การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 155 เหยี่ยวกับดวงดารา

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 155 เหยี่ยวกับดวงดารา

 

 

ผมได้เริ่มเข้าไปใกล้พวกที่เรียกตัวเองว่า『เหยี่ยวทะเลทราย』โดยไม่ได้จับอาวุธขึ้นมา ระยะห่างของพวกเราเริ่มแคบลงเรื่อยๆ

 

หากพวกนั้นตั้งใจจะฟันมาจริง ผมก็สามารถสวนกลับไปแล้วอ้างว่าป้องกันตัวได้ แน่นอนว่าถ้าเลือกจะถอยไปก่อน ผมก็ยินดี

 

 

ตัวหัวหน้าถอยไปหนึ่งก้าวก่อนจะหยุดลง บางทีเขาคงจะรู้สึกถึงสายตาคนรอบๆเลยหยุดตัวเองเอาไว้ก่อน จากนั้นก็มองผมด้วยสายตาที่เกลียดชัง ชักสนใจแล้วสิว่าจะฟันมาไหม

 

 

「เดี๋ยวก่อน พวกแกกำลังทำอะไรกันน่ะ!」

 

 

 

มีคนกลุ่มใหญ่วิ่งมาทางนี้ พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบทหารคานาเรียที่คุ้นเคย บางทีอาจจะเป็นยามที่ดูแลเมืองนี้

 

 

พวกเขาคงเห็นถึงความผิดปกติและรีบเข้ามาจัดการ แต่หากพิจารณาจากเวลาแล้วพวกเขาก็อาจจะรวมหัวกันกับเหยี่ยวทะเลทรายก็ได้ เห็นได้ชัดว่าเมืองเบลก้าตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ชื่อเสียงของผมคงมาไม่ถึงที่นี่ด้วย

 

 

ทว่า ชายที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าทหารยามของเมืองก็เดินออกมาข้างหน้ากลุ่มทหาร แล้วตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ――ไม่ได้ลงกับผมแต่เป็นเหยี่ยวทะเลทราย

 

 

 

 

「พวกแกอีกแล้วเหรอ! ต้องให้ฉันบอกอีกสักกี่ครั้งเนี่ยว่าอย่าก่อเรื่องวุ่นวายน่ะ!?」

 

 

เสียงบ่นของเขาไม่ได้มีอะไรแอบแฝงอยู่เลย การจ้องมองด้วยความโกรธนั่นก็ของจริง ใบหน้าส่วนล่างของหัวหน้าทหารยามที่ถูกปกคลุมไปด้วยเคราหนาทำให้การจ้องมองดูมีมนตร์ขลังขึ้น

 

 

หัวหน้าของเหยี่ยวทะเลทรายที่กำลังเผชิญหน้ากับผมก็ดูจะตื่นตระหนกไม่น้อย แต่เขาก็ยังพยายามโต้เถียงกลับไป

 

 

「พวกข้าก็แค่ตามหาเอลฟ์เวรนั่นที่มันกล้าแยกเขี้ยวใส่เหยี่ยวทะเลทรายของพวกข้าก็เท่านั้นเอง! ทางการก็ประกาศออกมาเองแล้วด้วยนี่ ดังนั้นก็อย่ามาขัดแล้วทำอะไรให้ยุ่งยากกว่าเดิม!」

 

 

 

「ขัดและทำให้ยุ่งยาก งั้นเหรอ!」

 

 

 

 

ซูซูเมะส่งเสียง「กรี๊ด」ออกมาจากร่างเล็กๆของเธอ ก็คงไม่แปลกมั้งขนาดแก้วหูของผมยังสั่นเลย

 

 

 

ลูนามาเรียก็แสดงสีหน้าที่ผิดแปลกไป บางทีอาจจะเพราะเป็นเอลฟ์หูเลยดีกว่ามนุษย์

 

 

แม้จะเห็นว่าพวกผมได้รับผลกระทบไปด้วย แต่พวกทหารยามก็วิ่งตรงเข้าไปล้อมเหยี่ยวทะเลทรายอย่างรวดเร็ว

 

 

 

「ถึงจะมีประกาศของทางการแล้วก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกแกจะทำอะไรก็ได้นะเห้ย! หากเป็นนักผจญภัยก็ไปทำหน้าที่ล่ามอนสเตอร์สิวะ อย่ามาทำตัวเลียนแบบทหาร!」

 

 

 

 

「แกก็คิดจะท้าทายเหยี่ยวทะเลทรายของพวกข้าด้วยเหรอ!? อย่าคิดว่ามันจะจบ――」

 

 

「หย่งเหยี่ยวทะเลทรายอะไรนักหนา! ยังไงพวกแกทุกคนก็อยู่ภายใต้กฏของเมือง! ถ้ายังคิดจะทำลายชื่อเสียงของเบลก้าไปมากกว่านี้ ฉันจะถือว่าพวกแกเป็นอาชญากรด้วยเหมือนกัน!」

 

 

 

ทหารยามกล่าวออกมาก่อนจะจ้องมองไปยังทั้ง 6 คนนั้น จากเรื่องราวที่ดำเนินมาจนถึงตอนนี้ก็น่าแปลกเหมือนกันที่สุดท้ายพวกมันยอมถอนตัวไป――ก็คงงั้นมั้งหากต้องมารับมือกับคนนอกอย่างพวกผม แถมมีปัญหากับพวกทหารยามอีกก็คงจบไม่สวยนัก พวกมันคงไม่กล้าพอหรอก

 

 

หลังจากที่ทหารยามไล่พวกนักผจญภัยเสร็จ หัวหน้าทหารยามก็เดินมาขอโทษพวกผม

 

 

 

 

「โทษทีนะ พอมาถึงก็เจอปัญหาเอาซะได้」

 

 

พูดเสร็จเขาก็ยิ้มออกมา โดยจะเน้นไปทางซูซูเมะ คงเพราะเขาเป็นห่วงไม่อยากให้เด็กสาวเป็นกังวล

 

 

ถึงจะมีใบหน้าที่ดูน่ากลัว แต่ก็นับว่าเป็นคนดีพอสมควร――การจะไปบอกว่าหน้าของเขาเหมือนหมียักษ์ที่เจอรังผึ้งคงจะไม่สุภาพเท่าไหร่

 

ขณะที่คิดแบบนั้น ผมก็กล่าวขอบคุณเขา

 

 

 

「ขอขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือครับ」

 

 

 

จากนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ พวกเขาอาจจะพอคาดเดาได้ถึงบรรยากาศที่อยู่รอบตัวผมก่อนแล้ว ว่าคงหาทางรับมือได้ถึงพวกเขาไม่มา

 

 

 

จากนั้นหัวหน้าที่ทหารยามก็เปลี่ยนสีหน้าเสียใหม่ แล้วโบกมือไปมา

 

 

 

 

「ไม่หรอกๆ ไม่ต้องขอบคุณกันก็ได้ มันเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วที่ต้องปกป้องความปลอดภัยของผู้มาเยือน」

 

 

 

จากนั้นเขาก็มองไปทางที่พวกเหยี่ยวทะเลทรายจากไป แล้วบ่นออกมา

 

「การรับมือกับคนพวกนี้ก็คืองานของเรา เอาจริงๆนะเมื่อก่อนก็ไม่หนัดขนาดนี้หรอก แต่พอดาราสีเงินหายไป พวกเหยี่ยวทะเลทรายก็เริ่มหนักข้อขึ้น」

 

 

 

「『ดาราสีเงิน』 งั้นเหรอ?」

 

 

 

「อ้าว นายไม่รู้จักดาราสีเงินเหรอ? ดูจากดาบที่เอว น่าจะเป็นนักผจญภัยหรือทหารรับจ้างใช่ไหมล่ะ? ถึงพวกเขาจะยุบปาร์ตี้กันไปแล้วแต่ก็น่าจะเคยได้ยิน――ฮ่าๆ หรือว่าจะเคยมาเบลก้าเป็นครั้งแรกสินะ」

 

 

 

「ก็ประมาณนั้นจะดาราสีเงินหรือเหยี่ยวทะเลทรายผมก็ไม่รู้จักทั้งนั้นครับ」

 

 

 

「แบบนี้นี่เองๆ」

 

หัวหน้าทหารยามพยักหน้าราวกับเข้าใจและโบกมือให้

 

 

 

「ทั้งดาราสีเงินแล้วก็เหยี่ยวทะเลทรายต่างก็เป็นปาร์ตี้นักผจญภัยแรงค์Aของเมืองนี้น่ะ โดยพวกเขาต่างก็มีสมาชิกกว่า 20 คน แถมยังมีฝีมือกันทั้งนั้นเลย ก็เรียกได้ว่าแกร่งขึ้นขนาดกิลด์เองก็ยังไม่สามารถยุ่งอะไรได้โดยง่าย」

 

 

 

 

ผมพยักหน้าให้กับขอมูลที่อีกฝ่ายบอก

 

 

 

จากนั้นเขาก็สรุปเรื่องราวให้ผมฟัง

 

 

เนื่องจากเบลก้าเป็นเมืองที่ต้องใช้นักผจญภัยในการป้องกันเมืองเหมือนกัน อิทธิพลของกิลด์จึงมีมากไม่ต่างอะไรกับอิชกะ

 

 

 

ทั้งกิลด์ดาราสีเงินและเหยี่ยวทะเลทรายต่างก็มีอำนาจเหนือกิลด์นักผจญภัย ไม่ว่าจะจำนวนสมาชิกปาร์ตี้ ความสามารถ หรือความสำเร็จ ทั้งสองปาร์ตี้ก็เรียกได้ว่าไล่เลี่ยกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองปาร์ตี้ก็เหมือนกับคู่แข่ง แนวทางของดาราสีเงินคือยุติธรรม ทำตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ส่วนเหยี่ยวทะเลทรายจะออกไปแนวทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย พวกเขาก็เลยเข้ากันได้ไม่ค่อยดีนัก

 

 

แต่สุดท้าย ด้วยการแข่งขันของทั้งสองปาร์ตี้มันก็กลายเป็นพลังให้กับเบลก้า เมื่อพวกมอนสเตอร์จากทะเลทรายบุกมา ทั้งสองปาร์ตี้ก็จะออกไปแข่งขันกันเพื่อปกป้องเมือง ด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองก็เลยชื่นชมพวกเขา เรียกได้ว่าพวกเขาคือสัญลักษณ์แห่งเบลก้ามาช้านาน

 

 

 

ทว่าหลายเดือนก่อนสมดุลของเมืองก็พังทลายลง สมาชิกปาร์ตี้ของดาราสีเงินที่ออกไปสำรวจพื้นที่ในทะเลทรายหายตัวไป ก็จริงว่าพวกเขายังไม่ได้รับการยืนยันว่าตายไปแล้ว แต่หากคนที่คุ้นเคยกับทะเลทรายนี้ดี การหายตัวไปหลายเดือน ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่ายังมีชีวิตอยู่

 

 

สมาชิกปาร์ตี้ที่ไม่ได้กลับมานั้นล้วนเป็นพวกมีฝีมือรวมไปถึงหัวหน้าปาร์ตี้ที่เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ส่วนพวกที่ยังเหลืออยู่ในเบลก้าก็ไม่มีพลังมากพอจะทำหน้าที่ในแรงค์ A แถมยังไม่สามารถรักษาความมั่นคงภายในปาร์ตี้ได้อีก สุดท้ายพวกเขาก็เลยตัดสินใจยุบปาร์ตี้ดาราสีเงิน

 

 

 

มันก็เลยส่งผลให้ปาร์ตี้แรงค์A เหลือแค่เหยี่ยวทะเลทราย แถมจำนวนของพวกเขายังมากขึ้นกว่าในอดีต จนถึงขั้นมีบางคนใช้ชื่อเหยี่ยวทะเลทรายในการกดขี่คนอื่น――นั่นคือสิ่งที่ผมได้ยินมาจากหัวหน้าทหารยาม

 

 

 

 

 

「ถึงพวกระดับสูงของเหยี่ยวทะเลทรายจะเป็นผู้เป็นคน แต่เจ้าพวกระดับล่างนี่ไม่เหมือนกันหรอกนะ เอลฟ์สาวตรงนั้นก็ระวังหน่อยแล้วกัน หากเกิดอะไรขึ้นก็มาพึ่งพวกเราได้เลย」

 

 

 

 

เขาลูบเคลาขณะพูดก่อนจะก้มหัวให้พวกผม

 

 

 

「ทีนี้ก็ได้เวลาทำในสิ่งที่ควรทำ ถึงจะช้าไปสักหน่อย――เอาเป็นว่า ยินดีต้อนรับเข้าสู่เบลก้านะพวกหนุ่มสาวทั้งหลาย ถึงจะเจอพวกแมลงมาตอมไปบ้าง แต่ก็อย่าได้คิดเลยว่าคนของเบลก้าจะเป็นแบบนี้ไปเสียหมด เบลก้าเมืองแห่งความฝัน เงินทอง และโชคลาภ ไม่ว่าจะมาด้วยเหตุใด ก็หวังว่าเบลก้าจะทำให้ความฝังของพวกเธอเป็นจริงได้นะ」

 

 

 

 

 

หลังจากนั้นลูนามาเรียก็ถูกซักถามอะไรบางอย่างนิดหน่อย เนื้อหาก็ประมาณ ว่าชื่ออะไร ชุดคลุมของปราชญ์นี่ของจริงใช่ไหม  คิดจะพักที่ไหนในเบลก้า

 

 

ตอนแรกผมก็กังวลเรื่องอาชญากรอะไรทำนองนั้นอยู่เหมือนกัน แต่หัวหน้าทหารยามก็บอกว่าไม่ต้องกังวล เขาก็ทำตามหน้าที่เฉยๆ แถมยังบอกอีกว่ามันจะไปมีอาชญากรที่ไหนใส่ชุดคลุมของปราชญ์แล้วเดินไปเดินมาในเมืองเฉยๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา

 

 

พอจบเรื่องพวกทหารยามก็เดินมาส่งพวกผมที่ถนนสายหลัก ผู้คนจำนวนมากได้เดินผ่านไปมาตรงหน้าของผม

 

 

 

ทั้งนักผจญภัย กวีที่กำลังบรรเลงบทเพลง พ่อค้าที่ตั้งแผงลอย คนที่แต่งกายยั่วยวนเรียกแขกที่ผ่านไปมา ผมเดาว่าเขาน่าจะเป็นคนของซ่องละมั้ง

 

 

 

ซูซูเมะก็มองดูบรรยากาศของเมืองที่มีชีวิตชีวา ด้วยความประหลาดใจ ความเจริญของเบลก้าคงสร้างความประทับใจที่แตกต่าจากอิชกะให้กับเธอ จะว่าไปตอนไปเมืองหลวงเธอก็เป็นแบบนี้นี่นะ

 

 

ก็อย่างที่เคยบอกไปว่าทะเลทรายคาตาลานทางตะวันตกของเบลก้านอกจากจะเป็นที่อาศัยของพวกมอนสเตอร์แล้ว มันยังเป็นแหล่งทำเงินสร้างความมั่งคั่งและอุดมไปด้วยทองคำ เงิน เกลือ เครื่องเทศ

 

 

 

ความมั่งคั่งที่ไม่จบสิ้นของมันคือเครื่องพิสูจน์ในคุณค่า ผู้คนจำนวนมากได้มารวมตัวกันเพื่อแสวงโชค

 

 

 

 

「มาสเตอร์จะเอายังไงกันต่อดีคะ?」

 

 

 

「ไปโรงแรมก่อนแล้วกัน ตั้งใจจะไปเจออิเรียด้วย――นี่ ซูซูเมะ!」

 

ซูซูเมะเดินนำหน้าพวกผมไปเพราะความอยากรู้อยากเห็น จนเกือบจะถูกฝูงชนกลืนเข้าไป ผมก็เลยรีบดึงร่างของเธอเข้ามาใกล้

 

เธอได้มาหยุดนิ่งในอ้อมแขนของผม ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วเอามือจับหมวกที่ซ่อนเขาของเธอเอาไว้

 

 

 

 

 

「อ-เอ่อ ขอโทษทีนะ แล้วก็ขอบคุณ!」

 

 

 

「ไม่เป็นไรหรอก จับมือกันไว้แล้วกัน จะได้ไม่หลงอีก」

 

 

 

ผมพูดแล้วก็ยื่นมือซ้ายไปหาเธอ ดวงตาของซูซูเมะแสดงอาการสับสนออกมา แต่สุดท้ายเธอก็คว้ามือของผมเอาไว้อย่างเขินอาย

 

 

 

 

「ถ้างั้นฉันด้วยค่ะ」

 

 

ลูนามาเรียที่ฟังการพูดคุยของผม ก็ได้เอามือมาจับชายเสื้อคลุมที่ใส่ไว้กันแดดของผม เธอไม่ได้เลือกจะจับมือขวาของผมซึ่งว่างอยู่ เธอน่าจะเข้าใจว่าผมไม่สามารถเสียมือข้างถนัดในการจับดาบไปได้ 

 

 

คราวนี้เป็นผมแทนที่แสดงสีหน้าแปลกใจเหมือนซูซูเมะ

 

ผมได้จ้องมองไปทางลูนามาเรีย ก่อนที่เธอจะเอียงหัวใส่ผมแล้วถามด้วยท่าทีที่สงบว่า ไม่ได้เหรอคะ? ทางผมก็อยากจะพูดอะไรอยู่หรอก แต่สุดท้ายเก็บเอาไว้ในใจดีกว่า

 

หลังจากนั้นพวกผมก็เดินไปด้วยกัน 3 คน ไม่นานนักพวกผมก็มาถึงโรงแรมที่ผมกับอิเรียเคยพักอยู่ด้วยกัน

 

 

ขณะที่เดินเข้าไป ผมก็สัมผัสได้ถึงสายตาแปลกๆที่จ้องมองมาจากทุกทาง ช่วยไม่ได้นี่นะ เพราะโรงแรมนี้ปกติมันไม่ใช่ของที่พวกนักผจญภัยจะมาพัก

 

 

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนพนักงานแผนกต้อนรับจะจำผมได้ ก็เลยกระซิบบอกอะไรบางอย่างกับพนักงานอีกคน จากนั้นเธอก็เดินขึ้นบันไดไป บางทีเธอคงไปเรียกอิเรีย

 

 

 

อย่างที่คิด ไม่นานนักอิเรียก็ลงมาจากบันไดด้วยอาการตื่นตระหนก จากที่ดูเธอไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แรงใจก็ยังดีอยู่

 

 

 

ทว่ากลับมีหญิงสาวอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของอิเรียด้วย ใบหน้าของเธอดูซีดๆไปหน่อยนะ จากที่เดาเธอน่าจะแก่กว่าซูซูเมะ ไม่สิอาจจะแก่กว่าชีลเลยก็ได้ โดยชุดที่เธอสวมนั้นคือชุดของนักบวชวิหารแห่งกฏหมาย

 

 

อิเรียได้คุยอะไรบางอย่างกับเธอก่อนจะชี้มาทางผม คงจะเป็นคนรู้จักกันจริงๆ…แต่ใครกันนะ ผมจำได้ว่าผมก็เคยไปวิหารเพื่อรวบรวมข้อมูลด้วยกันกับเธอ แต่ก็ไม่เห็นจะจำได้ว่าอิเรียพาเพื่อนมาแนะนำให้ผมรู้จัก

 

 

 

จากนั้นผมก็เดินเข้าไปหาอิเรียเพื่อคลายข้อสงสัย

 

 

 

ก็ได้ใจความว่าผู้หญิงคนนี้คือเพื่อนสมัยเด็กของอิเรีย หรือก็คือพวกเธอเคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเมลเทด้วยกันเหมือนกับราส แต่ว่าถูกขายกลายเป็นทาสไปตั้งแต่เด็ก สุดท้ายก็เลยมาจบลงที่เบลก้า

 

 

 

 

นอกจากนี้ หญิงสาวที่สวมชุดนักบวชของวิหารเทพกฏหมายอยู่ก็มีตรารูปดาวสีเงินติดอยู่ตรงหน้าอกด้วย

 

——–

แปะรูปนางไว้

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน