ตอนที่ 69 การล่มสลายของดาบฮายาบูสะ
「นี่เป็นข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้เลยนะ มาสเตอร์เอลการ์ด อันที่จริงถึงไม่ต้องบอกคุณก็น่าจะเข้าใจดีอยู่แล้วนี่เนอะ ก็เป็นถึงนักผจญภัยระดับ 1 มันจะไม่รู้ไปได้ยังไงกัน」
ในวินาทีที่เธอได้ยินเสียงเหน็บแนมนี้ออกมา ลิดเดลที่ยืนอยู่ข้างหลังเอลการ์ดก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความโมโห
โมโหเสียจนเธอเกือบจะพูดอะไรออกมาโดยไม่ทันคิด แต่พอเธอนึกถึงสถานะของอีกฝ่ายแล้ว เธอก็จำเป็นต้องหยุดปากตนเอาไว้ก่อน
เอลการ์ดเป็นกิลด์มาสเตอร์สาขาเมืองอิชกะ ส่วนคนที่อยู่ในห้องนี้อีกคนก็คือกิลด์มาสเตอร์สาขาฮอรัส (สาขาเมืองหลวงคานาเรีย)
เซอร์เกร ยูริ เขาเป็นชนชั้นสูงที่มีความสามารถซึ่งได้นั่งในตำแหน่งของกิลด์มาสเตอร์แม้จะอายุเพียง 20 ปี
ลิดเดลเกรงว่าหากเธอเข้าไปแทรกระหว่างการสนทนาของกิลด์มาสเตอร์ทั้งสอง เธออาจจะมีปัญหาเอาก็ได้ สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจอยู่เงียบๆ
ไม่รู้ว่าเซอร์เกรรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ภายในใจอยู่หรือเปล่า เขาจึงได้พูดสิ่งที่แทงใจดำพวกเธอต่อ
「เพราะท่านได้ปล่อยให้นักผจญภัยผู้สามารถเทมมังกรหลุดมือไปได้ จนทำให้เขาต้องสร้างแคลนอิสระขึ้นมาแทน นอกจากนี้เหล่าผู้ว่าจ้างที่แสนสำคัญของทางเราก็ถูกพรากไปด้วย ท่านรู้บ้างหรือเปล่า? นักผจญภัยที่ชื่อว่าโซระน่ะ สามารถผูกสัมพันธ์กับตระกูลดรากูนอทที่เมืองหลวงได้สำเร็จ นอกจากนี้ยังมีข่าวลือด้วยว่า บุตรสาวของดยุกดรากูนอท ท่านคลอเดียจะย้ายมาอยู่กับพวกเขาในอนาคตอันใกล้ด้วย หากจะมองในมุมที่ว่าพวกเขาตั้งใจจะแต่งงานกัน ก็ไม่มากเกินเลย」
การหมั้นหมายระหว่างคลอเดีย ดรากูนอทกับมกุฎราชกุมารถูกยกเลิกเนื่องจากคำสาปที่เธอได้รับ แน่นอนว่าสถานะทางสังคมชนชั้นสูงของเธอก็ย่อมถูกลดลง
แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนสิ่งที่ว่าเธอเป็นบุตรสาวของดยุกดรากูนอทไปได้
ยังมีเหล่าชนชั้นสูงอีกเป็นจำนวนมากที่ใฝ่ฝันอยากจะได้คลอเดียมาครอง โดยเฉพาะชนชั้นสูงระดับกลางและล่าง ตัวเซอร์เกรเองก็เป็นหนึ่งในนั้นจึงเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดี
การกระทำของดยุกที่ฝากลูกสาวของเขาไว้กับชายโสดแบบนี้มันก็เป็นการสื่อถึงเจตนาที่ชัดเจนอยู่แล้ว
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าตัวเขามองที่ตัวตนของโซระจริงๆ หรือแค่ต้องการอัศวินมังกรไร้สังกัดเข้ามาในตระกูล
แต่ไม่ว่าจะทางไหน ก็เห็นได้ชัดว่าตัวดยุกกล้าจะลงทุนต่อโซระและประเมินค่าเขาสูงมาก
「แต่ท่านกลับโยนคนแบบนี้ทิ้งไป มาสเตอร์เอลการ์ด ท่านไม่รู้เลยจริงหรือว่าเขาเป็นคนที่มีความสำคัญมากกับกิลด์ขนาดไหน」
「ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องนี้และรู้ดีว่าต้องรับผิดชอบ อย่างที่มาสเตอร์เซอร์เกรกล่าว」
「มันก็แน่อยู่แล้ว ที่สำคัญคือท่านจะชดเชยความผิดพลาดของตนแบบไหนกันล่ะ? โซระที่ท่านทิ้งเข้าไปน่ะมีความรู้สึกไม่ดีกับทางกิลด์นักผจญภัยด้วย ในกรณีที่เลวร้ายสุด พวกเราอาจจะเปลี่ยนตระกูลดรากูนอทซึ่งเป็นชนชั้นสูงระดับสูงแห่งอาณาจักรเป็นศัตรูด้วยก็ได้ มันเป็นความผิดพลาดที่แสนจะรุนแรงจริงๆ นอกจากนี้เราก็ยังมีเรื่องของดาบฮายาบูสะที่ต้องจัดการอีก」
นี่คือเรื่องหลักที่เซอร์เกรอยากจะพูดถึงมาตั้งแต่แรก จากนั้นดวงตาของเขาก็เริ่มเป็นประกายขึ้น
เอลการ์ดก็ได้แต่หรี่ตาเล็กน้อย ส่วนทางลิดเดลก็เม้มรืมฝีปากตน
ดาบฮายาบูสะ――ปาร์ตี้ของเด็กรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วเมืองอิชกะ
แต่ตอนนี้ข่าวลือที่ว่าปาร์ตี้ของพวกเขากำลังจะถูกยุบนั้นได้แพร่กระจายออกไปทั่วแล้ว ราวกับว่ามันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
「ดาบฮายาบูสะ ล้มเหลวในการกำจัดกริฟฟอนซึ่งได้รับมอบหมายมาจากท่านเอลเบ ซึ่งผู้นำปาร์ตี้ของพวกเขาได้หนีกลับมายังเมืองอิชกะโดยปล่อยให้ลูกสาวของบริษัทซัลซ่ารับมือกับมอนสเตอร์บนเขาตามลำพัง โดยผู้ที่ทำการช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ก็คือ โซระ นอกจากนี้ผมยังได้ยินมาว่าหัวหน้าปาร์ตี้ดาบฮายาบูสะเป็นผู้ขอร้องกับตัวโซระเองในวันที่เขากลับมาจากเมืองหลวง แน่นอนว่าทางโซระก็รีบไปช่วยเธอในทันทีช่างเป็นการกระทำที่น่ายกย่องจริงๆ แล้วทางกิลด์มาสเตอร์สาขาเมืองอิชกะกำลังทำอะไรอยู่กัน เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องบอกผมก็ได้ จากภาพที่เห็นมันก็ชัดแล้วว่าคุณไม่มีความใส่ใจที่จะส่งทีมกู้ภัยออกไปเลยแม้แต่น้อย」
「――ได้โปรดฟังก่อนค่ะ! พวกเราได้ทำการจัดทีมกู้ภัยแล้วนะคะ!」
จู่ๆ ลิดเดลก็เข้ามาขัดการสนทนาของทั้งสองราวกับทนไม่ไหว แต่ทางเซอร์เกรก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร
เขาทำเพียงแค่ส่ายหน้าไปมา
「จัดทีมกู้ภัยงั้นเหรอ? แบบนั้นดูจะไม่ถูกต้องนักนะ คุณลิดเดล คุณบอกว่าพยายามจะจัดทีมขึ้นมาแล้ว แต่ภาพที่ผมเห็นความรวดเร็วของมันคงไม่ทันการเป็นแน่ ก็ไม่ได้อยากจะเปรียบเทียบความเร็วของนักผจญภัยธรรมดากับอัศวินมังกรอย่างโซระหรอกนะ แต่หากคุณบอกแบบนั้น ทางสาขาอิชกะก็น่าจะรู้เรื่องพวกนี้ก่อนที่โซระจะกลับมาจากเมืองหลวงใช่ไหม แล้วทำไมพวกคุณถึงทำอะไรเชื่องช้ากว่าเขาได้ขนาดนี้กันล่ะ ว่ามาสิ มีอะไรที่ผมพูดผิดไปหรือเปล่า? 」
「เรื่องนั้น…!」
「มาสเตอร์เอลการ์ด ท่านประธานซัลซ่าโกรธมากเลยนะพอได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ทางผมก็ไม่แปลกใจหรอก ก็กะเล่นทิ้งลูกสาวของเขาไว้ให้ตายกลางเขานี่นา ทางเราได้รับเงินสนับสนุนมาจากบริษัทซัลซ่าค่อนข้างมากนะ แต่ทำไมถึงยังมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อีก จริงสิก่อนหน้านี้ผมได้ไปยังที่พักของท่านเอลเบมาแล้วด้วย ทางเขาก็ไม่พอใจเหมือนกันนะรู้หรือเปล่า ก็นะหากเป็นผมก็คงจะไม่พอใจเหมือนกันที่นักผจญภัยที่รับภารกิจไปถูกช่วยเหลือโดยโซระ และคนที่สังหารกริฟฟอนก็ยังเป็นโซระซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับกิลด์อีก นอกจากนี้เขายังได้ทำการสบประมาทพวกเราด้วยการพูดทิ้งท้ายว่า “หึ กิลด์นักผญภัยมันเป็นองค์กรที่ขาดความรับผิดชอบและไร้ฝีมือได้ถึงเพียงนี้เลยสินะ”」
หลังจากพูดจบ เซอร์เกรก็มองเข้าไปในดวงตาของเอลการ์ดอย่างผู้มีชัย
「ผมก็ไม่ทราบหรอกนะว่าท่านรู้บ้างไหม ที่สมาชิกของดาบฮายาบูสะบางคนเข้าร่วมกับแคลนของโซระ――ที่ชื่อว่าดาบควันโลหิตน่ะ นั่นมันไม่ทำให้เราเสียหายไปยิ่งกว่าเดิมเหรอ บาดแผลชักจะลึกเกินไปแล้วนะ อันที่จริงท่านก็คงจะทราบดีอยู่แล้วเพราะขนาดสำนักงานใหญ่ที่อยู่ในนครศักดิ์สิทธิ์ยังรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเลยนี่นาและพวกเขาก็มองว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ด้วย มาสเตอร์เอลการ์ด ถึงท่านจะเป็น 1 ใน 3 นักผจญภัยระดับ 1 ของอาณาจักรนี้ แต่ท่านก็ไม่สามารถหลีกหนีบทลงโทษที่จะตามมาได้หรอกนะ จากเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ใจจริงผมก็อยากจะช่วยปิดไว้ให้มิดอยู่หรอก แต่จะให้โกหกกับทางสำนักงานใหญ่ก็ไม่ได้ด้วย ดังนั้นอย่าคาดหวังอะไรดีๆ นักล่ะ」
◆◆◆
「ลิดเดลคุง อย่าเอาแต่ทำหน้าบึ้งแบบนั้นสิ ภาพลักษณ์ที่ดีๆ ของเธอจะเสียหมดนะรู้ไหม? 」
「ไม่ได้ทำหน้าบึ้งสักหน่อยค่ะ มาสเตอร์!」
ลิดเดลบ่นออกมาทันทีหลังจากเอลการ์ดหยอกล้อเธอเล่น
เซอร์เกรก็ออกจากที่นี่ไปแล้ว ดังนั้นจึงเหลือเพียงแค่เอลการ์ดกับลิดเดลอยู่ในห้อง
「 ให้ฉันบ่นสักหน่อยเถอะค่ะ ทำไมท่าทางการพูดของมาสเตอร์เซอร์เกรถึงได้หยาบคายขนาดนั้นกันคะ แถมเขาก็ไม่ควรจะมายุ่งย่ามอะไรกับท่านเลยแท้ๆ ทั้งที่เรื่องอันเดธโจมตีเมืองหลวงยังไม่สะสางให้ดี นี่แยกแยะว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญไม่ออกหรือไงนะ! 」
「ฮ่ะๆ ถ้าฉันปล่อยให้เธอเป็นคนคุยแทน ถึงจะเป็นมาสเตอร์เซอร์เกรก็คงรับไม่ไหวมั้งเนี่ย เอาเถอะฉันก็ไม่คิดจะปฏิเสธอะไรหรอก เพราะหมอนั่นก็กวนประสาทจริงๆ นั่นแหละ」
เอลการ์ดยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ตรงกันข้ามกับเอลการ์ดที่สร้างชื่อขึ้นมาด้วยความสามารถในฐานะนักผจญภัย เซอร์เกรนั้นไม่ได้มีผลงานหรือความสำเร็จด้านนี้เลยแม้แต่น้อย
ความสามารถของเขานั้นก็ไม่ใช่ ในฐานะนักผจญภัยแต่แรกอยู่แล้ว แต่เป็นความสามารถตอนอยู่บนโต๊ะเจรจาต่างหาก
เขามีความสำเร็จในด้านนี้อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการต่อรองกับพวกชนชั้นสูง การเจรจากับองค์การอื่นๆ การหาผู้สนับสนุนองค์กร นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขาได้รับเลือกให้เป็นกิลด์มาสเตอร์สาขาฮอรัสแม้อายุยังน้อย
แต่ก็เพราะแบบนั้นเองเขาจึงไม่ได้เข้าใจความหมายของการเป็นนักผจญภัยที่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ข้างหน้าและชื่อเสียงของเขาต่อพวกนักผจญภัยก็ไม่ค่อยดีนัก
เซอร์เกรเองก็น่าจะรู้ตัวเองดี ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะปิดบังความไม่เป็นมิตรต่อเอลการ์ดซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะนักผจญภัยและเป็นที่ชื่นชอบของนักผจญภัยคนอื่นเลยสักนิด
「แต่สิ่งที่เขาพูดส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโซระจริงๆ ช่วยไม่ได้หรอกที่ฉันจะถูกมองว่าเป็นคนสร้างปัญหาขึ้นมา」
「แต่การขับไล่เขาออกจากกิลด์ตอนนั้นก็เป็นไปตามกฎนี่คะ ท่านอย่าโทษตัวเองเลย!」
ถึงโซระจะสามารถสร้างชื่อให้กับตนได้หลังจากนั้น แต่มันก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาฝ่าฝืนกฎของกิลด์และถูกไล่ออกตามระเบียบ นั่นคือสิ่งที่ลิดเดลคิด
แต่คนอย่างเซอร์เกรที่พยายามจะฉุดเอลการ์ดลงจากเก้าอี้ย่อมไม่คิดเช่นนั้น กลับกันเขาไม่สนใจที่จะรับรู้หรือฟังด้วยซ้ำ นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้เธอโมโห
เหตุการณ์เรื่องของดาบฮายาบูสะก็ไม่ใช่ความผิดของเอลการ์ดเช่นเดียวกัน พวกเขารับภารกิจในการจัดการกริฟฟอนด้วยความตั้งใจเขาเอง นอกจากนี้ลูกสาวของตระกูลซัลซ่า――มิโรสลาฟก็เป็นคนเลือกจะอยู่บนเขาต่อเอง สมาชิกที่ถอยกลับมาก็เป็นคนมาแจ้งถึงเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ตัวเธอที่ได้รับการช่วยเหลือหลังจากนั้นด้วยไวเวิร์นก็มายืนยันเอง
กระนั้นเสียงวิจารณ์ตัวเอลการ์ดที่ทำพลาดไปก็ไม่ลดลง ถึงลิดเดลอยากจะหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อช่วยเขา แต่เธอก็ไม่มีไพ่อะไรในมือเลย
ลิดเดลจึงได้ขอตัวออกจากห้องไปขณะที่คิ้วของเธอขมวด
ด้วยเหตุนี้เอง เหล่าเพื่อนร่วมงานของเธอเลยไม่อยากจะเข้าใกล้เธอเท่าไรนักแม้ว่าเธอจะกลับมาทำงานที่ตำแหน่งของตน
ส่วนพาร์เฟทที่ปกติจะต้องพูดว่า “รุ่นพี่คะ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ! มันน่ากลัวนะคะ!” ก็เอาแต่ก้มหน้าอยู่ที่โต๊ะทำงานของตนโดยไม่ได้สนใจเลยว่าลิดเดลผ่านเธอไป
พาร์เฟทเป็นคนที่ดูแลปาร์ตี้ดาบฮายาบูสะ แน่นอนว่าเธอย่อมเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความวุ่นวายในครั้งนี้ สภาพร่างกายและจิตใจของเธอจึงทรุดโทรมไม่ต่างกันนัก
ระหว่างที่ลิดเดลกำลังทำงานหลักของเธอบนโต๊ะ เธอก็พลางนึกถึงสถานการณ์ที่ดาบฮายาบูสะต้องเจอไปด้วย
มิโรสลาฟก็ถอนตัวออกจากกิลด์แล้วไปเข้าร่วมกับดาบควันโลหิต ไม่ต่างกับลูนามาเรีย
ส่วนทางราส แม้เขาจะไม่ได้ออกจากกิลด์แต่เขาก็บอกกับพวกนั้นว่า “ฉันจะกลับไปที่บ้านเกิดแล้วเริ่มต้นทุกอย่างใหม่” ซึ่งก็เหมือนการบอกกลายๆ ว่าเขาจะหยุดพักจากการเป็นนักผจญภัยแล้ว
จากที่เธอทราบเหมือนเขาตั้งใจจะกลับไปที่หมู่บ้านเมลเทและใช้เวลาอยู่ที่นั่นสักพัก
ทางพาร์เฟตก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อขอให้ราสอยู่ต่อ แต่สภาพของเธอในตอนนี้ก็น่าจะเห็นชัดแล้วว่าล้มเหลวแน่ๆ
ดังนั้นสมาชิกของดาบฮายาบูสะที่เหลืออยู่ก็มีเพียงอิเรีย
แต่หากตัดสินจากนิสัยปกติของอิเรียแล้ว ก็เป็นเรื่องที่เกินคาดเหมือนกันที่เธอขอแยกตัวกับราสและเป็นนักผจญภัยต่อ
――สภาพของดาบฮายาบูสะในตอนนี้ก็เหมือนกับถูกยุบไปแล้วนั่นเอง
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code