การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 154 ถึงเบลก้า

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 154 ถึงเบลก้า

เสียงสายลมได้ไหลผ่านใบหูของผม

 

 

ทิวทัศน์บนพื้นด้านล่างได้แปรเปลี่ยนไปราวกับฉากในนิทานที่ถูกสลับ

 

 

ทั้งเขาสกิมที่สูงเสียดฟ้า ตัดผ่านเป็นทะเลสาบโทยะที่ส่องประกายออกมาราวกับกระจก หน้าผาสูงชันของช่องแคบอาเทนโดที่คล้ายกับดาบยักษ์

 

 

สถานที่ที่แสนน่าสนใจเหล่านี้พอมาได้มองจากบนท้องฟ้าดูแล้วก็คู่ควรแก่การรับชมจริงๆ นั่นคือสิ่งที่ผมคิดระหว่างบินตรงไปเบลก้าบนหลังของคราว โซราส

 

 

ซูซูเมะกับลูนามาเรียก็มากับผมด้วย ดูเหมือนว่าพวกเธอก็คงจะคิดแบบเดียวกันผม เพราะพวกเธอได้ส่งเสียงชื่นชมออกมาหลายครั้ง ถึงบางครั้งจะมีเสียงร้องด้วยความตกใจจากคราว โซราสซึ่งบินหลบพวกกลุ่มเมฆบ้าง

 

 

 

สองสาวที่ไม่คุ้นเคยกับความเร็วระดับสูงของคราว โซราสก็เลยเข้ามาเกาะผมเอาไว้แน่นทุกครั้ง ส่วนลำดับการนั่งบนอานของพวกผมก็จะเป็น ซูซูเมะ ผม แล้วก็ลูนามาเรีย บอกไว้ก่อนเลยว่าเพื่อให้สามารถนั่งได้อย่างมั่นคงซูซูเมะก็เลยนั่งแบบหันหน้าเข้ามาหาผม

 

ด้วยเหตุนี้เองผมก็เลยโดนพวกเธอกอดแน่นจากทั้งสองฝั่ง

 

 

 

――ขอย้ำหน่อยแล้วกันนะว่า ผมไม่ได้คุยกับคราว โซราสให้บินแบบนี้ มันเลือกทำเองล้วนๆ นะเอ้อ

 

 

จากระยะทางที่ต้องเดินทางไปแล้ว หากใช้รถม้ากว่าจะถึงเบลก้าก็คงประมาณครึ่งเดือน แต่หากใช้คราว โซราสก็คงราวๆ 3 วัน ดังนั้นพวกผมน่าจะถึงเบลก้าประมาณเที่ยงวันพรุ่งนี้

 

 

ทว่า หากเป็นแค่คราว โซราสตัวเดียว ดูเหมือนจะสามารถเดินทางไปถึงเบลก้าได้เลยภายในหนึ่งวัน ความสามารถของไวเวิร์นครามมันสุดยอดขนาดนั้นเลยแหละ

 

ดังนั้นจึงทำให้เห็นว่าการเพิ่มผู้โดยสารเข้ามาด้วย มันสร้างภาระให้กับคราว โซราสเป็นอย่างมาก ก็จริงว่าถ้าแค่ผมคนเดียวด้วยความสามารถทางกายภาพของผมก็คงลดภาระมันได้บ้าง แต่ซูซูเมะกับลูนามาเรียไม่ใช่แบบนั้น ถึงทั้งคู่จะเคยขี่มันมาแล้ว ทว่าหากนับการขี่เพื่อเดินทางระยะไกลด้วยความเร็วสูงก็คงต้องตอบว่าไม่ ดังนั้นพวกผมก็เลยต้องพักกันระหว่างทางบ้าง มันจึงส่งผลให้เวลาที่ใช้ในการเดินทางเพิ่มขึ้นไปอีก

 

 

――ผมเฝ้าดูทั้งสองสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น จนแอบรู้สึกสงสัยว่าหรือเราไม่ต้องพักกันดี

 

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน พวกผมก็ร่อนลงมาเพื่อพักอีกครั้ง สองสาวก็ลงไปแล้วเตรียมอาหารกลางวันของตัวเองกับคราว โซราสออกมาโดยไม่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยเลย ส่วนผมก็เดินไปสำรวจดูรอบๆ ดูเหมือนมันจะเป็นของที่เตรียมมาก่อนหน้านี้โดยนักบวชซาร่ากับซูซูเมะก่อนออกเดินทาง

 

 

 

ผมก็เลยลองแซวไปว่า 「ดูท่าจะอร่อยมากเลยนะ ไม่ทราบว่าราคาเท่าไหร่เนี่ย」ลูนามาเรียที่ได้ยินก็เลยเล่นกับผมโดยการตอบกลับมาว่า「ถ้างั้น ทางเราขอเป็นคำวิจารณ์แทนเงินแล้วกันนะคะ แล้วก็ฉันได้เตรียมอะไรบางอย่างเป็นพิเศษไว้ด้วย จะดีใจมากเลยนะคะ หากว่าคุณสามารถเดาออกได้ว่ามันคืออะไร」นั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนท้าทาย

 

ไม่รู้เสียแล้วว่าผมใช้เวลากี่ปีในการก้มหน้าก้มตาเก็บสมุนไพรในป่า ดังนั้นผมไม่มีทางแยกไม่ออกหรอกนะเอ้อ หากพูดถึงรสชาติแฝง

 

 

นอกจากนี้ การพ่ายแพ้ในฐานะหัวหน้าแคลนมันก็เสียหน้าออก จากที่เดาอาหารของลูนามาเรียไม่น่าจะใส่เนื้อสัตว์แน่ๆ ละ ส่วนของซูซูเมะส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นจำพวกเห็ด ผมจำเป็นต้องระดมความรู้ทั้งหมดที่มีเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง――ถึงแม้ท้ายที่สุดจะต้องพ่ายแพ้ก็ตาม

 

ทั้งคู่ต่างพิจารณาถึงความชอบของผมและเสิร์ฟอาหารประเภทเนื้อแทนซะงั้น ผมก็เลยเดาไม่ถูก คือมันก็มีความสุขอยู่หรอกแต่มันก็ปนความเศร้าใจไปด้วย ช่างซับซ้อนจริงๆ

 

จากนั้นพวกผมก็ได้พูดคุยกันระหว่างทางต่อ โชคดีว่าสุดท้ายพวกเราก็เดินทางไปถึงเบลก้าโดยไม่เกิดปัญหาอะไร 2 วันผ่านไปในที่สุดพวกเราก็เห็นกำแพงของเบลก้าแล้ว

 

 

 

เมื่อเห็นว่าถึงเบลก้าแล้ว ผมก็บอกให้คราว โซราสลงจอดแถวๆ ภูเขานอกเมือง ก่อนจะเดินไปที่ประตูเมือง มันเป็นวิธีเดียวกันกับตอนที่ผมมากับอิเรีย

 

บอกตามตรงว่า ตอนแรกผมก็กะจะบินไปตรงๆ แล้วจอดที่หน้าประตูเมืองพร้อมคราว โซราสเลย แต่หากอยู่ดีๆ มีไวเวิร์นโผล่มา คงได้เกิดความวุ่นวายในเบลก้าแน่ แต่ถ้าผมบอกว่าตัวเองคือดราก้อนสเลเยอร์ ก็น่าจะแก้ไขปัญหาได้ แถมยังสามารถรวบรวมกำลังคนและข้อมูลได้ง่ายขึ้นด้วย

 

 

แต่ก็นั่นแหละ ใครมันจะไปพูดกับคนแปลกหน้าว่า 「เห้ย ตูคือดราก้อนสเลเยอร์ หลีกทางซะ!」 ได้กัน ถึงจะพอได้ยินมาบ้างก็เถอะว่ามีคนในเมืองนี้บางกลุ่มมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ความหลากหลายนี่เนอะ

 

 

ดังนั้นผมก็เลยตั้งใจจะหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจและมุ่งเน้นไปเจอกับอิเรียดีกว่า จากนั้นค่อยพิจารณาจากข้อมูลที่ได้ดูว่าผมควรจะใช้ ดราก้อนสเลเยอร์มาเป็นตัวช่วยในการทำงานต่อไหม

 

 

โชคดีที่ผมมีจดหมายแนะนำจากพระสันตะปาปาโนอาห์ติดมาด้วย ด้วยสิ่งนี้ผมจะสามารถขอความร่วมมือจากพระคาร์ดินัลที่เป็นผู้รับผิดชอบวิหารแห่งกฏหมายในเมืองนี้ พวกเขาคงจะให้ความร่วมมือผมเป็นอย่างดีแน่ ดังนั้นเก็บดราก้อนสเลเยอร์ไว้ทีหลังดีกว่า

 

 

 

ระหว่างที่คิดนั่นนี่ผมก็เดินมาถึงประตูเมือง

 

 

ก็อย่างที่บอกไปว่าทางเบลก้าไม่ได้ติดอยู่กับดินแดนอื่นของมนุษย์ ดังนั้นเลยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกสายลับหรือพวกสอดแนมจากประเทศอื่น การรักษาความปลอดภัยจากมนุษย์ก็เลยไม่ค่อยมากนัก ครั้งก่อนผมก็ผ่านเข้าไปได้สบายๆ

 

 

ด้วยเหตุนี้ผมก้เลยคิดว่าคราวนี้ไม่เป็นไร――และราวกับมันกำลังเยาะเย้ยผม เสียงอันดังก้องก็เข้ามาถึงหูผม

 

 

 

「พวกแกตรงนั้น หยุด!」

 

 

ก่อนที่พวกผมจะผ่านประตูเมืองไป ชายสามคนก็ปรากฏมาขวางทางพวกผมเอาไว้ และพอหันไปด้านหลังก็พบว่ามีกลุ่มชายจำนวนเท่ากันมาปิดไว้

 

 

พวกเขาทุกคนต่างติดอาวุธเอาไว้ในมือ ด้วยเหตุนี้บรรยากาศเลยตึงเครียดขึ้น

 

 

ด้วยบรรยากาศที่เปลี่ยนไป พวกคนรอบๆ ก็เลยเริ่มถอยหนีกันออกไป ทว่าพวกคนที่เข้ามาล้อมเอาไว้กลับไม่ได้สนใจคนพวกนั้นเลย ก็หมายความว่าเป้าหมายคือพวกผม

 

 

 

ให้ตายสิ ทั้งที่เลือกเดินมาก็เพราะไม่อยากเจออะไรแบบนี้ แล้วทำไมถึงมาโดนเอาได้ละฟะ

 

ซูซูเมะก็สวมหมวกเอาไว้อยู่พวกเขาคงดูไม่ออกว่าเป็นคิจิน คนพวกนี้ต้องการอะไรกันนะ สัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าด้วย ไม่ว่าจะดูยังไงก็งานเข้าแล้ว

 

 

 

「พวกคุณต้องการอะไรกัน? 」

 

 

ผมไม่อยากจะก่อปัญหาอะไรโดยไม่จำเป็น จึงพยายามถามกลับไปอย่างสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ในตอนนี้

 

 

 

แต่ผมก็ไม่ลดการป้องกันและจับตาดูการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย อาวุธของพวกเขาไม่ใช่ของพวกทหารประจำการจากอาณาจักรด้วย ดังนั้นคงไม่ใช่ทหารของเบลก้า กลับกันพวกเขาสวมชุดเครื่องแบบเหมือนกันทุกคน ก็หมายความว่าพวกเขาคือกองกำลังอะไรสักอย่าง

 

จากนั้นชายที่เหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม ก็ก้าวออกมาข้างหน้าด้วยสายตาที่แหลมคมราวกับเข็ม――สายตานั้นไม่ได้มองมาที่ผม แต่เป็นลูนามาเรียที่อยู่ข้างหลัง

 

 

 

 

 

「ที่อยู่ข้างหลังเจ้าน่ะ เอลฟ์เหรอ」

 

 

 

「ใช่ ก็อย่างที่พวกคุณเห็น」

 

 

ลูนามาเรียที่สวมชุดคลุมของปราชญ์เอาไว้ นอกจากนี้เธอก็ยังสวมฮู้ดเพื่อกันแสงแดดจ้าของเบลก้า แต่หูที่ยาวของเธอไม่ว่าจะปกปิดยังไงก็คงยาก ถ้าถูกถามว่าเป็นเอลฟ์ไหม ก็คงไม่มีทางปิดได้

 

 

 

จากนั้นหัวหน้ากลุ่ม ก็พยักหน้าให้

 

 

 

 

「ตอนนี้『เหยี่ยวทะเลทราย』ของพวกข้ากำลังไล่ล่าอาชญากรที่เป็นเอลฟ์อยู่ ดังนั้นข้าจึงอยากจะสอบปากคำเอลฟ์นั่น มาด้วยกันหน่อยสิ」

 

 

「พวกเรากำลังมาถึงเบลก้าวันนี้เองนะ ก็ไม่รู้หรอกว่าเอลฟ์นั่นไปทำอะไรให้กับพวกคุณ แต่ไม่มีทางที่จะเกี่ยวกับพวกเราหรอก」

 

 

 

「เรื่องนั้นข้าจะเป็นคนตัดสินเอง มาด้วยกันเสีย นอกจากนี้หากคิดหนีจะถือว่ายอมรับ」

 

 

เจ้าพวกนี้มันเอาแต่สั่งอย่างเดียวแถมไม่ฟังกันเลย พอผมได้ยินแบบนี้ก็เลยถอนหายใจออกมาทางจมูก

 

 

ดูจากสภาพเจ้าพวกนี้แล้วไม่ควรค่าแก่การแสดงความสุภาพให้เลยสักนิด ผมก็เลยเลิกพูดแบบให้เกียรติ

 

 

 

 

「แบบนี้มันจะเกินไปหน่อยไหม พวกนายก็ไม่ใช่ทหารยามด้วย ฉันว่าพวกนายไม่มีสิทธิ์มาลากคนไปสอบปากคำหรอกนะ」

 

 

 

 

ใบหน้าของหัวหน้ากลุ่มบิดเบี้ยวไปทันทีเมื่อสัมผัสได้ว่าผมดูถูกเขา เห็นได้จากมือของเขาที่ตอนนี้ได้จับอาวุธของตนแล้ว

 

 

 

「แกคิดจะท้าทาย 『เหยี่ยวทะเลทราย』เหรอ? 」

 

 

 

「ก็บอกไปแล้วไงเห้ยว่ากำลังมาถึงเบลก้าวันนี้ หย่งเหยี่ยวอะไรก็ไม่รู้ทั้งนั้นแหละ」

 

 

 

ให้ตายสิ ดูจากสภาพเจ้าพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มที่ไร้สาระสุดๆ ขณะที่คิดอยู่ในใจ เขาก็จ้องมองไปยังพวกของตนเหมือนจะให้สัญญาณ

 

 

จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงของลูนามาเรียจากด้านหลัง

 

 

 

 

 

「มาสเตอร์ ฉันไม่เป็นไรหรอกคะ ….」

 

 

 

ลูนามาเรียรู้ว่าผมไม่อยากก่อความวุ่นวาย เธอเลยอาสาจะตามพวกนี้ไป แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็นการแสดงความมั่นใจว่าถึงจะมีแค่เธอคนเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็สามารถรับมือได้

 

 

ทว่าผมก็ส่ายหัวปฏิเสธเธอ

 

 

ก็จริงว่าผมไม่อยากจะให้มันวุ่นวาย แต่ถ้ามีคนมาหาเรื่อง ผมก็ไม่คิดจะก้มคอ งอเข่าแล้วไปหลบใต้หว่างขาเธอเพื่อหนีปัญหาหรอกนะ――ถึงผมจะยังไม่มีกลยุทธ์อะไรในการรับมือเรื่องต่อจากนี้อย่างมีประสิทธิภาพก็เถอะ แต่นี่มันปัญหาของพวกพ้องผมใครจะไปยอม

 

 

แปลว่าเอลฟ์ทุกคนก็เจอปัญหานี้กันหมดเลยใช่ไหมนะ ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องพวกนี้อยู่ ผมก็หันไปพูดกับซูซูเมะ

 

 

 

 

「ซูซูเมะ ฉันไม่ได้จะบอกให้เธอถอยไปก่อนหรอกนะ」

 

 

ในเมื่อผมพาเธอมาในฐานะคนของแคลน เธอก็ควรจะยืนเคียงข้างผมไม่ใช่ข้างหลังของผม

 

 

 

พอผมพูดไป ซูซูเมะก็ตอบกลับมาว่า 「อื้อ!」ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น สัมผัสไม่ได้ถึงความลังเลและความกลัวเลยสักนิด หากเป็นแบบนี้ ในอนาคตถึงจะไม่มีผมอยู่ใกล้ๆ ซูซูเมะก็คงสามารถต่อสู้โดยปราศจากความกลัวได้

 

 

พอเห็นว่าพวกผมไม่ได้หวาดกลัวทางหัวหน้ากลุ่มก็เริ่มส่งเสียงข่มขู่พวกผมต่อ

 

 

 

 

「จะบอกให้เอาบุญ เหยี่ยวทะเลทรายของพวกเราคือปาร์ตี้แรงค์ A เพียงหนึ่งเดียวของกิลด์นักผจญภัยในเบลก้าตอนนี้ รู้ตัวไหมว่าหากเป็นศัตรูกับพวกข้ามันไม่คุ้มหรอกนะเว้ย!」

 

 

 

 

แต่แน่นอนว่าการข่มขู่นี่มันไม่ได้ผลกับผมเลยสักนิด

 

 

 

จากที่ได้ยิน เบลก้าแห่งนี้ควรจะมีปาร์ตี้แรงค์Aอยู่ 2 ปาร์ตี้ 「ปาร์ตี้แรงค์ A เพียงหนึ่งเดียวของกิลด์นักผจญภัยในเบลก้าตอนนี้」มันกวนใจผมแปลกๆ ผมก็อยากจะถามอยู่หรอกนะ แต่มาคุยกับเจ้าพวกนี้เอาตอนนี้คงไม่ไหว

 

 

ได้เวลาจัดการปัญหาตรงนี้แล้ว เริ่มจึงเริ่มเคลื่อนไหว

 

พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มถอยหลังไปราวกับถูกกดดันจากฝ่ายผมแทน ผมก็เริ่มยิ้มขึ้น

 

——–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน