การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 34 อัศวินมังกรไร้สังกัด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 34 อัศวินมังกรไร้สังกัด

 

 

แคลนคือกลุ่มปาร์ตี้ที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับกิลด์

 

แน่นอนว่าถึงพวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์เหมือนกับที่ได้รับจากกิลด์ แต่พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องถูกผูกมัดไว้กับกฎของกิลด์และกิลด์ยังไม่สามารถรับส่วนค่าดำเนินการจากผู้ว่าจ้างด้วย

 

 

แต่ก็เพราะการจะหาผู้ว่าจ้างไปจนถึงการรับรางวัลจากภารกิจนั้น ทางแคลนจำเป็นต้องใช้ความพยายามจัดการเองทั้งหมด แต่หากสำเร็จรางวัลที่ได้จากการทำภารกิจก็ย่อมสูงกว่าที่ได้จากกิลด์

 

ด้วยเหตุนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหากจะเห็นปาร์ตี้ที่มีชื่อเสียงออกจากกิลด์เพื่อมาก่อตั้งแคลนกันเอง

 

 

ข้อพิสูจน์นั้นก็เห็นได้จากตามท้องถนนของเมืองอิชกะที่ผู้คนสามารถหาแคลนได้มากกว่าร้อยแคลน

 

 

ถึงครึ่งหนึ่ง…ไม่สิ 70 เปอร์เซ็นต์ของแคลนพวกนี้จะได้แต่นั่งรอรับงานและไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยก็เถอะ

 

แต่อีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็สามารถหาเลี้ยงชีพตัวเองได้ไปวันต่อวัน ถึงจะมีหันไปทำพวกอาชญากรรมบ้างก็เถอะ จนเหลืออยู่แค่ 10 เปอร์เซ็นต์ที่ประสบความสำเร็จในการจัดการแคลนอย่างเหมาะสมได้

 

 

กิลด์นักผจญภัยสามารถก้าวข้ามพรมแดนของประเทศและดำเนินการต่างๆ ในระดับทวีปได้ เพราะพวกเขามีทรัพยากรบุคคลจำนวนมาก มีข้อมูลที่หลากหลาย และสร้างความเชื่อมโยงที่แน่นแฟ้นกับแต่ละกลุ่มอำนาจ ประวัติศาสตร์ที่พวกเขาสร้างขึ้นและความไว้วางใจนั้นมากมายกว่าประเทศที่เกิดขึ้นมาใหม่เป็นไหนๆ

 

 

ดังนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เหล่านักผจญภัยหน้าใหม่จะต้องเข้าไปร่วมกับกิลด์เสียก่อนเพื่อฝึกฝนตัวเอง

 

ส่วนพวกที่แยกออกมาจากกิลด์นั้นส่วนมากก็จะเป็นแนวไม่ค่อยพอใจกับค่าดำเนินการของทางกิลด์ที่เก็บจากภารกิจที่พวกเขาทำ ก็เลยออกไปสร้างแคลนกันเอง แต่สุดท้ายไม่ถึงปีพวกเขาก็ต้องก้มหน้าก้มตากลับมาหากิลด์อยู่ดี

 

 

ส่วนตอนนี้แผนการต่อสู้กับกิลด์อย่างสันติ (บทนำ) ของผมก็คือการรับภารกิจที่ถูกดองพวกนี้ที่องค์กรขนาดใหญ่อย่างกิลด์ไม่สามารถจัดการได้ เพื่อทำให้พวกผู้ว่าจ้างสงสัยในความสามารถของกิลด์ ส่วนหน้าที่ของผมก็คือขโมยความไว้วางใจนั่นแหละ

 

แต่แน่นอนว่ามันไม่ได้จบเพียงเท่านั้น จากนี้ไปต่างหากคือของจริง ไม่งั้นผมคงไม่แรกแผนอันนี้ว่าบทนำหรอกเนอะ ถ้าหากมีบทนำก็แน่นอนว่ามันต้องมีจุดพลิกผันแล้วก็ไคลแม็กซ์ใช่ไหมล่ะ

 

 

 

ถึงตอนแรกผมจะสามารถฉกฉวยเอาผู้ว่าจ้างมาจากทางกิลด์ได้เพียงไม่กี่คน แถมทางกิลด์ก็คงคิดว่าผู้ว่าจ้างเจ้าปัญหาที่เอาแต่ภารกิจยุ่งยากมาให้หายไปก็ไม่เห็นเป็นไร

 

 

 

จากมุมของพวกเขาแล้วการกระทำของผมไม่ได้ส่งผลเสียอะไรกับพวกเขาเลย มีแต่จะขอบคุณด้วยซ้ำ

 

 

แต่เอาเป็นว่าถึงแม้จะมีไม่กี่คน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เลือกผม แคลนดาบควันโลหิต แทนที่จะเป็นกิลด์ ส่วนนี้แหละที่สำคัญ

 

 

เริ่มจาก 0 ไป 1 แล้วก็ 1 ไป 2 ค่อยๆ เพิ่มไปทีละน้อยนี่แหละความสำคัญของแผนการ

 

 

เหมือนกับทุกสิ่ง ที่ตอนเริ่มต้นนั้นมันจะเป็นเรื่องยาก แต่พอเราผ่านมันไปได้ หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว

 

 

 

นอกจากนั้นวิธีการที่ผมจะทำให้ 1 กลายเป็น 2 ก็มีอยู่เยอะเลย ยกตัวอย่างก็….

 

 

 

ณ ถนนลูกรังที่เชื่อมระหว่างป่าทีทิสกับเมืองอิชกะ

 

 

พื้นแข็งซึ่งถูกเหยียบย่ำโดยเหล่านักผจญภัยและฮันเตอร์มาเป็นเวลาหลายปี ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น

 

ถึงตอนนี้สถานการณ์มันจะเปลี่ยนไปแล้วนิดหน่อยก็เถอะ

 

 

 

ระดับสายตาของผมที่มองเห็นสิ่งต่างๆ นั้นสูงกว่าปกติ -ตึก ตึก- ทุกครั้งที่เกิดแรงสั่นสะเทือนรุนแรงที่เขย่าร่างกายของผม การมองเห็นของผมก็จะสั่นตามไปด้วย

 

 

คนที่เดินผ่านไปมาก็ต่างจ้องมองก่อนจะอ้าปากค้างเมื่อเห็นสิ่งนี้ ฟุฟุฟุ ความสนใจของทุกคนหันมาที่ผมหมดแล้ว

 

 

 

ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะภาพของมนุษย์ที่กำลังขี่ไวเวิร์นอยู่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเห็นได้บ่อยๆ

 

จนถึงตอนนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่วางแผนไว้ ยกเว้นเรื่องหนึ่งที่ผมคาดไม่ถึง

 

 

 

「คึก..ม-มันไม่หยุดสั่นเลย..เจ้านี่…!」

 

 

 

「น-นายท่านคะ…อุ๊บ..ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย…」

 

 

คนที่กำลังนั่งอยู่ในสภาพสิ้นหวังอยู่บนอานนั่นก็คือผมกับชีลที่กำลังร้องไห้ออกมาขณะโอบเอวผมไว้แน่น ส่วนลูนามาเรียที่เดินอยู่บนพื้นมาตั้งแต่แรกก็พูดกับพวกผมด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง

 

 

 

「ไวเวิร์นเป็นสัตว์ที่เชี่ยวชาญในการบิน ก็ไม่แปลกหรอกนะคะที่การเดินบนพื้นดินของมันจะเป็นแบบนี้」

 

 

「ไอ้เข้าใจมันก็เข้าใจหรอก แต่คิดว่าถ้าใส่อานมันจะช่วยได้…อึก เหวอ!? 」

 

 

 

「น-นายท่าน เป็นอะ-ว๊ายย?!」

 

 

พอพวกเราทั้งสองคนที่อยู่บนอานเกือบจะกัดลิ้นตัวเองเพราะแรงสั่นสะเทือนลูนามาเรียก็ยิ้มออกมา

 

 

 

「ดีจังเลยนะคะ ที่ทั้งสองคนเข้ากันได้ดีขนาดนี้」

 

 

「โถ่เอ้ย หรือพวกเราควรจะบินเข้าไปใกล้กว่านี้อีกหน่อยดีนะ…ไม่สิถ้าทำแบบนั้นเดี๋ยวอาจจะโดนโจมตีจากพวกเครื่องยิงของป้อมก็ได้…」

 

 

หากพวกผมเข้าไปใกล้เมืองมากกว่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาต พวกยามอาจจะคิดว่านี่เป็นการโจมตีของพวกสัตว์อสูรจากป่าก็ได้ แล้วเรื่องมันอาจจะใหญ่โตจนกลายเป็นสงครามหากผมไม่ระวังให้ดี ดังนั้นผมถึงต้องมาลงจอดกันไกลจากเมือง

 

ก็เพราะแบบนี้แหละพวกผมเลยอยู่ในสภาพที่ต้องขี่เจ้านี่เดินไปที่เมืองแทน แต่ว่า…

 

 

「ตอนไปเขาสกิมกับทะเลสาปโทยะได้บินไปก็เลยคิดไม่ถึงเลยว่าการต้องมาขี่มันบนพื้นดินแบบนี้จะทรมานหนักเอาเรื่อง…」

 

 

-พุกิ้ว-… เจ้าไวเวิร์นตัวนี้เหมือนกำลังทำหน้าหงอยเพราะเสียใจเรื่องที่ผมเผลอบ่นออกมาเมื่อกี้

 

โถๆ เจ้าหนูนี่เป็นพวกอ่อนไหวเสียจริงนะ

 

 

「ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวจากนี้นายก็เก่งขึ้นเองแหละ ขนาดตอนบินนายก็ยังทำได้ดีกว่าครั้งแรกเลยนี่เนอะ!」

 

 

 

「กิ้ว? 」

 

 

“จริงเหรอ?” ไวเวิร์นเอียงศีรษะเหมือนกำลังจะถามผมว่าที่พูดนั่นจริงไหม ก็แน่นอนสิ ทำไมเจ้านี่มันไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเลยน้อ ทั้งที่ถ้าตั้งใจก็ทำได้สบายแท้ๆ

 

 

 

เฮ้ย เดี๋ยวสิเว้ย อย่าพ่นไฟออกมาตอนดีใจสิฟะ ถ้าคนที่อยู่บนกำแพงเห็นเข้าเดี๋ยวก็นึกว่าพวกเราจะบุกเมืองเอาหรอก

 

พอชีลเห็นผมกำลังปลอบไวเวิร์นอยู่เธอก็หัวเราะออกมา

 

 

「ว่าแล้วเชียว เจ้าไวเวิร์นตัวนี้เข้าใจคำพูดของนายท่านจริงๆ ด้วย แต่ทำไมมันถึงไม่ตอบสนองคำพูดของฉันบ้างนะคะ ไม่เข้าใจเลยค่ะ」

 

 

「บางทีพวกมันก็อาจจะมีลำดับชั้นในการปกครองหรือเปล่า เหมือนกับฉันอยู่ในลำดับสูงสุดรองลงมาก็ตัวมันเองอะไรทำนองนั้น」

 

 

「งั้นเหรอคะ สภาพของฉันตอนนี้คงจะต่ำต้อยกว่าเจ้านี่เยอะเลยสินะคะ…รู้สึกสภาพเหมือนเด็กใหม่ที่โดนรุ่งพี่ข่มให้อยู่เงียบๆ เลยค่ะ!」

 

 

ชีลพยักหน้ายอมรับความจริง ส่วนทางลูนามาเรียก็เสริมเรื่องที่เธอพูด

 

「นอกจากคนที่ไวเวิร์นคุ้นเคยด้วยแล้ว ก็มักจะถูกมองว่าเป็นอาหารของพวกมันเท่านั้นค่ะ ดังนั้นนอกจากคำพูดของนายท่านแล้ว บางทีมันอาจจะไม่เข้าใจหรือสนใจสิ่งที่คนอื่นพูดเลยก็ได้นะคะ」

 

 

「อื้มมม หากว่าตามนั้น…คำพูดของชีลก็เป็นเหมือนเสียงแมลงวันที่บินผ่านหูมันหรือเปล่านะ」

 

 

「จ-จะไม่เปรียบเทียบโหดร้ายเกินไปหน่อยเหรอคะ..แต่จะว่าไปฉันก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มันจ้องมองมาด้วยความอันตรายหลายทีเหมือนกันนะคะ..」

 

 

ร่างของชีลสั่นขึ้นมาแล้วกอดเอวของผมแน่นขึ้น เธอคงคิดว่าเธออาจจะโดนมันเล่นเอาก็ได้หากเผลอขึ้นมา

 

รอยยิ้มเกิดขึ้นบนใบหน้าของผมอย่างเป็นธรรมชาติเพราะวัตถุนุ่มนิ่มบางอย่างที่ชนหลังผมอยู่

 

 

 

แต่บอกว่าก่อนนะว่าไม่มีอะไรเกินนั้น ยังไม่ใช่กลางคืนด้วย ผมควบคุมตัวเองได้น่า

 

และก็ตามที่บอก พอถึงกลางคืนเมื่อไหร่ก็คงไม่ต้องถามหรอกมั้ง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องอย่างว่านะเอ้อ ผมกำลังพูดถึงเรื่องกินวิญญาณต่างหาก

 

เลเวลของผมตอนนี้คือ 8 ซึ่งมันขึ้นมาตอนที่ผมจัดการกับกริฟฟอนได้

 

 

แต่หลังจากนั้นนี่สิที่แย่สุดๆ ขนาดว่าผมกินวิญญาณที่แสนอร่อยของพวกสกิลล่า มนุษย์หมาป่า แล้วก็ยังกินของลูนามาเรียทุกคืนแท้ๆ เลเวลดันไม่เพิ่มขึ้นเลยซะงั้น หากเป็นนักผจญภัยทั่วไปเลเวลก็คงจะทะลุ 20 ไปนานแล้วมั้ง

 

ความรู้สึกมันเหมือนตอนแรก แค่กินวิญญาณไปประมาณ 1 แก้วเลเวลก็เพิ่มแล้ว แต่ครั้งต่อไปดันเป็น 1 ถัง และครั้งต่อไปก็ 1 ถังใหญ่ๆ ดูท่าปริมาณที่มันต้องการจะทวีคูณไปเรื่อยๆ เลยแฮะ

 

 

อย่างที่คิดแค่ลูนามาเรียคนเดียวนี่มันไม่พอจริงๆ ด้วย ทางชีลก็ไม่ได้ทำอะไรผิดจะมาให้ผมกินวิญญาณเธอมันก็ยังไงอยู่ ส่วนทางอิเรียก็ต้องใช้เวลาอีกสักพักเลย

 

 

ส่วนมิโรสลาฟหากติดต่อเธอเอาตอนนี้ก็จะเสี่ยงทำแผนล่มด้วย ดังนั้นก็คงจะไม่ไหว

 

ไม่รู้ว่าทางกิลด์นักผจญภัยจะส่งนักฆ่ามาสังหารผมด้วยไหมนะ

 

เพราะผมได้ยินมาว่ามีหน่วยลับที่ขึ้นกับทางกิลด์ด้วย หากพวกเขามีนักฆ่าที่เป็นผู้หญิงก็คงจะดี ผมจะได้จับเอามากินวิญญาณเหมือนที่เคยทำกับมิโรสลาฟก่อนหน้านี้

 

 

 

หรือมาถึงขั้นนี้แล้วผมจะเปลี่ยนเส้นที่ผมขีดเอาไว้ดีนะ?

 

 

ไม่สิ ไม่สมควรอย่างยิ่งถึงผมจะต้องการกินวิญญาณขนาดไหน แต่จะให้เอาคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาด้วยนี่ผมไม่เอาด้วยหรอก

 

จะว่าไปถึงจะไม่ใช่คนที่คิดร้ายต่อผม แต่ถ้าเป็นพวกที่มีความผิดหรือก่ออาชญากรรมก็คงไม่มีปัญหามั้ง

 

 

พูดง่ายๆ ก็หมายถึงพวกโจร ทาสอาชญากรที่ก่อเรื่องร้ายแรง ถ้าผมไปเล่นคนพวกนั้นผมก็คงจะไม่ถูกตำหนิโดยมโนธรรมของตัวเองหรอกเนอะ แถมยังได้กินวิญญาณสบายๆ ด้วย เดี๋ยวนะถ้าผมไปล่าพวกมันชื่อเสียงของผมก็เพิ่มขึ้นด้วยนี่นา แบบนี้มันยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะเนี่ย

 

 

จอมเวทในอดีตเคยกล่าวเอาไว้ว่าพวกคนร้ายไม่มีสิทธิมนุษยชนอยู่แล้วนี่นะ วิญญาณของพวกมันที่ก่อบาปเอาไว้ขนาดนั้นจะรสชาติเป็นยังไงกันนะ น่าสนใจจริงๆ

 

 

ระหว่างที่ผมคิดเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ

 

 

 

「ยะ-หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้!」

 

 

เสียงเตือนที่แฝงไปด้วยความตื่นตระหนกปลุกผมได้พ้นจากห้วงความคิด ก่อนที่ผมจะรู้ตัว ผมก็ถูกพวกทหารยามหน้าประตูเมืองล้อมเอาไว้หมดแล้ว

 

 

 

เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายที่พวกเขาบอกก็พวกผมนี่แหละ แต่แน่นอนว่าไม่มีใครชี้อาวุธมาทางผมเลยสักคนเนื่องจากรู้ถึงการมีอยู่ของเจ้าไวเวิร์นครามตัวนี้

 

 

 

นั่นไม่ใช่เพราะรู้ถึงวิธีการรับมือกับสัตว์ร้ายตัวนี้ แต่เป็นการระวังถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ขี่ไวเวิร์น

 

 

สำหรับพวกอัศวินมังกรแล้วกล่าวได้ว่าพวกเขาคือกองกำลังสำคัญของทางอาณาจักรคานาเรีย ไม่เพียงแค่พวกเขาเป็นยอดนักรบล่มทัพ แต่พวกเขายังเป็นชนชั้นสูงระดับสูงกันอีกด้วย โดยกัปตันของภาคีอัศวินมังกรนี้ถูกขนานนามว่า “ไรโค” ซึ่งเป็นผู้นำของตระกูลดยุกที่มีความสัมพันธ์กับทางราชวงศ์ ไม่สิหรือเขาจะเป็นว่าที่ผู้นำคนต่อไปนะ ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน

 

เอาเป็นว่า เนื่องจากอัศวินมังกรนั้นเป็นกลุ่มที่รวมตัวกันของชนชั้นสูง ทหารยามตัวนี้ก็เลยคาดว่าผมอาจจะเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้

 

 

ทั้งที่ยามเฝ้าประตูบางคนก็จำหน้าผมได้แท้ๆ แต่ก็น่าจะเพราะแรงกดดันจากไวเวิร์นเลยทำให้พวกเขาไม่ได้สนใจใบหน้าของผมเสียแล้วสิ

 

 

พอผมได้รับคำขอให้หยุดแบบนี้ ผมก็เลยต้องดึงบังเหียนเอาไว้ก่อนจะกระโดดลงจากอานบนหลังของมัน

 

 

ถึงมันจะค่อนข้างสูงจากพื้นไปบ้างแต่ผมก็ลงจอดถึงพื้นได้อย่างสวัสดิภาพ ก่อนจะเดินเข้าไปหาพวกยามเฝ้าประตู

 

 

「นี่ฉันเองโซระ หัวหน้าปาร์ตี้ดาบควันโลหิต ขอฉันเข้าไปในเมืองได้ไหม」

 

 

「กะ-ก่อนหน้าที่ฉันจะอนุญาต ไอ้เจ้าตัวนี้มันอะไรกันมังกรงั้นเหรอ?! น-นี่คุณก็เป็นหนึ่งในภาคีอัศวินมังกรเหรอ?? 」

 

 

「ไม่หรอก ฉันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นเลย ฉันก็แค่เจอไวเวิร์นนี่บาดเจ็บในป่าทีทิสก็เลยช่วยมันไว้ จากนั้นมันก็เกาะติดฉันมาตั้งแต่นั้นแหละ ถึงได้จำเป็นต้องเอามันมาลงทะเบียนไว้กับเมืองในฐานะสัตว์อสูรรับใช้」

 

 

 

「ม-มันจะไม่อาละวาดออกมาใช่ไหม? 」

 

 

「แล้วคุณคิดว่าไวเวิร์นที่เป็นศัตรูกับมนุษย์จะยอมให้มนุษย์ขี่หลังมันหรือเปล่าล่ะ หากพวกคุณไม่แสดงท่าทางเป็นศัตรูกับมันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แล้วก็อย่าเอาหอกไปชี้มันเป็นอันขาดนะ ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน」

 

 

ผมบอกพวกยามที่เหลืออยู่ด้วยเสียงอันกึกก้อง ดูแล้วก็อดขำไม่ได้แฮะที่เห็นพวกยามสุดแกร่งพวกนี้ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า

 

อ้อใช่ เรื่องสัตว์อสูรรับใช้ก็ตามความหมายของมันเลย มันคือสัตว์อสูรที่เชื่องกับมนุษย์แล้ว ซึ่งก็เห็นได้เป็นปกติกับพวกสัตว์อสูรไม่ก็สัตว์ร้ายในป่าแหละนะ พวกเขาจะพยายามฝึกพวกมันด้วยวิธีการอย่างแส้กับแครอท (เชื่องก็ชมทำไม่เชื่องก็ฟาด) กันซะส่วนใหญ่ บางกรณีที่เห็นได้บ้างก็พวกของอย่างการใช้เวทมนตร์ฝึก

 

ผมได้ยินมาว่าการลงทะเบียนสัตว์อสูรรับใช้นี่เข้มงวดพอตัวเลย แต่ก็เอาเถอะสำหรับผมแล้วไม่น่ามีอะไรต้องกังวล

 

ยังไงเป้าหมายแต่แรกของผมก็คือการเปิดเผยว่าผมมีเจ้านี่ต่อหน้าสาธารณชน

 

 

หากการขโมยผู้ว่าจ้างของทางกิลด์คือบทนำ แผนของผมที่ทำให้ผู้คนรู้ถึงตัวตนของไวเวิร์นที่มีหัวหน้าแคลนอย่างผมซึ่งเป็นอัศวินมังกรไร้สังกัดก็คือจุดพลิกผัน

 

ข่าวของอัศวินมังกรที่ไร้สังกัดจะกระจายออกไปทั่วเมืองอิชกะราวกับไฟลามทุ่งแน่นอนว่ารวมไปถึงทั่วอาณาจักรคานาเรียด้วย

 

พวกเขาจะต้องมาตามสืบหาอัศวินมังกรคนนั้นที่ถูกไล่ออกมาจากกิลด์และเริ่มก่อตั้งแคลนของตนแทน

 

หากเป็นไปตามที่ผมวางแผนไว้ ความโง่เง่าของกิลด์มาสเตอร์เมืองอิชกะก็จะเป็นที่รู้จักกันทั่วทุกหนแห่ง

 

 

ก็จริงอยู่ว่าตัวผมในอดีตที่ถูกไล่ออกมานั้นได้ละเมิดกฎที่กิลด์ตั้งไว้และเป็นเพียงเศษสวะ แต่หากเอลการ์ดพูดออกไปแบบนั้นไม่ว่าใครก็ต้องมองว่าเป็นการแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

 

 

กิลด์มาสเตอร์เมืองอื่นก็จะต้องขอให้เอลการ์ดรับผิดชอบกับความผิดพลาดนี้ ทั้งที่เอลการ์ดควรจะคว้าตัวอัศวินมังกรคนนี้ไว้ให้สุดความสามารถแท้ๆ ดังนั้นผลที่ออกมาจึงไม่มีอะไรนอกเสียจากความผิดพลาดของเขาล้วนๆ

 

 

กิลด์นักผจญภัยไม่ใช่องค์กรการกุศล สิ่งที่มีค่าสำหรับองค์กรคือความแข็งแกร่ง หากได้อัศวินมังกรเข้ามาร่วม ภารกิจที่พวกเขาสามารถรับได้ก็จะไม่ถูกจำกัดด้วยภูมิประเทศอีกต่อไป พวกเขาสามารถไปทั้งป่าทึบ เขาสูงได้อย่างสบายๆ และหากนึกถึงความเร็วของไวเวิร์นด้วยแล้ว พวกเขายังสามารถทำภารกิจช่วยเหลือฉุกเฉินได้อีกด้วย

 

แต่กิลด์นักผจญภัยเมืองอิชกะกลับทิ้งความเป็นไปได้นั้นไป

 

 

ยิ่งผมทำหน้าที่ในฐานะของอัศวินมังกรมากขึ้นเท่าไหร่ ความโง่เง่าของกิลด์นักผจญภัยก็จะโผล่มาให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น

 

 

..พอถึงตอนนี้ผมก็ดันจำคำพูดของพนักงานต้อนรับอย่างลิดเดลได้เฉยเลย

 

 

 

 

“ไม่ว่าจะเป็นนักผจญภัยหรือพนักงานของกิลด์ หากมีความเกี่ยวข้องกับทางกิลด์แล้ว พวกเขาก็จำเป็นต้องทำงานให้กับเมืองอิชกะ ถึงจะกลายเป็นบุคคลที่มีค่ากับเมืองนี้”

 

 

คำพูดของเธอก็ถูกจริง ถึงผมจะถูกไล่ออกมาจากกิลด์แล้วก็เถอะ แต่ในฐานะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองหน้า ผมก็จะขอทำตามหน้าที่พลเมืองที่ดีหน่อยแล้วกัน

 

ผลที่ได้คือสาวๆ พวกนั้นก็ไม่น่าจะบ่นอะไรกับผมได้ถึงจะไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของกิลด์ก็เถอะ ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะผมกำลังทำประโยชน์และแสดงคุณค่าที่มีอยู่ต่อเมืองอิชกะเหมือนกันยังไงล่ะ

 

เพื่อรักษาหน้าและผลประโยชน์ที่เหลืออยู่ ไม่มีทางที่พวกเขาจะออกหน้ามาขัดขวางผมได้โดยตรงแน่

 

 

 

ต้องบอกว่าพวกเขาไม่มีทางทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นได้มากกว่า

 

 

 

―― หึหึหึ เสียงหัวเราะในลำคอของผมดังขึ้นมาเล็กน้อย

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน