโม่หานจะคืนคำ เฉิงลู่ไม่สามารถทนรอได้ พลันขอตัวแบบธรรมดาไม่มีการพิรี้พิไรต่อทุกคนทันที จากนั้นก็ดึงตัวฉินหนานเซิงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน เพื่อที่จะได้ไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของลั่วเยียน

“อาเล็ก”

ตอนที่เดินมาหน้าประตู ฉินหนานเซิงเงยใบหน้าที่ดวงตามีถุงใต้ตาดำคล้ำด้วยความเหนื่อยล้า “ขอบคุณมาก”

ถ้าไม่มีฉินโม่หาน ทุกอย่างก็คงไม่ราบรื่นได้ขนาดนี้

เมื่อวานนี้เขาก็ให้ฉินโม่หานช่วยเขาแล้ว เพราะรู้ว่าการขอลั่วเยียนแต่งงานเรื่องนี้นั้น คนในครอบครัวก็คงไม่ยินยอมโดยง่ายดาย

ที่แท้ เขาก็วางแผนให้ฉินโม่หานกับซูสือเยว่ช่วยเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ของเขา

แต่ในสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ …. ฉินโม่หานใช้หุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ มาคานอำนาจจนพ่อแม่ของเขาไปไม่เป็นกันเลย

แม้ว่าฉินโม่หานเงินไม่ขาดมือ และก็ไม่สนใจหุ้นของฉินซื่อกรุ๊ป แต่ว่าของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้มันก็เยอะไปจริงๆ

ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สายตาจับจ้องฉินโม่หานกับซูสือเยว่ “ต่อไปมีเรื่องอะไรให้ผมช่วย รีบพูดออกมาได้เลย”

“ขอแค่ผมทำได้”

เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเขาแล้ว ฉินโม่หานได้แต่ยิ้มให้อย่างเบื่อหน่าย “รีบไปเร็ว”

ฉินหนานเซิงเหลือบมองฉินโม่หานอย่างลึกซึ้ง พลันยกขาเดินตามพวกเฉิงลู่ออกไป

หลังจากที่ครอบครัวฉินเจี้ยนอานทั้งสามคนออกไปแล้ว ท่านปู่ฉินก็เปลี่ยนท่วงท่าสบายๆพิงโซฟาแทน “เฮ้อ ในที่สุดก็เสร็จเรื่องสักที”

เรื่องพรรค์นี้ เขาเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากจริงๆ

ฉินหลิงยี่ ยักไหล่ พลันเงยหน้าขึ้นมองฉินโม่หาน “คิดว่าหนานเซิงทำถูกต้องไหม?”

“ไม่มีอะไรที่ถูกหรือไม่ถูก เขาคิดแล้ว ทำไมไม่ช่วยล่ะ?”

พูดจบ มุมปากของกระตุกรอยเย็นชาออกมา “หรือว่าทุกครั้งพี่รองช่วยเย่เชียนจิ่ว ก็เป็นเพราะว่าเย่เชียนจิ่วทำถูกต้องแล้ว”

คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของฉินหลิงยี่หายวับไปกับตา

ชั่วครู่ เขาก้มหน้าพร้อมทั้งยิ้มให้อย่างขมขื่น “ก็ใช่”

“แม้ว่าตนเองเข้าข้างในสิ่งที่คนคนนั้นทำ ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม ขอแค่เขามีความสุขก็พอ”

พูดจบ เขาก็จ้องมองซูสือเยว่ด้วยความหมายลึกซึ้งอยู่แวบหนึ่ง “น้องสะใภ้ คุณว่าไหม?”

ซูสือเยว่พยักหน้าทันที “ใช่…ใช่มั้ง”

เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพราะว่าท่านชายฉินมักจะจับจ้องมองเธออย่างมีความหมายอยู่ตลอด

สายตาเช่นนั้น ไม่คล้ายคำว่าชอบ แต่เป็นสายตาสอบสวนมากกว่า

ราวกับว่าเธอกำลังถูกสอบสวนจากสายตาทำเหมือนว่าเธอไปทำผิดอะไรมา มันทำให้เธอมาสบายใจมากจริงๆ

ประมาณว่ามองเห็นอาการกระอักกระอ่วนของซูสือเยว่ ซิงหยุนที่อยู่ด้านข้างก็เดินเข้ามาหาทันที

“หม่ามี๊ ผมหิวแล้ว”

เมื่อได้ยินว่าเจ้าหลานชายตัวดีหิวแล้ว ท่านปู่ฉินก็รีบเรียกคนรับใช้ให้เตรียมอาหารกลางวันทันที

“ไม่ต้องหรอก”

ซิงเฉินยิ้มให้และกะพริบตาให้กับชายชรา “พี่ชายผมเป็นพวกโลภมาก”

“เขาอยากให้หม่ามี๊พาเขาไปกินของหวานแหละ!”

เมื่อได้ยินคำว่า “ของหวาน” ร่างกายเล็กๆของซิงหยุนเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย

เขาไม่ชอบกินของหวาน!

ที่ชอบกินของหวานก็คือซิงเฉินหมอนี่ต่างหาก!

ทว่าในใจของเขาร้อนรนเพราะต้องการให้ซูสือเยว่ไปจากบ้านตระกูลซูเร็วๆ เลยไม่สามารถตอบโต้กลับได้

ดังนั้นเจ้าตัวน้อยเลยได้แต่ยิ้มให้ชาชราอย่างหน้าชื่นอกตรม “ครับ”

ซูสือเยว่เริ่มประหลาดใจเล็กน้อย “ซิงหยุนชอบกินของหวานตอนไหนกันนะ?”

“เมื่อกี้นะแหละ”

ซิงหยุนเบะปาก พร้อมทั้งกระซิบพูดออกมา

“ไอ้หยา ถึงอย่างไรพี่ชายเขาก็ชอบกินขนมหวานร้านที่อยู่ใจกลางเมือง!”

ซิงเฉินยิ้มร่าพร้อมทั้งดึงมองของซูสือเยว่เอาไว้ พลันหันศีรษะกลับไปมองชายชราอย่างภาคภูมิใจ “คุณปู่ คุณปู่ก็พาลูกชายของคุณปู่สองคนไปกินข้าวกลางวันพร้อมกันเถอะนะ!”

“เพราะว่าหม่ามี๊ต้องพาลูกชายสองคนของเขาไปกินเค้กแล้ว!”

เมื่อเห็นว่าซูสือเยว่มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับซิงหยุนและซิงเฉิน ชายชราได้แค่ลูบหนวดเคราและยิ้มให้ “ไปเถอะ ไปกันเถอะ”

“โม่หานกับหลิงยี่ก็อยู่เป็นเพื่อนตาแก่อย่างฉันกินข้าวแล้วกันนะ”

“พวกแกสองคนไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานานแล้วมั้ง?”

ฉินหลิงยี่พยักหน้า

ฉินโม่หานได้แต่ยิ้มให้ จากนั้นก็เอาการ์ดสีดำยัดใส่มือเธอ “กินเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้านนะ”

“เมื่อคืนคุณก็ไม่ได้นอนสักเท่าไหร่ กลับไปก็นอนพักสักตื่นนะ”

ที่เขาพูดออกมานั้นมีแต่ความเป็นห่วงเป็นใย แต่ว่าประโยคที่พูดว่า “เมื่อคืนคุณก็ไม่ได้นอนสักเท่าไหร่” มันเลยทำให้ซูสือเยว่หวนกลับไปนึกถึงเรื่องบ้าคลั่งเมื่อคืนนี้

สีหน้าของหญิงสาวแดงจนละม้ายลูกท้อเข้าไปทุกที

เธอรับการ์ดสีดำนั่นเอาไว้ พร้อมทั้งเอาเด็กน้อยทั้งสองคนออกไป

เมื่อเห็นทางข้างหลังว่าเธอพาเด็กสองคนออกไปแล้วท่านปู่ฉินก็ยิ้มให้อย่างพอใจ “เธอกับตัวแสบสองคนนั้นถือว่าต้องชะตากัน”

“แทบมองไม่ออกเลยว่าเธอไม่ได้เป็นคนคลอดมาเอง”

พูดจบ ชายชราก้มหน้ามามองฉินหลิงยี่แวบหนึ่ง “แกว่า แม่ที่แท้จริงของซิงหยุนกับซิงเฉินจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอไหม?”

หน้าตาก็คล้ายกัน นิสัยก็เข้ากันได้ บางครั้ง การกระทำเล็กๆน้อยๆ ก็คล้ายกันมาก

“จะเป็นไปได้ยังไง?”

ฉินหลิงยี่คลี่ยิ้ม “แม่แท้ๆของซิงหยุนกับซิงเฉินเป็นเพื่อนของเชียนจิ่ว เติบโตอยู่ในบ้านเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก และก็ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน”

“น่าเสียดายเนอะ”

สีหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความเสียใจ “น่าเสียดายที่ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร”

สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ

สามีบอสของฉันทั้งเลวทั้งซื่อ

Status: Ongoing
หลังข่าวลือที่เสียโฉม ท่านชายฉินโหดร้ายอำมหิต ทำคู่หมั้นตายติดต่อกันสองคน ผู้หญิงทั้งเมืองไม่มีใครกล้าแต่งงานด้วย แต่ซูสือเยว่กลับแต่งสาวน้อย ต่อไปให้ฉันปกป้องเธอเองเพิ่งแต่งงาน เธอก็ถูกลูกน้อยน่ารักน่าหยิกสองคนแย่งกันอย่างคลั่งใคล้ซะแล้ว……

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท