ตอนที่ 158 พบปะยามค่ำคืน
「….ไม่อยากจะเชื่อว่าสามารถเห็นกำแพงทรายได้เร็วขนาดนี้」
คาเทียที่นั่งอยู่บนอานหลังคราว โซราสเผลอพูดออกมา ภาพตรงหน้าของพวกผมตอนนี้คือพายุทรายที่โหมกระหน่ำไปรอบทิศ
ฝุ่นที่ลอยฟุ้งแสดงให้เห็นคล้ายกับกำแพงสุดลูกหูลูกตา จนทำให้คิดว่าถึงจะเป็นเมืองเบลก้าก็คงโดนพายุทรายนี้กลืนกินไปได้ไม่ยาก
ถึงจะอยู่ไกลจากจุดนั้นมาก แต่ผมก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ใกล้เข้ามาจากมัน
หากพายุทรายนั่นคือปรากฏการณ์วันสิ้นโลก ผมก็คงจะเชื่อได้ไม่ยาก
「กำแพงทรายนั่นมักจะเป็นพื้นที่ที่พวกเรายังไม่ได้สำรวจค่ะ จากที่ได้ยินหัวหน้าแอโร่เคยบอกว่า เหตุผลก็เพราะมันยากที่พวกเราจะฝ่าเข้าไปข้างในนั้นได้」
ก็คงไม่ผิดไปจากที่คาเทียพูด เพราะถ้าเจอพายุแบบนั้นแล้วเดินเท้าเปล่ายังไงก็ไม่มีทางจะฝ่าไปได้ง่ายๆแน่ สิ่งที่ทำได้ก็คือมีเพียงแค่การเฝ้ารอให้พายุนั้นมันผ่านไป
ดังนั้นตัวเลือกที่จะสามารถไปสำรวจตรงนั้นได้ก็คือต้องรอมันผ่านไปแล้วใช้เวลาให้น้อยที่สุดในการสำรวจเพื่อถอยกลับเมืองก่อนพายุจะผ่านมาปิดทางไว้อีกครั้ง ไม่ก็ต้องหาไอเทมหรือเวทมนตร์อะไรสักอย่างที่ต้านทานพายุได้ แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าจะมีของแบบนั้นไหม
สำหรับพวกผมแล้ว คราว โซราสนั้นได้รับพรแห่งสายลมซึ่งสามารถผ่านพายุไปได้ เครื่องพิสูจน์ก็คือมันสามารถผ่านกำแพงพายุในช่วงไฮดราได้
แต่ครั้งนี้มันก็แตกต่างจากรอบก่อนตรงที่ไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าต้องไปตรงจุดไหนหลังพายุนั้น คือครั้งก่อนผมรู้ว่าไฮดรามันอยู่ตรงใจกลางไง ก็เลยสามารถฝ่าไปได้ด้วยเส้นทางที่เหมาะสม
แต่กำแพงทรายคราวนี้ความหนากับความกว้างของมันเรียกว่าโหดหินจนแม้จะเป็นไวเวิร์นครามก็ไม่สามารถฝ่าไปได้สบายๆ ทิศทางการเคลื่อนที่ของมันก็คาดเดาได้ยาก โดยปกติแล้วอย่าว่าแต่ดาราสีเงินเลยเบฮีมอธก็ยังยากที่จะค้นหา
สุดท้ายตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะเข้าไปยังพื้นที่ที่ไม่ได้สำรวจก็คือไปในวันที่ไม่มีพายุทรายนั่น ถ้ามันยังอยู่ก็เลื่อนการเดินทางออกไปก่อน
สรุปก็คือถ้ามีพายุทรายกั้นไว้ ผมก็ไปสำรวจจุดอื่นที่ไม่ใช่พื้นที่ที่ยังไม่ได้สำรวจ ยังไงผมก็ไม่ได้มาเพื่อเปิดเผยความลับของหลังพายุอยู่แล้ว สิ่งที่ผมมองหาก็มีเพียงเบฮีมอธกับดาราสีเงิน ผมจึงถามกับคาเทีย
「ขอถามเพื่อความแน่ใจอีกทีนะ อัศวันสีขาวพยายามจะฝ่ากำแพงทรายนั่นไปจริงเหรอ?」
「ค่ะ กำแพงทรายคือสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นในส่วนที่ยังไม่ได้สำรวจ และความผิดปกติของมันที่สร้างพายุทรายขึ้นมาเพื่อปกป้องตรงส่วนนั้นจุดเดียว แถมยังคาดเดาช่วงเวลาไม่ได้คล้ายกับสิ่งกีดขวางเพื่อป้องกันอะไรบางอย่างข้างหลังนั่น หัวหน้าแอโร่มองว่ามันแปลกมากเกินไปค่ะ」
หรือก็คือมันเป็นสิ่งกีดขวางที่มีใครสักคนสร้างขึ้น กำแพงทรายนั่นไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแต่ใครสักคนทำมันขึ้นมา ดังนั้นมันจะต้องมีวิธีการอะไรสักอย่างเพื่อผ่านไปโดยง่าย――นั่นคงเป็นความคิดของแอโร่
แบบนี้นี่เอง ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องพยายามหลายครั้งในการมาตรงนี้ คงเพราะพยายามหาวิธีผ่านมันไป
….อย่างไรก็ตามถึงมันจะเป็นฝีมือใครสักคนหนึ่ง แต่การท้าทายทะเลทรายที่สุดแสนอันตรายนี่มันก็แปลก เพราะจากที่ผมได้ยินความสำเร็จของแอโร่ในฐานะดาราสีเงินก็สูง บุคลิกของเขาก็คงเป็นคนที่มีวิจารณญาณพอสมควร จนยากจะคิดว่าทำไมคนแบบนี้ถึงต้องพยายามเสี่ยงชีวิตเพื่อของแบบนั้นด้วย
แค่เห็นกำแพงทรายจากที่ไกลๆ ผมก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัว คนที่จะท้าทายจำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งระดับหนึ่งเลย มันไม่ใช่ที่ที่จะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเฉยๆ แต่แอโร่กลับพยายามเสี่ยงโดยมีชีวิตพวกพ้องของตัวเองรวมอยู่ด้วย
เพราะพ่อของเขาทิ้งเบาะแสอะไรไว้ให้เหรอ ไม่สิหรือเขาค้นพบบางอย่างขณะพยายามไล่ตามเงาของพ่ออยู่
――จากนั้นผมก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่า แทนที่จะค้นหาเบาะแสแถวนี้ ผมมองว่าเบาะแสที่ดีจริงๆน่าจะอยู่ที่บ้านของแอโร่ไม่ก็ที่ตึกของปาร์ตี้ดาราสีเงิน
แต่สิ่งที่ผมคิด ผมว่ายังไงคนอื่นก็ต้องคิดได้แล้วบ้างแหละ
ระหว่างที่คิดเรื่องพวกนี้ พวกผมก็สำรวจทะเลทรายกันต่อ แต่ก็อย่างที่คิดวันนี้ก็คว้าน้ำเหลว
ทะเลทรายคาตาลานเต็มไปด้วยโอเอซิสมากมาย มันคือเส้นด้ายแห่งชีวิตของเหล่านักผจญภัยที่ต่อสู้ในทะเลทราย โดยในแต่ละแห่งก็จะมีทั้งร้านค้า สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักผจญภัยตั้งอยู่ เป็นสถานที่ที่ดูมีชีวิตชีวา
พวกผมตัดสินใจค้างคืนที่โอเอซิสนั่น และวันต่อมาพวกผมก็ตรงไปยังจุดที่ไม่ได้สำรวจอีกครั้ง แต่กำแพงทรายก็ยังคงอยู่ ผลลัพธ์ในวันต่อมาก็คือคว้าน้ำเหลวเช่นเดิม
ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างเช้าและเย็นก็เหมือนกับทะเลทรายทั่วไป ทั้งอากาศที่แห้ง แสงแดดที่ส่องลงมาแผดเผา ลมกระโชกแรงที่พักเอาทรายมาเข้าตาและปาก
ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผมรู้สึกหงุดหงิดกับสภาพอากาศนี้จริงๆ ผมก็เลยตัดสินใจกลับไปที่เบลก้าก่อน พอพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว คงไม่จำเป็นต้องค้างคืนกลางทะเลทรายเป็นเวลา 3 – 4 วันอีกเว้นแต่มีเหตุจำเป็น เห็นได้ชัดว่าซูซูเมะกับลูนามาเรียก็ไม่สบายใจกับการต้องมาทนเรื่องพวกนี้เหมือนกัน
ในบรรดาคนที่ตามมาด้วยคาเทียเหมือนจะเป็นคนเดียวที่อยากจะคัดค้าน แต่เพราะอิเรียถูกทิ้งไว้ที่เบลก้าเนื่องจากปัญหาด้านความจุคน สุดท้ายเธอก็เลยเข้าใจจุดยืนตัวเองและไม่สามารถขัดอะไรผมได้
◆◆◆
ในคืนนั้นเอง――ผมได้เดินทางกลับมาจากทะเลทรายคาตาลาน แล้วแอบออกมาจากวิหารเทพแห่งกฏหมายแล้วเดินเข้าไปในตัวเมืองเบลก้า
เนื่องจากพระอาทิตย์ได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว ร้านค้าส่วนใหญ่จึงปิดกันหมด
ทว่าเมืองใหญ่อย่างเบลก้าก็ย่อมมีสถานบันเทิงยามค่ำคืนพร้อมรับแขกเสมอ
….ออกตัวก่อนเลยนะ ว่าผมไม่ได้อยากไปจ้ำจี้กับพวกสาวๆ ผมก็แค่อยากเห็นเมืองเบลก้ายามดึกด้วยตาตัวเองเฉยๆ
ตั้งแต่มาถึงเมืองนี้ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ผมได้เห็นได้ยินก็มาจากแค่ส่วนของวิหารเทพแห่งกฏหมาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลก็เรียกว่ายอดเยี่มสมกับเป็นองค์กรระดับสูง แต่กลับกันมันก็เสี่ยงที่จะได้รับข้อมูลที่ลำเอียงเหมือนกัน
ผมออกมาเพื่อจัดการกับข้อสงสัยนั้นแหละ
แน่นอนว่าผมได้สวมชุดคลุมเอาไว้ก่อนออกมาด้วยเพราะถ้าคนอื่นรู้ว่าผมคือดราก้อนสเลเยอร์เดี๋ยจะวุ่นวายกันอีก สำหรับเบลก้าตอนกลางคืน――ไม่สิสำหรับทะเลทรายในช่วงกลางคืน อุณหภูมิจะลดลงตรงกันข้ามกับความร้อนในตอนกลางวันการสวมชุดคลุมหนาๆก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ผมค่อยๆเดินไปตามย่านบันเทิงแล้วมองไปรอบๆ มีทั้งบาร์และร้านอาหารที่น่าเข้าไปนั่ง พนักงานเสิร์พส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้หญิง แค่เดินไปตามถนน ก็ได้ยินเสียงจากตรงนั้นตรงนี้หมดแล้ว
ถึงการเข้าไปในที่พวกนี้จะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร แต่ก็อยากที่บอกว่าผมไม่ได้อย่างไปยุ่งกับพวกผู้หญิง ผมที่เป็นถึงดราก้อนสเลเยอร์ไม่โม้หรอกนะเอ้อ
ยังไงการเดินท่องราตรีอย่างไร้จุดหมายมันก็น่าสนุกในแบบตัวของมันเองอยู่แล้ว
ระหว่างที่กำลังคิด ผมก็เดินไปเรื่อยแล้วนึกสนุกว่าถ้ามีคนเข้ามายุ่งกับผมเพราะเห็นเป็นคนแปลกหน้าจะเป็นยังไงกันนะ ทว่ากลับไม่มีใครที่ว่าเลย
「เอาจริงดิ ก็คิดว่ามันจะอันตรายกว่านี้นะ แต่ไม่ใช่ว่ามันปลอดภัยเกินไปหน่อยเหรอ?」
ความปลอดภัยในย่านบันเทิงเป็นตัวบ่งชี้สถานะปัจจุบันของเมือง การที่ใครก็ไม่รู้เดินไปเดินมาอย่างไร้จุดหมายในย่านนี้แต่กลับไม่ถูกใครเข้ามาขัดขวางเลยกว่า 1 ชั่วโมงก็เรียกว่าใช้ได้พอสมควร
ผมจึงคิดว่าเบลก้านี่ก็เป็นเมืองที่น่าสนใจอีกเมืองหนึ่ง
เพราะปัจจุบันผมกำลังวางแผนจะตั้งฐานของแคลนดาบควันโลหิตที่อยู่นอกอิชกะ เพราะตราบใดที่ตระกูลมิตสึรุกิรู้ว่าผมอยู่ที่ไหน การเตรียมตัวไว้ก่อนก็จำเป็น
ชีลกับมิโรสลาฟไม่ได้ตามพวกผมมาด้วยและทำงานอยู่ที่อิชกะ แต่ถึงจะเป้นว่าเป็นฐานใหม่ แต่ผมก็ไม่ได้กะจะย้ายออกจากอิชกะหรอกนะ ประเด็นหลักคือเป็นการหาฐานที่มั่นในการให้พวกพ้องของผมอยู่กันปลอดภัยยามที่ผมไม่อยู่
เบลก้าก็ไกลจากอิชกะมากเกินไป แถมได้ยังว่ามีมอนสเตอร์จากทะเลทรายเข้ามาโจมตีบ่อยๆด้วย อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีขนาดนั้น ทว่าด้วยระยะทางของมัน โอกาสที่ตระกูลมิตสึรุกิจะพบก็น้อยลงไปด้วย สุดท้ายมันก็เลยคุ้มค่าพอจะเก็บเอาไว้ในใจ
「หากที่พักมันมีอ่างอาบน้ำ ก็คงจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแท้ๆน้้า แต่ก็นั่นแหละทะเลทรายนี่เนอะ」
ขณะที่ผมพูดอะไรไร้สาระออกมา ผมก็ได้กลิ่นเนื้อย่างและเครื่องเทศลอยมา จนดึงความสนใจของผม
กลิ่นของมันมาจากโรงแรมแซนลิซาร์ต โดยชั้นแรกของร้านเป็นบาร์กับร้านอาหาร ส่วนชั้นสองเป็นโรงแรมขนาดเล็ก ก็ไม่ได้แปลกอะไร
เท่าที่ส่องดู ร้านก็สะอาด ดูไม่ใช่ร้านที่ขายพวกสาวๆด้วย ผมเลยลองเข้าไปดูเพราะจะให้กลับไปที่วิหารเฉยๆก็ยังไงอยู่
ผมกดกริ่งเรียกที่หน้าประตู เจ้าของร้านก็ออกมาจากครัวต้อนรับผมด้วยรอยยิ้ม
หลังจากถูกนำทางไปที่โต๊ะแล้ว ผมก็สั่งเนื้อย่างเสียบไม้ที่เขาแนะนำ
ไม่นานนัก เนื้อและผักที่ถูกเสียบไม้สลับกันแล้วย่างกับซอสก็ถูกนำมาเสิร์ฟ เนื้อที่ใช้ก็เป็นเนื้อของแซนลิซาร์ด
แซนลิซาร์ดที่ว่าก็กิ้งก่าทรายนั่นแหละ
กิ้งก่าทรายมักจะชอบซ่อนตัวในทรายแล้วลอบโจมตีเหยื่อของมัน แต่ถ้ามันหิวมากๆมันก็จะยอมออกมาจากทรายและค้นหาเหยื่อของมัน ก็จริงว่าพวกสัตว์เลื้อยคลานจะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ แต่กิ้งก่าทรายสามารถออกหากินแม้ในตอนกลางคืนด้วยผิวหนังชั้นนอกที่หนาของพวกมัน
แต่ถึงจะเรียกว่ากิ้งก่าตัวของมันก็ไม่ได้เล็กๆหรอกนะ มันเป็นสัตว์อสูรที่สามารถกินได้แม้กระทั่งมนุษย์เลยหากโตเต็มวัย ดังนั้นให้เรียกว่าจระเข้ทรายจะเข้าท่ากว่าด้วยซ้ำ
ทว่ามันก็เป็นสัตว์อสูรที่นักผจญภัยมือใหม่สามารถออกล่าได้ถ้าเตรียมตัวมาดี แต่อาจจะยุ่งยากหากถูกลอบโจมตีตอนกลางคืนเหมือนกัน สำหรับนักผจญภัยในทะเลทรายแบบนี้ การเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์อสูรและมอนสเตอร์ก็คือพื้นฐานของพื้นฐานอยู่แล้วนี่เนอะ
สัตว์อสูรที่ผมบอกไปเรื่องผิวด้านนอกขอมันหนาจนแทบกินไม่ได้ก็จริง แต่ข้างในนี่สุดยอดอย่าบอกใคร พอใส่ซอสที่เป็นสูตรลับของร้านนี้เข้าไปด้วยแล้ว ความผิดของเนื้อที่เข้ามากระแทกลิ้นมันทำให้กระตุ้นความอยากอาหารมากกว่าเดิมอีก――ให้พูดง่ายๆก็คืออร่อยสุดๆ
รสชาติโดยรวมถือว่าเข้มข้น จนสามารถเติมเต็มร่างกายที่คาดรสเค็มหลังกลับมาจากทะเลทรายได้เป็นอย่างดี เข้าท่ากว่าอาหารในวิหารที่มีรสชาติอ่อน
ระหว่างที่ผมกำลังกินเนื้อเสียบไม้รสชาติเข้มข้นแบบนี้ ก็ชัดจะอยากดื่มเบียร์คู่ด้วยซะแล้วสิ แต่จะให้กลับวิหารโดยตัวเหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์ มันก็ยังไงอยู่สุดท้ายก็เลยต้องดื่มด่ำกับอาหารให้เต็มท้องแทน
ไม่นานนักผมก็ถอนหายใจออกมาด้วยความพึงพอใจ เมื่อจัดการกับเนื้อเสียบไม้ของเก่าและใหม่จนหมด
ได้เจอร้านดีๆแบบคาดไม่ถึงแล้วสิ ก็อยากจะเอาไปฝากซูซูเมะหรอกนะ แต่ถ้าเอาไปเดี๋ยวพวกเธอได้รู้แน่ว่าผมแอบมาย่านนี้คนเดียว ดังนั้นไม่มีใครรู้จะดีกว่า เพื่อชื่อเสียงที่ดีงามของผมด้วย
ไว้คราวหน้าผมค่อยมาแก้ตัวกับพวกเธอด้วยการพาไปทานของหวานแล้วกัน
พอคิดได้แบบนี้ผมก็จ่ายเงินแล้วออกจากร้าน หลังจากยืดเส้นยืดสายนิดหน่อยผมก็ตั้งใจจะกลับไปวิหาร ไว้ค่อยมาหาข้อมูลคราวหน้าละกัน
ทว่าระหว่างขากลับ
「……หือ?」
ฝูงชนได้ก่อตัวกัน ณ จุดหนึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ผมเห็นตอนขาเข้ามา
พอผมพยายามแทรกตัวเข้าไปดูก็พบว่า มีกลุ่มชายติดอาวุธหลายคนและคนในชุดคลุมสีดำกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
กลุ่มชายติดอาวุธนั่นพอมองหน้าไปก็ไม่จำเป็นต้องนึกอะไรมาก พวกเขาคือเหยี่ยวทะเลทราย แถมยังเป็นพวกที่มายุ่งกับผมตรงหน้าประตูเมืองด้วย
ดังนั้น อีกฝ่ายที่อยู่ในชุดคลุมก็น่าจะเป็นเหยื่อของพวกเหยี่ยวทะเลทรายในคราวนี้
ผมพยายามเพ่งสายตาสังเกต
เพราะอีกฝ่ายส่วมชุดคลุมเอาไว้ จึงไม่สามารถเห็นใบหน้าหรือเดาอายุได้ แต่พอลดสายตาลงมานิดหน่อยตรงบริเวณหน้าอกที่มีส่วนนูนออกมา ก็เดาได้ว่าคงเป็นผู้หญิง และพอเลื่อนลงมาอีกก็เห็นว่าเธอพกดาบยาวไว้ที่เอว
ลักษณะการยืนของเธอก็ดูสง่างามไม่แสดงให้เห็นถึงช่องว่าง แค่มองดูก็รู้ว่ามีฝีมือมาก นั่นสินะถ้าจะให้พูดละก็
――ฝีมือของเธอหากบอกว่าเป็นคนของธงแห่งผืนป่าผมก็ไม่แปลกใจเลย
เหตุผลที่ผมบอกไปแบบนั้นเพราะปริมาณของวิญญาณที่ผมเห็นในร่างของเธอมันมากพอๆกับพวกธงแห่งผืนป่าหรือพวกผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณนั่นเอง
ก็เป็นไปได้ว่าเธอคนผู้สังเกตการณ์ที่ตระกูลส่งมา แต่การกระทำแบบนี้มันจะไม่ดึงความสนใจมากเกินไปหน่อยเหรอ ผมสงสัย
แต่สุดท้ายผมว่ายังไงก็เป็นไปไม่ได้หรอก
พวกคนของธงแห่งผืนป่าน่ะบางคนก็มีทักษะซ่อนเร้นที่แม้แต่ผมก็ไม่สามารถตรวจพบได้แน่ นอกจากนี้คนระดับนั้นจะมาถูกเหยี่ยวทะเลทรายหยุดไว้ได้เนี่ยนะ ถามจริง เป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งมีฝูงชนมามุงกันเยอะอีกพวกนั้นไม่ยอมยืนเฉยๆหรอก
ก็จริงว่าความเป็นไปได้ที่เธอจะเป็นธงที่ 4 ซึ่งถูกส่งมาทำอะไรสักอย่างนอกเกาะ แต่ถ้าเป็นงั้นจริงโอกาสที่จะมายุ่งอะไรกับเหยี่ยวทะเลทรายก็จะน้อยลงไปอีก ดังนั้นเธอคนนั้นคงไม่มีทางเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลแน่
พอมาคิดดูแลวิญญาณภายในร่างของหญิงสาวชุดคลุมนั่นก็เอาเรื่องจริงๆ แอบรู้สึกได้ถึงความอันตรายแปลกๆที่ผมไม่เคยสัมผัสได้จากพวกผู้ใช้อาภรณ์วิญญาณด้วย
ระหว่างที่กำลังคิดผมก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความเกรี้ยวกราดของพวกเหยี่ยวทะเลทรายดังขึ้น
「อย่าให้ข้าต้องพูดย้ำสิวะ! ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงก็ถอดคลุมนั่นออกแล้วแสดงใบหน้าให้เห็นซะ!」
「…ฉันก็บอกไปแล้วครั้งแล้วนะ ว่าพวกนายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน ตัวเองไม่ใช่ทหารอะไรแท้ๆ」
น้ำเสียงของเธอช่างดูมั่นคงและเยือกเย็น ผมสัมผัสไม่ได้ถึงความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
ราวกับตอบสนองเสียงของเธอ「ใช่แล้วๆ!」「ให้มันน้อยๆหน่อยสิวะ พวกเหยี่ยวทะเลทราย」「ทำเกินไปแล้ว!」「อย่ามาข่มคนอื่นไปทั่วสิเห้ย!」เสียงเหล่านี้น่าจะเป็นของพวกที่เกลียดเหยี่ยวทะเลทรายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลยเลือกจะยืนข้างหญิงสาวที่แสดงความเด็ดเดี่ยวออกมา
อย่างที่ได้ยินมาจากหน้าประตูเลยแฮะ ชื่อเสียงของเหยี่ยวทะเลทรายนี่เลวร้ายชะมัด
「นี่พวกแกก็คิดจะหยามเหยี่ยวทะเลทรายงั้นเหรอ!?」
ใบหน้าของพวกเหยี่ยวทะเลทรายแดงขึ้นมาทันที เมื่อถูกตะโกนด่า บางคนถึงขนาดเอามือไว้ที่ฝักดาบซึ่งพร้อมจะชักออกมาทุกเมื่อ
ทว่าหญิงสาวก็ไม่ได้แสดงอาการว่าเป็นกังวลแม้เธอจะถูกล้อมเอาไว้ ก็คงงั้น ถึงจะเอาเหยี่ยวทะเลทรายทั้งหมดรุมโจมตีเธอพร้อมกันก็ไม่มีปัญหาหรอก
อย่างไรก็ตามดูเหมือนเธอก็ไม่ได้อยากจะมีเรื่องกับพวกเหยี่ยวทะเลทรายด้วย เธอจึงค่อนข้างหนักใจกับการที่ฝูงชนมาผสมโรงแล้วยั่วยุพวกมัน
――จากนั้นสายตาของเธอก็เหลือบมาสบกับผมที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน
อย่างที่ผมเคยบอกไป ผมมาย่านนี้โดยการส่วมชุดคลุมเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าผมคือดราก้อนสเลเยอร์ ดังนั้นอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะเห็นใบหน้าของผม
ตัวผมก็เปรียบเสมือนหนึ่งในผู้ชมที่อีกไม่นานก็จะจากตรงนี้ไป
ทว่ามันกลับไม่ใช่แบบนั้น
เมื่อสายตาของเธอได้มาหยุดที่ตัวผม ร่างกายของเธอก็สั่นสะท้านขึ้นจนผงะไปทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคลุมขึ้นเผยให้เห็นดวงตาสีเหลืองอำพันของเธอที่แสดงความประหลาดใจออกมา
ปฏิกิริยาต่อไปของเธอยิ่งหนักกว่าเดิม เพราะเธอหันมาทางผมและวางมือไว้บนดาบที่เอวของเธอ
จากนั้นออร่าแห่งการต่อสู้อันแรงกล้าก็พวยพุ่งมาทางผม
ก็สงสัยอยู่หรอกว่าทำไมเธอถึงได้มีออร่าขนาดนั้นพวยพุ่งออกมาได้เพียงแค่จ้องมาที่ผม แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอมามีเหรอผมจะไม่สนอง
ผมจึงวางมือลงไปที่ดาบสีดำตรงเอวเหมือนกัน อีกฝ่ายก็เริ่มตั้งท่าเพื่อเข้าประชิดตัว
หากเป็นแบบนี้อีกประมาณ 2-3วิผมกับเธอคงได้ปะทะดาบกันแน่ๆ ทว่าก็มีใครบางคนเข้ามาขัดเอาไว้ก่อนที่พวกผมจะเคลื่อนไหว
คนที่ว่าก็คือพวกเหยี่ยวทะเลทราย
สำหรับพวกเขาแล้ว การเคลื่อนไหวของเธอในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการท้ายทายพวกเขา การหันไปทางอื่นโดยเมินพวกเขา มันเหมือนการเยาะเย้ยดีๆนั่นแหละ
กลุ่มคนพวกนั้นก็เลยโมโหแล้วชักดาบออกมาจากเอว ก่อนจะฟันไปที่ผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่ลังเล
หากเป็นผู้หญิงคนนั้นคงจะสามารถหลบการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย ทว่าเพราะเธอมุ่งเน้นสมาธิมาเพื่อเผชิญหน้ากับผมการตอบสนองของเธอจึงล่าช้าไปชั่วขณะ
ถึงแม้ดาบนั่นจะไม่สามารถทำอันตรายเธอได้ แต่คลุมที่เธอสวมเอาไว้อยู่ก็ปลิวออกไปจนเผยให้เห็นใบหน้าของเธอที่อยู่ใต้ผ้าคลุมนั้น
ผิวสีน้ำตาล ผมสีขาว ดวงตาสีอำพัน
และใบหูที่ยาวได้ส่งผ่านเข้ามาในดวงตาของผม
—–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code