ตอนที่ 160 วิสทีเรีย
『ย๊ากกกกกกกก อ๊ากกกกกกกกกกกก!!』
――เสียงคำรามนี้ไม่ใช่เสียงที่ออกมาจากปากจริงๆ ของฉัน
『ฮ่าาาาา! ฮ้าาาาาาาาา!』
――เสียงหัวเราะนี้ก็ไม่ใช่ความต้องการของฉันเลย
ฉันรู้สาเหตุของเรื่องนี้ดี มันคือปีศาจร้ายที่คืบคลานออกมาจากหุบเหวลึก ที่รังควานป่า สปิริตและผู้คน สิ่งนั้นมันกำลังพยายามจะควบคุมร่างของฉันอยู่
――แม้แต่จอมดาบแห่งแอนดร้าก็ยังต้องพ่ายให้กับมันงั้นเหรอ
วิสทีเรียดุด่าตัวเองและพยายามจะประคองสติไม่ให้เลือนหายไป แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามต่อต้านปีศาจร้ายนี้สักเพียงใด พลังของอีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมจนเธอไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว
และราวกับจะเยาะเย้ยการต่อต้านของฉัน เสียงหัวเราะของปีศาจร้ายได้ดังขึ้น มันหัวเราะออกมาราวกับจะปลดปล่อยความโกรธแค้นที่ถูกผนึกเอาไว้มาช้านาน ในขณะเดียวกันร่างกายของฉันก็เริ่มเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
แขน ขา หลัง ใบหน้าของฉันได้กลายเป็นสิ่งที่ผิดแปลกไปจากที่ควร
การเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมกับความเจ็บปวดที่รุนแรง ความรุนแรงที่เหมือนกับแขนขาถูกฉีก แผ่นหลังถูกแทง ใบหน้าถูกไฟคลอก ความเจ็บปวดที่เหนือจะบรรยาย หากเธอได้ขยับปากสักครั้งก็คงจะมีแค่เสียงกรีดร้อง
แต่ตอนนี้แม้จะแค่กรีดร้อง วิสทีเรียยังไม่สามารถทำได้เลย เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตนทนกับความเจ็บปวดที่ไม่รู้จบนี้――จนเธอไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไรที่จะทนอีก
หากจะให้เทียบสิ่งที่เธอเจอตอนนี้ก็เหมือนตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูโดยไม่มีกำลังเสริม ไม่ว่าจะทนอีกนานสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความล่มสลายได้ การกระทำของเธอมันก็แค่ยื้อสถานการณ์ต่อไปเท่านั้น
มันคงจะง่ายกว่าถ้าเธอยอมแพ้ไปแล้ว แต่ถ้าเธอเลือกจะยอมแพ้ก็หมายความว่าปีศาจตนนี้จะได้รับอิสรภาพอย่างสมบูรณ์ เมื่อถึงตอนนั้นเมืองของพวกมนุษย์คงได้สูญสิ้น
อย่างน้อยเธอก็อยากจะรีบออกจากเมืองไปให้เร็ว แต่ร่างกายของเธอมันไม่ยอมทำตาม
――แล้วเธอจะทำอย่างไรดีล่ะ
วิสทีเรียถามกับตัวเอง จากนั้นเสียงของปีศาจร้ายก็ดังขึ้นอีกครั้งราวกับจะตอบคำถามดังกล่าว
◆◆◆
ณ อาณาจักรแห่งแมกไม้แอนดร้า
บ้านเกิดของวิสทีเรียสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเขียวขจีและแมกไม้ ซึ่งถูกรายล้อมไว้ด้วยทะเลทรายคาตาลานอันกว้างใหญ่
พื้นที่ส่วนใหญ่ที่เธออาศัยถูกเรียกว่ากันทะเลแห่งแมกไม้ ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นเอลฟ์เช่นเดียวกับเธอ
อาณาจักรทองคำ――เมืองที่ปกคลุมไปด้วยเงินและทองคำที่พวกมนุษย์พูดถึงกันนั้นไม่มีอยู่จริง เพราะไม่ว่าจะเงินหรือทองสำหรับการใช้ชีวิตในป่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ชาวแอนดร้านั้นใช้ชีวิตกันอย่าผาสุกภายในป่าซึ่งถูกปกป้องไว้ด้วยบาเรียหลายชั้น
ทว่าแอนดร้าก็ใช่จะปราศจากภัยคุกคามเสียเลย
ชื่อของเจ้าพวกภัยคุกคามว่าที่คือ 「หุบเหว」มันเป็นหลุมลึกที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนลึกสุดของทะเลแห่งแมกไม้ใจกลางแอนดร้า
มานาจำนวนมากได้หลั่งไหลออกมาจากหุบเหวนั้น มันเป็นพลังเวทที่ทำให้เกิดป่าอันเขียวขจีแม้จะเป็นใจกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง ในแง่ของการใช้ชีวิตแล้วแอนดร้าย่อมไม่อาจตัดขาดกับหุบเหวได้
ในทางกลับกันด้วยพลังเวทจำนวนมากนั่นก็ทำให้มีข้อเสียอย่างการที่พวกสปิริตเกิดการคลั่งได้ง่าย วิสทีเรียที่เป็นสมาชิกของหน่วยทหารผู้พิทักษ์ ภารกิจหลักของเธอก็คือการจัดการพวกสปิริตที่คลุ้มคลั่งบริเวณหุบเหว
สำหรับเอลฟ์สปิริตก็เหมือนกับเพื่อน การฆ่าฟันเพื่อนย่อมเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวด แต่หากปล่อยพวกเขาไป สปิริตที่คลุ้มคลั่งก็จะทำร้ายผู้คน จนพูดได้ว่าเป็นหายนะที่ร้ายแรงกว่าพวกสัตว์อสูรที่บางครั้งหลุดจากข้างนอกเข้ามาเสียอีก
วิสทีเรียเป็นเอลฟ์ที่มีอายุน้อยที่สุดในแอนดร้า และเป็นสมาชิกใหม่ของหน่วยทหารผู้พิทักษ์ แต่หากเป็นในแง่ของฝีมือแล้วทั้งทักษะการใช้ดาบและต่อสู้กับสปิริตเธอถือว่าเหนือกว่ารุ่นพี่หลายเท่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำเร็จในการกำจัดสปิริตระดับสูงอย่างฟินิกซ์ที่คลุ้มคลั่งไป มันคือภัยพิบัติซึ่งครั้งหนึ่งคาดกันว่าน่าจะทำลายแอนดร้าจนไม่เหลือซากไปกว่าครึ่ง แต่ก็เป็นเพราะเธอความเสียหายดังกล่าวจึงถูกจำกัดให้เหลือเพียงแค่ 1 ใน 10 จากที่คาด
กษัตริย์แห่งแอนดร้าได้ยกย่องในความสำเร็จของวิสทีเรียและมอบตำแหน่งหัวหน้าผู้พิทักษ์ให้กับเธอ มันคือสัญลักษณ์ของผู้ที่เก่งกาจที่สุดในประเทศ หรือก็คือวิสทีเรียได้รับการยอมรับว่าเป็นจอมดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในแอนดร้า
ทว่าวิสทีเรียก็หาได้ยินดีกับตำแหน่งดังกล่าวที่ได้มาจากการสังหารสปิริตซึ่งเป็นพวกพ้องของเธอ แต่อย่างน้อยการได้รับการยอมรับจากกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่มันก็ทำให้เธอภูมิใจอยู่บ้าง ทั้งหมดคงต้องขอบคุณพ่อกับแม่ผู้ล่วงลับของเธอซึ่งสอนวิชาดาบและการรับมือกับสปิริตให้
ความภาคภูมิใจนี้วิสทีเรียจึงผลักดันตัวเองให้เก่งยิ่งขึ้นไปอีก และชื่อเสียงของเธอในฐานะหัวหน้าผู้พิทักษ์ก็ดังไปทั่วแอนดร้า
และแล้วคืนวันแห่งความสงบสุขก็สิ้นสุดลงอย่างไม่มีการบอกกล่าว
ปีศาจร้าย เธอถูกสิ่งนั้นเข้าครอบงำ
เธอไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของปีศาจ ว่ากันว่ามันคือสิ่งที่โผล่มาจากก้นบึ้งของหุบเหว ไม่ก็ว่ามันคือความอาฆาตพยาบาทของสปิริตที่ถูกสังหารไป ตอนแรกวิสทีเรียก็มองว่าไร้สาระ ทว่าจำนวนคนที่ถูกปีศาจร้ายสิงสู่มักจะเป็นนักดาบที่จัดการกับสปิริต คนก็เลยเริ่มเชื่อกันมากขึ้น
โดยอาการที่พวกเขาถูกปีศาจร้ายสิงสู่นั้นจะมีความแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือรู้สึกได้ถึงตัวตนบางอย่างที่ไม่ใช่พวกเขามาอาศัยอยู่ในร่าง
ตัวของวิสทีเรียเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เธอถูกมันตามมาหลอกหลอนทั้งคืนวันด้วยเสียงแปลกประหลาดที่ดังในหัว ไม่ว่าเธอจะต่อต้านหรืออธิษฐานเท่าไหร่มันก็ไม่หายไป
แน่นอนว่าหากมีแค่อาการนั้น เธอก็คงใช้ชีวิตอย่างไม่มีปัญหาอะไรนัก บางคนที่มีอาการก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนปกติ
ทว่าก็ยังมีบางคนที่อาการแย่ลงจนถึงขั้นร่างกายของพวกเขาไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป บางคนก็กลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่เอลฟ์อีกต่อไป สุดท้ายบางคนก็กลายเป็นปีศาจร้ายไปเสียเองทั้งร่างกายและจิตใจ จนโจมตีไม่เลือกหน้า
ส่วนวิสทีเรียก็อยู่ในเคสที่เลวร้ายสุดๆ
ในช่วงที่เธอออกไปต่อสู้ วิสทีเรียได้พยายามฝืนใช้พลังเกินขีดจำกัดของเธอเพื่อช่วยพวกพ้อง――ส่งผลทำให้ร่างกายของเธอถูกปีศาจร้ายช่วงชิงไปบางส่วน
ร่างกายของเธอได้กลายร่างในทันที พวกพ้องทุกคนจึงรู้ว่าวิสทีเรียตอนนี้ได้ถูกปีศาจร้ายสิงสู่เสียแล้ว
วิสทีเรียผู้เป็นหัวหน้าผู้พิทักษ์แสนเก่งกาจ หากรวบเข้ากับปีศาจร้ายที่สุดแสนทรงพลังซึ่งตัววิสทีเรียเองยังไม่สามารถต้านได้ เมื่อเธอแยกเขี้ยวใส่แอนดร้า จุดจบของประเทศนี้คงมาถึงเป็นแน่ เธอจะกลายเป็นภัยคุกคามที่น่ากลัวยิ่งกว่าสปิริตระดับสูงอย่างฟินิกซ์คลั่ง
สุดท้ายเธอก็ถูกกษัตริย์แห่งแอนดร้าตัดสินโทษประหาร เพราะไม่มีทางจะรักษาเธอได้อีกแล้ว และก็ไม่มีตัวอย่างที่รักษาสำเร็จมาก่อนด้วย ไม่ต่างอะไรกับสปิริตที่คลุ้มคลั่ง วิสทีเรียก็เข้าใจเป็นอย่างดีเพราะเธอก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ทั้งหมดก็เพื่อประเทศ
อย่างไรก็ตามแค่การตัดหัวไปเฉยๆ มันไม่ใช่การจบปัญหาเพราะเมื่อเจ้าของร่างกายปีศาจร้ายก็ยังสามารถใช้ศพนั้นได้อยู่ดี
และพลังของมันที่ทำการสิงสู่ร่างได้อย่างสมบูรณ์นั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนเจ้าของร่างมีชีวิตอยู่เสียอีก ดังนั้นในอดีตการจัดการเรื่องพวกนี้จึงต้องใช้วิธีการอย่างหั่นศพให้เป็นชิ้นเล็กๆ หรือเผาให้ไม่เหลือซาก
นั่นแหละคือวิธีการจัดการเหล่าคนที่ถูกปีศาจร้ายสิงสู่
――จนสุดท้ายก็เกิดวิธีการอย่างโยนตัวเองไปให้สัตว์อสูรกลืนกินเสีย
สัตว์อสูรหรือที่พวกเธอเรียกกันว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ มันคือสิ่งมีชีวิตที่วนไปมาภายในทะเลทรายแห่งนี้ นอกบาเรียที่ปกป้องแอนดร้าเอาไว้อยู่
เอลฟ์ที่ถูกเหล่าวิญญาณร้ายสิงสู่จะทำการเสนอร่างของตัวเองให้กับศักดิ์สิทธิ์ และมันจะทำการกินเอลฟ์ที่ถูกสิงสู่เพื่อชำระล้างปีศาจร้าย จากนั้นมันก็จะเริ่มวนเวียนไปมารอบแซนดร้าอีกครั้งราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
วิสทีเรียเองก็ใช้วิธีนี้ในการจัดการพวกพ้องที่ถูกมันสิงสู่ในอดีต เธอได้ให้อาหารและน้ำจำนวนหนึ่งกับพวกเขา จากนั้นก็ผลักไสออกจากบาเรียไป แล้วให้ไปตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเองเพื่อฆ่าตัวตาย ครั้งนี้เธอก็ได้รับคำสั่งเช่นนั้นบ้างแล้ว
ก็จริงว่าคนที่ถูกปีศาจร้ายสิงสู่อาจคิดหลบหนีแทนที่จะฆ่าตัวตาย แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะสภาพอากาศที่แห้งแล้งของทะทรายมันน่ากลัวเสียยิ่งกว่ามอนสเตอร์แถวนั้นซะอีก หากต้องเดินไปในทะเลทรายอย่างไร้จุดหมายสู้ตายเพราะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะดีเสียกว่า
เหล่าเอลฟ์แห่งแซนดร้านั้นไม่เคยรู้จักโลกภายนอกที่อยู่ถัดจากทะเลทรายด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดจะวิ่งหนี
วิสทีเรียเองก็เช่นกันเธอไม่คิดจะหนี พ่อกับแม่ของเธอก็ตายไปแล้ว พี่น้องก็ไม่มีเธอไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก ความภาคภูมิใจสุดท้ายในฐานะนักรบก็คือการสละชีวิตของตนเอง
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเธอกลับไม่สามารถหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์พบ ไม่ว่าจะค้นหาสักแค่ไหนเธอก็ไม่พบมันเลย
วิสทีเรียรู้สึกสับสน เพราะหากเธอตายในทะเลทรายนี่ ปีศาจร้ายก็จะชิงร่างของเธอแล้วเข้าโจมตีแอนดร้าแน่ ถึงในอดีตจะไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่เธอรู้สึกกลัวในพลังของตัวเอง จนทำใจมองโลกในแง่ดีไม่ได้
ก็จริงว่ามันอาจจะเป็นเพียงความคิดส่วนลึกของเธอที่ไม่อยากจะตายจึงทำให้เธอนึกอะไรแบบนั้นออกมา จากนั้นเธอจึงลองพยายามขยายขอบเขตการค้นหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์――และแล้วเธอก็ได้เจอกับโอเอซิสที่กระจายไปอยู่รอบๆ ทะเลทรายจากนั้น….
สำหรับวิสทีเรียแล้วเธอคิดมาเสมอว่าโลกภายนอกบาเรียนั้นคือความแห้งแล้งและความตาย ทว่าตอนนี้เธอกลับพบสิ่งที่เรียกว่ามนุษย์อยู่ภายนอกนั้น
แต่วัตถุประสงค์ของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไป หลังจากเติมน้ำและหาอาหารด้วยการล่าพวกมอนสเตอร์ในทะเลทรายเสร็จ วิสทีเรียก็ติดต่อกับพวกมนุษย์
แน่นอนว่านักผจญภัยบางคนก็ให้ความสนใจกับวิสทีเรียเป็นอย่างมาก ตัวเองเธอก็ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันเลยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ตอนนั้นเองเธอถึงได้รู้ว่าพวกมนุษย์เรียกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ว่าสัตว์อสูร
ทว่าสุดท้ายเธอก็ไม่ได้ข้อมูลที่จะสาวไปถึงตัวของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นได้เลย
พอรู้ว่าหนทางช่างมืดมน ร่างกายและจิตใจของเธอก็รู้สึกเหมือนถูกบั่นทอนไปชั่วขณะ แต่พอตั้งสติได้แล้วเธอก็มุ่งหน้าไปยังเมืองของมนุษย์ที่เรียกว่าเบลก้า หากที่นั่นเป็นจุดรวบรวมข้อมูลทั่วทะเลทรายแล้ว เธอน่าจะได้พบกับข้อมูลของเบฮีมอธ――ทว่าความหวังของเธอก็ต้องแตกสลายลงเพราะพวกนักผจญภัย
…ผลลัพธ์ก็คือสถานการณ์ในปัจจุบัน ความหวังของเธอได้ถูกบดขยี้ไปจนสิ้นแล้ว
เธอไม่สามารถหยุดยั้งปีศาจร้ายตนนี้ได้อีกต่อไป สติของเธอในฐานะวิสทีเรียเริ่มจางหาย เธอรู้สึกได้ถึงความสุขของปีศาจร้ายที่กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมาราวกับเธอกลายเป็นมันไปเสียแล้ว
ตัวตนของเธอเริ่มค่อยๆ จางหายไป
กำลังจางหาย สลายไป ผสมเข้ากับปีศาจร้ายจนหมดสิ้น
เธอรู้สึกกลัวจนตัวสั่น สติสัมปชัญญะสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ได้พยายามจะกรีดร้องออกมา แต่ก็มีเพียงเสียงอันน่าสยดสยองแห่งความยินดีที่กำลังเข้ามากลืนกินจิตวิญญาณของเธอแทน
――――――ไม่ไหวแล้ว
คำพูดที่แสนสิ้นหวังได้หลุดออกมา จนทำให้น้ำตาหยดหนึ่งจากตาขวาของเธอซึ่งเป็นเพียงจุดเดียวที่ลักษณะของเอลฟ์ยังเหลืออยู่ไหลริน
ในวินาทีที่วิสทีเรียกำลังจะหลับตาลงเพื่อยอมจำนนต่อหายนะตรงหน้า
เธอก็ได้ยินเสียงหนึ่ง
「――เสริมแกร่ง อาภรณ์วิญญาณ」
มันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและพลังที่สั่นสะเทือน
———
Note 1 : เหมือนมายืนยันเรื่องรังมังกร ประตูปีศาจว่ามันทำให้คนแถวนั้นได้ผลกระทบจนเกิดอนิม่าขึ้น
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code