การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 124 ทายาทสืบทอด

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 124 ทายาทสืบทอด

 

 

 

เสียงระฆังขนาดใหญ่ดังขึ้นกึกก้องทั้งในและนอกเมืองชูโตะ

 

ตลอดระยะเวลา 13 ปีตั้งแต่ผมเกิดและอาศัยอยู่ภายในเกาะแห่งนี้ สัญญาณเตือนภัยดังกล่าวไม่เคยจะดังได้ขนาดนี้มาก่อนเลย

 

 

 

มันก็ชัดเจนอยู่แล้วนี่เนอะว่าต้นเรื่องต้องเป็นเพราะแรงระเบิดที่ดังลั่นก่อนหน้านี้ แถมจนถึงตอนนี้เสียงนั่นก็ยังดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าร้องแผ่นดินไหวเป็นระยะๆ จากทางทิศตะวันตกปนกับเสียงระฆังอยู่เลย

 

 

ในกรณีที่เลวร้ายสุดทางทิศตะวันตกของเมืองชูโตะน่าจะไม่เหลือซากจากแรงระเบิดนั่นไปแล้ว

 

แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมันได้ดึงความสนใจของเหล่านักรบธงแห่งผืนป่าไปหมดแล้ว

 

สำหรับผมที่ครอบครองสายตาของพวกเขาก่อนหน้านี้เอาไว้ รู้สึกเหมือนอยู่ดีๆ จากตัวเองก็ปลายเป็นตัวประกอบซะงั้น

 

 

พูดตามตรงว่าผิดหวังนิดหน่อยแฮะ เพราะการได้รับความสนใจจากพวกที่ไม่เคยเห็นหัวผมเลยในอดีตมันค่อนข้างบันเทิงพอสมควร นั่นเลยเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ผมไม่ได้ฆ่าแมงมุมดินในทันที

 

 

 

 

「เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้มันเกิดไป」

 

 

 

 

ผมพูดแล้วยิ้มออกมาก่อนจะหันไปมองมวลของกลุ่มก้อนเมียสม่าที่ดิ้นไปมาตรงหน้าผม

 

มันคือซากของแมงมุมดินที่ตายไปแล้ว โดยมันถูกปิดฉากด้วยดาบของผมซึ่งแทงเข้าไปในดวงตาสีแดงของมัน แน่นอนว่าเมื่อมันใช้เมียสม่าปกคลุมร่าง ร่างกายของมันตอนนี้ก็เลยไม่เหมือนเดิมเท่าไหร่ ถ้าจะให้พูดก็คล้ายก้อนกลมๆ สีดำ

 

 

 

ในวินาทีที่ผมแทงปลายดาบลงไปที่ก้อนกลมๆ นั่น เสียงร้องของมันดังขึ้นราวกับเสียงที่เหมือนโลหะเสียดสีกันบริเวณปากของมัน――ก่อนจะเงียบไปในที่สุด

 

 

 

เอาเป็นว่าเรื่องของแมงมุมดินก็จบแค่นี้แหละ

 

สรุปคือผมก็น่าจะผ่านพิธีทดสอบของผู้ใช้มายาดาบเดียวแล้วนะ

 

 

 

จากนี้ก็ขออิ่มเอมกับความสำเร็จสักหน่อยแล้วกัน

 

 

 

ก็อย่างที่ผมได้บอกตอนอยู่ในโถงประชุมไป ผมไม่ได้สนใจจะมาเข้าร่วมกับสำนักมายาดาบเดียว แล้วก็ไม่อยากจะรื้อฟื้นสัมพันธ์อะไรเมื่อ 5 ปีก่อนด้วย

 

 

สถานที่ที่เมื่อ 5 ปีก่อนผมถูกนักรบเขี้ยวมังกรฟันดาบไม้จนปลิวไปในครั้งเดียว ความสิ้นหวังที่ผมเห็นบนฝ่ามือของตัวเองยังติดตาอยู่เลย

 

 

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กี่ครั้งกันนะที่ผมเผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันถึงมัน

 

ในที่สุดฝันร้ายนี้มันก็หายไปได้สักที

 

ถ้าไม่มีคนอยู่รอบๆ ผมคงชูกำปั้นแล้วโห่ร้องออกมาแล้ว

 

 

 

ดังนั้นตอนนี้ก็เอาไว้ก่อนแล้วกัน ผมพ่นลมหายใจออกมาจากปากเบาๆ นี่แหละอารมณ์ที่อัดอั้นมานาน

 

 

ไม่นานนัก หน่วยที่ทำการเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์ของทางตะวันตกก็รีบวิ่งเข้ามาคุกเข่ารายงานต่อหน้าผู้นำตระกูลด้วยเสียงดังลั่น

 

 

 

 

「ขออภัย! จากรายงานที่ได้ตอนนี้กำแพงทางตะวันตกได้พังทลายลงหมดแล้วครับ!」

 

 

 

เมื่อได้ยินรายงานดังกล่าวเหล่านักรบธงแห่งผืนป่าก็ถึงกับสั่นสะท้าน

 

 

 

กิลมอร์ที่ได้ยินเองก็ถาม แทนผู้ที่สงสัยทุกคนในที่นี้

 

 

 

 

「พังทลายที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไร? มันไม่ใช่กำแพงบางส่วนงั้นหรือ? 」

 

 

「ไม่ครับมันพังทลายลงทั้งหมด! หากท่านได้ขึ้นไปดูจากหอสังเกตการณ์ตรงนี้ ก็น่าจะเห็นได้ไม่ยาก!」

 

 

 

「ว่าไงนะ?!」

 

 

「หากพวกเราไม่รีบนำกำลังเสริมเข้าช่วยเหลือ พวกเราอาจจะต้องได้รับมือกับพวกมอนสเตอร์นอกเมืองชูโตะอีกหลายกลุ่มแน่นอน ท่านผู้นำขอคำสั่งด้วยครับ――」

 

 

ในขณะที่ผู้ส่งสารกำลังรอคำสั่งจากผู้นำตระกูล

 

 

「คึก?!」

 

เสียงแห่งความประหลาดใจก็หลุดลอดออกมาจากปากของพวกหัวหน้าหน่วยและกิลมอร์

 

 

 

เพราะคราวนี้เสียงระเบิดรุนแรงที่เหมือนกับฟ้าผ่า ได้ดังขึ้นมาอีกครั้งและเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นไม่ต่างจากตอนแรก แต่คราวนี้มันดังขึ้นมาจากทางทิศเหนือ

 

 

จากนั้นทางทิศตะวันออกก็ไม่ต่างกัน

 

 

แค่นี้มันก็ชัดแล้วว่าเมืองชูโตะในตอนนี้ถูกภัยคุกคามระดับทำลายล้างสูงบุกถึง 3 ทางในเวลาอันสั้น

 

 

 

หากมองไปด้านนอกคฤหาสน์ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองก็จะเห็นได้ว่า รอบนอกเกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาแล้ว และมันไม่ใช่สิ่งที่จะซ่อมแซมได้ในชั่วข้ามคืน

 

 

อีกทั้งเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติด้วย ก็หมายความว่าเป็นฝีมือของใครบางคนที่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

 

 

แค่ทำลายกำแพงลงได้แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรกัน แน่นอนว่าทุกคนภายในที่นี่ไม่คิดแบบนั้นเลยสักนิด

 

 

เพราะเมื่อกำแพงทั้งทางทิศตะวันตก ตะวันออก เหนือ ถูกทำลายลง ฝูงของพวกมอนสเตอร์ที่อยู่บนเกาะก็จะวิ่งเข้ามาโจมตีเมืองจากทุกทาง

 

 

พอเห็นแบบนี้เหล่าหัวหน้าหน่วย 2 ถึง 8 และรองหัวหน้าหน่วยก็รีบออกไปประจำตำแหน่งของตนในทันที โดยพวกธงระดับสูงก็จะถูกแบ่งไปทำหน้าที่ตามเหมาะสม

 

 

 

หากเป็นเหล่าผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณพวกนี้ แม้กำแพงป้องกันเมืองจะพังทลายลง พวกเขาก็คงสามารถเผชิญหน้ากับพวกมอนสเตอร์ได้อยู่ดี นี่แหละคือความสามารถของคนบนเกาะและความหมายในการคงอยู่ของพวกเขา

 

 

ตระกูลมิตสึรุกิไม่มีทางที่จะจบลงเพราะเรื่องแค่นี้แน่ ถึงมันจะเป็นหายนะที่ครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตั้งแต่เมื่อ 300 ปีก่อนก็ตาม

 

 

――หลังจากมองดูพวกเขาออกไปกันแล้วก็ได้เวลาของผมบ้างแล้วสิ

 

 

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น ผมก็เก็บดาบของตัวเองเข้าฝักที่เอวไป

 

 

เพราะงานของพวกธงแห่งผืนป่าก็คือการปกป้องเมืองชูโตะ ทางผมที่ไม่มีความเกี่ยวของอะไรได้ก็ไม่เห็นจะต้องสนใจ แถมไม่อยากจะสนอยู่แล้วด้วย

 

 

ยังไงตอนนี้ผมก็เอาชนะแมงมุมดินลงได้เพื่อเป็นการพิสูจน์พลังตัวเองแล้ว เหตุผลที่จะอยู่เมืองนี้ต่อก็ไม่มี เอาเป็นว่ากลับอิชกะเลยแล้วกัน

 

 

แถมผมไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับหลุมฝังศพของแม่ผมด้วย เพราะไม่ว่าผู้บุกรุกจะเป็นใคร แต่ตราบใดที่มีนักบุญดินอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ตระกูลมิตสึรุกิก็จะไม่มีวันแพ้พ่าย หลุมฝังศพของแม่ผมก็จะปลอดภัย

 

 

นอกจากนี้หากศัตรูมันมีพลังพอจะตบนักบุญดาบได้จริง หน้าอยากผมตอนนี้มันจะไปทำอะไรได้กันล่ะ ดังนั้นจะแบบไหนอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์

 

 

หากมีเวลามาคิดว่าตรงนี้เกิดอะไรขึ้นกันนะ สู้เอาเวลาไปกังวลเรื่องขากลับดีกว่า ในสถานการณ์แบบนี้เรือข้ามฟากก็ไม่น่าจะมีด้วยสิ หรือผมต้องวิ่งข้ามทะเลไปเองดี ถึงจะเป็นครั้งแรกที่ได้ลองแต่ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าท้าทายเหมือนกัน

 

 

 

ขณะที่ผมกำลังจะออกจากลานประลองไป ก็มีเสียงเรียกมาหยุดผมเอาไว้

 

 

 

 

 

 

「――อย่าขยับนะ โซระ」

 

 

 

 

ผมรู้ได้ทันทีว่าคนที่เรียกผมเป็นใคร ผมสีบลอนด์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงซึ่งกำลังไสวไปตามสายลมและดวงตาสีฟ้าที่ส่องประกายนั่น….

 

 

ภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงไปจาก 5 ปีก่อนอยู่เยอะพอสมควร ไม่ว่าจะผมที่ยาวขึ้น ส่วนสูงที่มากขึ้น ใบหน้าจากเด็กน้อยได้กลายมาเป็นชายหนุ่ม แต่สีผมสีตาซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะ ซึ่งมาพร้อมกับแววตาราวกับคมดาบที่จ้องมองผม มันไม่ต่างจากในอดีตเลยสักนิด

 

 

มิตสึรุกิ รากุนะ น้องชายต่างแม่ของผม

 

แต่ทางนั้นคงไม่คิดว่าผมเป็นพี่หรอก ด้วยท่าทางน้ำเสียงการกระทำที่ดูหยิ่งผยองนั่นพิสูจน์ได้ชัดเลยว่าหมอนี่ไม่ได้คิดจะปล่อยวางหรือเปลี่ยนไปจากเมื่อ 5 ปีก่อนเลยสักนิด

 

 

นอกจากนี้ผมก็เห็นอายากะเดินตามติดมากับรากุนะด้วย รายนี้คงไม่ต้องบอกอะไรมากเพราะเธอไม่ได้ต่างจากเมื่อ 5 ก่อนนัก

 

 

 

พอได้เห็น 2 คนนี้ยืนเคียงข้างกันแล้ว บรรยากาศมันเหมือนกับภาพวาดเลยแฮะ เหมาะกันจริงๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีสำหรับตระกูลมิตสึรุกิและพวกข้ารับใช้แหละนะที่ไม่ต้องมากังวลเรื่องทายาทสืบทอดตระกูล

 

 

บอกไว้ก่อนเลยนะว่าผมคิดแบบนี้จริงๆ ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรด้วย

 

 

มาคิดๆ ดูแล้วตอนนี้ผมยังต้องการอะไรจากเกาะแห่งนี้หรือพวกคนบนเกาะกันแน่นะ

 

 

แต่ระหว่างที่กำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ ผมก็ต้องตอบรากุนะซึ่งเป็นหนึ่งในชนชั้นสูงของจักรวรรดิไปอย่างสุภาพ

 

 

 

 

「ผมคงต้องขอปฏิเสธครับ ท่านทายาท」

 

 

 

 

แน่นอนว่าผมไม่ได้หยุดเดินระหว่างตอบนะเออ

 

 

 

จากนั้นรากุนะก็ตอบกลับมา

 

 

 

 

「ก็บอกว่าอย่าขยับไงเห้ย――เสริมพลังอาภรณ์วิญญาณ」

 

 

 

 

ดาบสองมือสีทองที่แสนงดงามได้ปรากฏขึ้นที่มือขวาของรากุนะ ในอดีตเขาต้องใช้มือสองข้างในการถือมัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาสามารถจับมันด้วยมือข้างเดียวได้แล้ว

 

 

ผมจึงจ้องมองไปยังอาภรณ์วิญญาณของเขา นี่ก็ 5 ปีได้แล้วสินะที่ไม่ได้เห็นของวิ้งวับแบบนี้

 

ในอดีดทุกครั้งที่ผมเห็นดาบเล่มนี้ ผมก็จะนึกถึงความแตกต่างของตัวเองกับรากุนะตลอดจนทำให้เศร้าใจเสมอ

 

 

ก่อนหน้านี้ผมก็เลยคิดอยู่เหมือนกันว่า ตัวเองที่มีอาภรณ์วิญญาณแล้วมาเห็นดาบเล่มนี้อีกจะรู้สึกยังไงบ้างนะ

 

 

 

ส่วนคำตอบที่ได้ก็คือ――ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษเลยสักนิด

 

ผมไม่ได้กลัวจนตัวสั่นเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ตรงกันข้ามเลย ผมไม่ได้คิดจะสนใจแม้กระทั่งจะดูถูกมันยังเลยด้วยซ้ำ

 

 

แน่นอนว่าอาภรณ์วิญญาณของรากุนะนั้นยังคงงดงามและทรงพลัง ผมรู้ด้วยว่ามันแกร่งขึ้นกว่า 5 ปีก่อนเยอะเลย ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ดีว่าทายาทผู้สืบทอดตระกูลมิตสึรุกิคนถัดไปเติบโตมาอย่างมีคุณภาพ

 

 

แต่มันก็แค่นั้นแหละ

 

 

กับศัตรูระดับนี้ผมไม่มีความจำเป็นต้องมาระวังตัวอะไรเลย ถึงเขาจะเทียบกับนักบุญดาบไม่ได้เลยสักนิด ผมก็ไม่คิดจะดูถูกหรอกนะเออ

 

 

 

แต่จะให้อธิบายสรุปความรู้สึกสั้นๆ ก็

 

 

 

――ไม่มีค่าให้กินวิญญาณด้วยซ้ำ

 

——–

Note 1 : เกาะโดนบุก กำแพงถล่ม // โซระ : ไกปู!!!

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท